ความพยายามอยู่ที่ไหนความล้มเหลวอยู่ที่นั่น

คุณหมอสันต์ที่เคารพรัก
หนูเป็น fc คุณหมอมานาน มาตอนหลังหนูชอบอ่านบทความเรื่องความหลุดพ้นมากกว่าบทความเรื่องสุขภาพร่างกาย หนูได้ไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรมหลายแห่ง รวมทั้งโกเอนก้า ทราบว่าคุณหมอไปกาญจนบุรี หนูก็ไปกาญจนบุรีตาม กลับจากเข้าค่ายปฏิบัติธรรมหนูก็ให้เวลาเรื่องนี้มาก นั่งสมาธิทุกวัน เดินจงกรมบ่อยๆ  ใจหนูเป็นสมาธิมากขึ้น แต่ลึกๆหนูมีความรู้สึกว่าทำไมหนูจึงไปไม่ถึงไหนสักที ทำไมจึงไม่หลุดพ้นสักที ทั้งๆที่ได้ให้เวลา ได้พยายามมากขนาดนี้

.................................................

ตอบครับ

     อามิตตาภะ..พุทธะ

     นี่มันไปเข้าคำพังเพยที่หมอสันต์แต่งขึ้นเองเพื่อพูดเล่นๆกับคนใกล้ชิดบ่อยๆว่า

     "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความล้มเหลวอยู่ที่นั่น"

     ครูของผมคนหนึ่ง (คนอังกฤษ) เล่านิทานให้ฟังว่าขอทานคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมทุกวันนั่งอยู่บนลังไม้เก่าๆ ใครเดินผ่านไปมาเขาก็ยื่นขันอลูมิเนียมเก่าคร่ำคร่าออกไปหาพร้อมกับพูดด้วยเสียงน่าสงสารว่า

     "ขอเศษเงินให้ผมสักสลึงสิครับ"

     "Please give me a dime"

     วันหนึ่งก็มีชายแก่คนหนึ่งผ่านมา พอเขายื่นขันออกไปขอเงิน ชายแก่คนนั้นตอบว่า

     "ผมไม่มีเงินให้คุณหรอก แต่ว่าคุณนั่งอยู่บนอะไรนะ"

     ขอทานตอบว่า

     "ลังสบู่"

     ชายแก่คนนั้นตอบว่า

     "ในนั้นมีอะไรอะ"  ขอทานตอบว่า

     "จะไปมีอาไร้ มันก็ลังสบู่เก่าๆที่ผมนั่งมาหลายปีแล้ว"

     ชายแก่คนนั้นเดินจากไป พร้อมกับเหลียวหลังมาตะโกนดังๆว่า

     "นั่งมันมานานหลายปีแล้ว คุณจะไม่เปิดดูข้างในมันหน่อยหรือ"

     เมื่อชายแก่นั้นพ้นไปแล้ว ขอทานก็ยังบ่นพึมพัมว่าลังสบู่เก่าก็เป็นลังสบู่เก่า มันจะมีอะไร แต่ก็อดใจไม่ได้จึงงัดฝาเปิดลังสบู่ดู แล้วก็พบว่าในนั้นมีทองคำ

     นิทานเรื่องนี้ครูของผมต้องการจะสอนว่าความสุขที่เราไปวิ่งตามหาที่ภายนอกด้วยวิธีไล่สนองตอบต่อความอยากซึ่งก็คือความคิดของเราเองนั้นมันไม่ใช่ความสุขจริงแท้ถาวร ความสุขจริงแท้ถาวรเกิดขึ้นจากการที่เราถอยความสนใจ (attention) ของเรากลับออกมาจากสิ่งภายนอกซึ่งหมายถึงความคิดทั้งหลายเสีย ถอยความสนใจกลับเข้ามาจอดนิ่งๆอยู่ที่อู่จอดของมันที่ข้างในตัวเรา มองเห็นสิ่งทั้งหลายที่ภายนอกตามที่มันเป็นโดยไม่เผลอปล่อยให้ความคิดชนิดแสบตัวแม่ คือ "ฉัน" พาเราโลดแล่นไปอยากได้โน่นอยากได้นี่ที่ข้างนอกอีก เราก็จะได้พบความสุขแท้จริง

     การที่คุณพยายามจะบรรลุธรรม พยายามจะหลุดพ้น นั่นแหละคือการปล่อยให้ความคิดแสบตัวแม่คือ "ฉัน" พาคุณโลดแล่นไป ตราบใดที่มีความพยายาม ก็แสดงว่ามีผู้พยายาม ตราบใดที่มี "ผู้" ก็แสดงว่ามีความเป็นบุคคลอยู่ ความเป็นบุคคลหรือ "ฉัน" นี้เป็นความคิดนะ มันเป็นตัวกันไม่ให้ความสนใจหรือ attention ของคุณได้มีโอกาสกลับเข้าอู่จอดเพราะมันจะพาคุณไปเสาะหาอะไรต่ออะไรที่ข้างนอกร่ำไป ตราบใดที่ความสนใจของคุณไม่ได้กลับเข้าอู่จอด ตราบนั้นคุณก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความคิดได้ เพราะเมื่อความสนใจไม่ได้อยู่ที่อู่จอด แสดงว่ามันไปขลุกอยู่ในความคิด แล้วคุณจะหลุดพ้นจากความคิดได้อย่างไร

    คุณสังเกตไหมว่าผมเรียกสภาวะที่ความสนใจกลับเข้าอู่จอดซึ่งเราจะสุขสงบเย็นได้นั้นว่า "ความรู้ตัว" ผมไม่ได้เรียกว่า "ผู้รู้ตัว" นะ เพราะความรู้ตัวไม่มีสถานะของความเป็นบุคคล ไม่มี "ผู้" ไม่มี "ฉัน" เมื่อใดที่มีผู้รู้ตัวก็มีสถานะของความเป็นบุคคลเกิดขึ้น นั่นเป็นความคิดอีกละ

     คุณอาจจะแย้งว่าอ้าว ถ้าไม่เป็นฉันที่รู้ตัวแล้วจะเป็นลิงที่ไหนละที่จะมารู้ตัวแทนฉันได้ อ้า..ถามดี แต่ฟังคำตอบให้ดีนะ คำถามนี้ไม่สามารถตอบด้วยภาษาพูดได้ แต่คุณจะเข้าใจคำตอบของผมด้วยวิธีง่ายๆเลยผ่านประสบการณ์จริงของคุณเอง ผมขอเวลาคุณห้านาทีนะ คุณทำตามที่ผมบอก คุณนั่งอยู่ตรงนั้นนะ สมมุติว่าเป็นระเบียงหน้าบ้านคุณ มองออกไปข้างนอก แล้วให้คุณวางความคิดทั้งหลายลงไปก่อน วางหมายความว่าไม่สนใจ ไม่ให้ราคา หรือหันหลังให้ก็ได้ รวมทั้งความคิดตัวแม่.."ฉัน" หมายถึงความคิดที่ว่าคุณนี้เป็นใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน เป็นคนดีมีใจบุญสุนทานมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมีคุณวุฒิมีตำแหน่งมีความเชื่ออะไรอย่างไร วางไปให้หมด วางจนในใจไม่เหลืออะไรเลย ความเป็นบุคคลของคุณที่คุณยึดมั่นชื่นชมยินดีตลอดมาก็ไม่เหลือ ไม่ต้องเสียดาย ผมขอให้คุณลองวางมันแค่ห้านาทีเท่านั้น เดี๋ยวเสร็จแล้วถ้าคุณเสียดายคุณเก็บมันกลับได้

      เมื่อวางความคิดไปหมดแล้วคราวนี้ก็เหลือแต่ร่างกายและอายตนะ (ตา หู เป็นต้น) เวลาคุณมองเห็นอะไรที่นอกระเบียงก็อย่าเพิ่งไปเรียกชื่อสิ่งที่เห็น อย่าไปพากย์เป็นภาษาว่าเห็นอะไร แค่เห็นก็พอ เห็นตามที่มันเป็น ได้ยินตามที่มันเป็น

     แล้วคุณดูนะ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ มันเหลืออะไรอยู่บ้าง ความเป็นบุคคลของคุณไม่มีแล้วเพราะคุณวางมันลงไปแล้วแม้จะชั่วคราวก็เถอะ มันก็จะเหลือแต่ความตื่น หมายความว่าคุณไม่ได้หลับ เหลือความสามารถรับรู้ หมายความว่าคุณยังเห็นคุณยังได้ยิน เหลือความไม่มีความคิด มีแต่ความรู้สึกโล่งๆสบายๆ สรุปว่าเหลือสี่อย่างนะ (1) ตื่น (2) รู้ (3) ไม่มีความคิด (4) โล่งๆสบายๆ ตรงที่มีคุณลักษณะสี่อย่างนี้แหละที่ผมเรียกมันว่าความรู้ตัว ย้ำ ความรู้ตัว ไม่ใช่ผู้รู้ตัว ตรงนี้แหละคือความหลุดพ้น คุณสังเกตให้ดีนะ ขณะที่คุณอยู่เป็นความรู้ตัวนี้ ความเป็นบุคคลของคุณมานั่งอยู่ด้วยหรือเปล่า ปล๊าว..ไม่มี้ เพราะความเป็นบุคคลเป็นความคิด ถ้าคุณอยู่ในความคิดคุณก็ไม่รู้ตัว ถ้าคุณรู้ตัวคุณก็ไม่มีความคิด ผมย้ำนะ คุณอยู่ตรงความรู้ตัวนี้ได้โดยไม่ต้องอาศัยหรือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเป็นบุคคลของคุณเลย ตรงนี้คุณต้องเก็ทก่อนนะ มันสำคัญ แต่มันง่ายมาก ตรงๆ โต้งๆ ไม่ได้ลึกลับอะไรเลย แต่ที่คุณมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้สักทีเพราะคุณเผลอตาม "ผู้" ไป ตรงนี้ไม่มีผู้ คุณพยายามปฏิบัติธรรมแทบตายแล้วหงุดหงิดว่าไปไม่ถึงไหนสักทีเพราะคุณไปกับ "ผู้ปฏิบัติธรรม" คุณไม่ได้รู้ตัว คุณไปกับความเป็นบุคคลของคุณ แปลว่าคุณไปก้บความคิด คุณต้องทิ้งความเป็นบุคคลของคุณเสียก่อน คุณจึงจะหลุดพ้นจากความคิด

     คุณอาจจะว่า อ้าว..ก็หมอสันต์ให้วางความคิด ถ้าเราไม่เป็นผู้วางแล้วลิงที่ไหนจะมาวางให้เราละ ตอบว่ามันมีวิธีวางโดยไม่ต้องอาศัย "ผู้" ที่ไหนมาวางให้ สมมุติว่างานวางความคิดนี้เหมือนการเป็นพรานล่าสัตว์นะ สมมุติว่าความคิดเป็นสัตว์ป่าที่เราจะไปล่า วิธีที่คนทั่วไปนิยมก็คือทำตัวเป็นพรานเดินไปในป่าด้อมๆมองๆในพงเพื่อค้นหาสัตว์ บางทีเจอสัตว์ดุร้ายก็วิ่งหนี บางทีก็วิ่งไล่ นั่นคือการเข้าไปคลุกกับความคิด วิธีนั้นในที่สุดคุณก็จะเผลอถูกความคิดพาไปไหนต่อไหน แต่วิธีที่ผมแนะนำคือให้คุณทำตัวแบบพรานที่นั่งห้าง เขาเอาไม้ขึ้นไปขัดเป็นห้างอยู่บนต้นไม้ตรงที่ใกล้ๆกับดินโป่งที่สัตว์ชอบมากิน ถือปืน นั่งนิ่งๆอยู่บนห้าง ไม่พูดไม่จาไม่ส่งเสียง เวลาสัตว์มากินโป่งเขาก็มองลงมาจากข้างบน แล้วยิงสัตว์ได้โดยไม่ต้องไปเสี่ยงกับการหนีหรือการไล่ อุปมาอุปไม ในการจะหลุดพ้นนี้หากคุณพยายามทำนั่นทำนี่ผ่านความคิด "ฉัน" ก็เหมือนพรานที่ไปด้อมๆมองๆตามสุมทุมพุ่มไม้ แต่ถ้าคุณไม่พยายามอะไร แค่วางความคิดลง นั่งรอดูความคิดอะไรโผล่ขึ้นมาก็วางลง ก็เหมือนพรานที่นั่งรอส่องสัตว์อยู่บนห้าง พอสัตว์โผล่มาก็ค่อยยิง

     ความตั้งใจพยายามเป็นความคิดนะ..อย่าลืม อย่าไปกับมัน ต้องวางมันลง เมื่อความคิดถูกวางลงไปหมดแล้ว จึงค่อยมองดูสิ่งต่างๆที่ภายนอกให้เห็นตามที่มันเป็น ไม่ต้องไปเรียกชื่อหรือพิพากษาอะไร ไม่ต้องไปพยายามเชื่อมโยงว่าสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยินมันสัมพันธ์กับความเป็นบุคคลของคุณอย่างไร เพราะคุณวางความเป็นบุคคลลงไปแล้วนะ..อย่าลืม

     โอเค. จบเกม การวางความคิดแบบที่คุณทำในห้านาที่ที่เพิ่งผ่านไปนี้ คุณสามารถเอาไปทำได้ในทุกเวลานาทีของการใช้ชีวิตประจำวัน ส่วนคุณจะนั่งสมาธิ จะเดินจงกรม หรือทำอะไรพวกนั้นหากคุณชอบคุณจะทำก็ได้ แต่ผมไม่ได้มองว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ ขอแค่ทำสิ่งเหล่านั้นแล้วคุณอย่าเผลอใช้มันเป็นราคาคุยกับตัวเองเพื่อเสริมความเป็นบุคคลของตัวเองก็แล้วกัน (ซึ่งตอนนี้คุณทำอย่างนั้นอยู่) ทุกเวลานาทีในชีวิตประจำวันต่างหากที่สำคัญกว่า ตัดเวลาที่คุณจดจ่อทำงานอาชีพออกไป เวลาที่เหลือทั้งหมดตั้งแต่ แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าว ขับรถ นั่งเล่นเอกเขนก คุยกัน เดินไปเดินมา เวลาเหล่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว คุณใช้เวลาเหล่านี้ในการวางความคิดเข้าไปอยู่ในความรู้ตัว คิดขึ้นได้เมื่อไหร่ก็ทำ แกล้งทำแบบทีเล่นทีจริง จังหวะที่ "ฉัน" เผลอเมื่อไหร่ก็แอบวางความคิดไปอยู่ในความรู้ตัวเมื่อนั้น เพราะที่ความรู้ตัวไม่อาศัยไม่ต้องมี "ฉัน" วิธีนี้คุณจะหลุดพ้นได้ง่ายกว่าการไปจดจ่อตั้งใจพยายามนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมแล้วลุ้นว่าเมื่อไหร่ "ฉัน" จะหลุดพ้นเสียที

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี