ศิลปะการใช้ชีวิต The Art Of Living

กราบเรียนคุณหมอสันต์
หนูชื่อ... อายุ 38 ปี เป็น solo mom ตอนนี้มีปัญหามากคือความเบื่อชีวิต เบื่องาน เบื่อทั้งงานที่ที่ทำงาน ทั้งงานบ้าน อยากจะทิ้งทุกอย่างไปบวชเป็นชี แต่ได้ไปลองปฏิบัติธรรมที่วัดก็รู้สึกว่าไม่ใช่ อีกอย่างหนึ่งหากจะทำจริงก็ทำไม่ได้ด้วยเพราะยังมีลูกสาวอายุ 3 ขวบที่ต้องดูแลให้การศึกษาเขาไปจนเขาพ้นอก หนูดิ้นรน อึดอัด เป็นทุกข์ แต่ก็มองไม่เห็นทางออก เคยไปหาหลวงพ่อ... คนเยอะมาก กว่าจะได้กราบท่าน ท่านก็พูดสั้นมากว่าให้หันหน้าเข้าวัดศึกษาปฏิบัติธรรม หนูก็รู้สึกว่านี่ก็ไม่ใช่ รบกวนอาจารย์แนะนำด้วย
ขอบพระคุณคุณหมอสันต์

......................................................

ตอบครับ

     วันนี้เปลี่ยนฟอร์มมาตอบจดหมายมะโนสาเร่ที่ไม่เกี่ยวกับโรคบ้าง

     อ่านจดหมายของคุณแล้วทำให้นึกถึงคำหนึ่งขึ้นมา คือคำว่า "ศิลปะการใช้ชีวิต" หรือ The Art Of Living ผมจะพูดถึงศิลปะการใช้ชีวิตให้คุณฟังในเวอร์ชั่นของหมอสันต์นะ คือคนเรานี้เกิดมาแล้วย่อมไขว่คว้าเสาะแสวงหาสิ่งเดียวกันทุกคน นั่นคือ "ความสุข" ดังนั้นศิลปะการใช้ชีวิตก็คือศิลปะของการวิ่งหาความสุข ก่อนที่คุณจะวิ่งหาอะไร คุณก็ต้องรู้ก่อนว่าสิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่ คือความสุขนี้มันไม่ใช่มีแบบเดียว ถ้าจะให้ผมแบ่งประเภท มันน่าจะมีสักสามประเภท คือ

     1. สุขจากความสะใจ หมายความว่าคุณมีความอยาก จะอยากได้หรืออยากหนีก็แล้วแต่ แล้วคุณได้สนองความอยากนั้นสำเร็จ สิ่งที่ตามมาก็คือความสะใจ ซึ่งเป็นความสุขในรูปแบบหนึ่ง เช่นคุณอยากมีเซ็กซ์ คุณหาแฟนได้และได้มีเซ็กส์ คุณก็สะใจ คุณอยากมีกระเป๋าหลุยส์เวตองถือ คุณเก็บเงินแล้วซื้อมันมาถือได้ คุณก็มีความสะใจ คุณอยากมีหน้าอกที่เต่งตึงเป็นที่ดึงดูดสายตาเพศตรงข้าม คุณไปทำศัลยกรรมพลาสติกได้หน้าอกแบบนั้นมาแล้วเดินเปิดเสื้อคอวี.อวดให้ใครๆหันมามองได้ คุณก็สะใจ คุณอยากมีเงินร้อยล้านพันล้าน คุณทุ่มเททำงานหาเงิน พอวันหนึ่งคุณเปิดสมุดบัญชีมีถึงพันแล้วคุณก็สะใจ ความสุขแบบนี้เป็นความสุขที่ทุกๆคนรู้จักและวิ่งตามหากันอยู่แล้วทุกคนไม่มีเว้น มันเป็นตัวให้รสชาติของชีวิตระดับสากล คือทุกคนใช้ประโยชน์จากมัน แต่มันก็มีข้อเสียบ้างเหมือนกัน คือสิ่งที่คุณได้แล้วสะใจแล้วมันก็จบไปแล้ว คุณต้องไปปั้นความอยากตัวใหม่เพื่อเสาะหาความสะใจครั้งใหม่ ซึ่งถ้าจะให้ดีก็ต้องสะใจแรงกว่าเดิม พอวันหนึ่งคุณไม่สามารถปั้นความอยากชนิดที่สนองตอบแล้วจะสะใจกี๋แบบสะแด่วแห้วถึงกึ๋นได้ หรือว่าพอวิ่งตามหาความสะใจแบบที่คนอื่นเขาหากันมาได้พักใหญ่แล้วคุณเกิดสะดุดใจในความไร้สาระของการวิ่งไล่ความอยากขึ้นมา คุณก็จะเริ่มมองเห็นสิ่งรอบๆตัวว่าทำไมมันมีแต่สิ่งไร้สาระกระจอกๆ โลกิยะๆ ฝรั่งเรียกว่า mundane แล้วคุณก็จะเกิดความเบื่อชีวิตอย่างที่คุณเป็นอยู่นี่แหละ

     ให้สังเกตนะ ว่าความสุขจากความสะใจนี้มันมีพื้นฐานอยู่บนการก่อความอยากขึ้นมาก่อน พอได้สนองความอยากนั้นแล้วความสะใจจึงจะเกิดขึ้น

     2. สุขจากความปลื้มใจ เป็นความสุขในรูปแบบที่คุณตั้งพื้นฐานคอนเซ็พท์ขึ้นมาในใจคุณก่อนว่าอะไรคือความดีหรือความงามในสะเป๊คของคุณ แล้วต่อมาคุณได้ทำหรือได้สัมผัสสิ่งที่ดีหรือที่งามนั้น คุณก็เกิดความปลาบปลื้มใจ ยกตัวอย่างเช่นคุณเป็นคนเชื่อในคอนเซ็พท์รักเมตตา ดีชั่ว บาปบุญคุณโทษ พอคุณได้ทำบุญ เช่นได้ให้เงินขอทาน คุณก็เกิดความปลื้มใจ หรือเช่นคุณมีสะเป๊คของความเป็นดอกไม้สวยอยู่ในใจคุณ วันหนึ่งคุณได้พบได้เห็นได้สัมผัสดอกไม้สวยตามสะเป็คนั้น คุณก็เกิดความซาบซึ้ง appreciation หรือปลาบปลื้มใจ หรือเช่นคุณมีสะเป๊คในใจคุณว่าวิวแบบไหนจึงจะสวยเริ่ดสะแมนแตน วันหนึ่งคุณไปเที่ยวแล้วได้พบเห็นวิวแบบนั้นคุณก็ตะลึงเพลินมองด้วยความปลาบปลื้มใจ หรือเช่นคุณเป็นคนชื่นชมอะไรที่เป็นธรรมชาติๆ วันหนึ่งคุณได้ไปเดินเล่นในป่าคุณก็มีความปลื้มใจ หรือเช่นคุณเป็นชอบงานศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ วันหนึ่งได้มีโอกาสไปเห็นภาพเขียนในแนวอิมเพรสชั่นนิสม์เจ๋งๆเข้าคุณก็เกิดความปลาบปลื้มใจ ทั้งๆที่คุณไม่ได้เสียเงินซื้อภาพนั้นแม้แต่บาทเดียว แต่คุณก็มีความสุขจากความปลื้มใจ

     ให้คุณสังเกตนะ ว่าความสุขจากความปลื้มใจนี้เป็นความสุขที่มีพื้นฐานอยู่บนคอนเซ็พท์ซึ่งเป็นความคิดในใจคุณ คุณจะต้องมีคอนเซ็พท์หรือเชื่อในคอนเซ็พท์อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน เมื่อได้พบเห็นสัมผัสอะไรที่สอดคล้องต้องกันกับคอนเซ็พท์นั้นความปลาบปลื้มจึงจะเกิดขึ้น คือคุณต้องอาศัย "องค์" ว่าคุณนี้เป็นผู้มีรสนิยมวิไลอย่างนี้ๆก่อน คุณจึงจะปลาบปลื้มซาบซึ้งกับความดีความงามอย่างนี้ได้ มันก็มีข้อดีกว่าความสุขจากความสะใจตรงที่คุณไม่ต้องเหนื่อยยากวิ่งตามความอยากอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงแค่ปรับคอนเซ็พท์และความเชื่อ คุณก็มีความสุขแบบนี้ได้แล้ว

     3. สุขจากการเปลี่ยนบทบาทจากผู้เล่นละครชีวิต มาเป็นผู้ชมละครชีวิต ความสุขสองอย่างแรกนั้นต้องอาศัย "คุณ" ในฐานะเป็นบุคคลผู้เล่นละครชีวิต จึงจะได้เสพย์ความสุขทั้งสองแบบนั้นได้ แต่มันยังมีความสุขอีกแบบหนึ่งนะ แบบนี้คือคุณมองชีวิตว่าคุณคนที่กำลังเล่นละครชีวิตเป็นแม่ลูกติดผู้หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่นั้นเป็นเพียง "บุคคล" ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงความคิดที่ใจคุณทึกทักเอาว่าความเป็นบุคคลนั้นมีอยู่จริง ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่ได้มีอยู่จริง มันไม่ใช่คุณที่แท้จริง คุณที่แท้จริงนั้นถอยออกมาเป็น "ผู้ชม" หรือ "ผู้สังเกต" นั่งชมละครชีวิตเรื่องแม่หม้ายลูกติดนี้อยู่ ชมแบบรู้เห็นสภาวะรอบตัวตามที่มันเป็น ไม่ไปอินกับการสมมุตินามตามท้องเรื่องว่านี่นางเอกที่แสนดี นั่นตัวร้ายที่แสนเลวและความเลวกำลังขย้ำความดี หากจะอินก็อินได้นิดหน่อยพอให้การดูละครสนุก แต่ไม่อินมากเกินไป เพราะตัวจริงของเราคือคนที่นั่งดูละครไม่ใช่คนที่เล่นละคร และบรรยายกาศบนเวทีนั้นก็เป็นเพียงฉากละครที่ปรากฎต่อสายตาของผู้ชม ณ เวลาที่นั่งชมอยู่เท่านั้น จบตอนเขาก็ปิดฉากแล้วม้วนเอาฉากนี้ขึ้นเปลี่ยนเอาฉากใหม่ลงแทน

     เมื่อเราถอยออกมาเป็นผู้สังเกต ณ ที่ตรงนั้นมีคำสำคัญที่บอกเอกลักษณ์ของการเป็นผู้สังเกตอยู่สี่คำนะ คือ

     (1) ตื่น..คุณยังตื่นอยู่ ไม่ได้หลับหรือสะลึมสะลือ
     (2) รู้..คุณมีความสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพเสียงสัมผัส รับรู้ได้หมด
     (3) ไม่มีความคิด..คือคุณไม่มีความคิดที่งอกรากแตกแขนงมาจากแม่ของความคิดทั้งหลาย นั่นคือความคิดที่ว่าคุณนี้เป็น "บุคคล"
     (4) โล่งๆสบายๆ..คือที่ที่คุณตื่นรู้อยู่โดยไม่มีความคิดว่าคุณเป็นบุคคล มันจะมีความโล่งๆสบายๆ

     ตรงนี้แหละที่เป็นความสุขแบบที่สาม

     ให้คุณสังเกตนะ ว่าความสุขจากการถอยออกมาเป็นผู้สังเกตนี้ ไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนความอยาก ไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนความคิดหรือคอนเซ็พท์ใดๆแม้กระทั่งคอนเซ็พท์ของการเป็นบุคคลก็ไม่มี แต่มีพื้นฐานอยู่บนความสามารถในการรับรู้สังเกตสิ่งรอบตัวในปัจจุบันแล้วรู้เห็นตามที่มันเป็น รู้เห็นตามที่มันเป็นนะ ไม่ใช่รู้เห็นตามที่ความเป็นบุคคลของเรากำหนดให้มันเป็น รู้เห็นก่อนที่จะเอาภาษาของเราเข้าไปครอบ นั่นคือการรู้เห็นตามที่มันเป็น

     ทั้งหมดนี้เข้าใจไหมเนี่ย สมมุติว่าเข้าใจก่อนนะ เมื่อคุณเข้าใจแล้ว ให้คุณเอาความเข้าใจในเรื่องความสุขสามแบบนี้ไปสร้างเป็นศิลปะในการใช้ชีวิตของคุณเอง คุณจะปรุงสูตรชีวิตของคุณให้มุ่งหาความสุขแบบไหนมากแบบไหนน้อย ตรงนี้เป็นศิลปะของการใช้ชีวิต คุณสามารถออกแบบเองได้

     ประเด็นสำคัญที่ผมอยากเน้นคือความสุขแบบที่สาม คือสุขจากการเปลี่ยนบทบาทจากผู้เล่นละครชีวิตมาเป็นผู้ชมละครชีวิต ผมอยากจะให้คุณเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ถ้าคุณอ่านทั้งหมดนี้แล้วไม่เข้าใจเลย ไม่เก็ทเลย ให้หาเวลามาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี