เรื่อง spiritual retreat อาจารย์มีวาระซ่อนเร้นหรือเปล่า

     ในบล็อกที่อาจารย์เขียนให้ข้อมูลเรื่อง spiritual retreat-3 ผมอ่านดูแล้วเหมือนอาจารย์ไม่อยากให้ผู้ที่ปฏิบัติธรรมมามากหลายปีแล้วไปเข้ารีทรีตนี้ ทำไมหรือครับ อาจารย์กลัวปัญหาอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ เพราะผมเองก็ปฏิบัติธรรมมาสามสิบปีแล้ว เห็นอาจารย์ประกาศ ผมก็อยากไปเข้ารีทรีตนี้บ้าง แต่พอเห็นอาจารย์เขียนเบรคไว้ก็เลยไม่แน่ใจว่าอาจารย์ไม่อยากสอนคนแบบผมหรือเปล่า

.........................................

ตอบครับ

ผมไม่มีวาระซ่อนเร้นอะไรครับ

     เหตุที่เขียนบอกไว้ว่าบางท่านจะไม่ได้ประโยชน์นั้นก็เพื่อป้องกันความผิดหวังของผู้มาเรียนบางท่านเท่านั้น ผู้มาเรียนที่จะผิดหวังก็คือผู้ที่ศึกษาหรือปฏิบัติธรรมในแนวพุทธศาสนามามากแล้ว มีความเชื่อแน่นแฟ้นในวิธีปฏิบัติที่ตนศรัทธา แต่ขณะเดียวกันก็ชอบแสวงหาคอนเซ็พท์ใหม่ๆในเรื่องความหลุดพ้นเพื่อนำมาเทียบเคียงกับคอนเซ็พท์ที่ตนเองเชื่อมั่่น เป้าหมายก็มักเป็นการหาอะไรมาตอกย้ำความเชื่อเดิมของตนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น คอนเซ็พท์ดังกล่าวก็มักเป็นเรื่องที่อยู่ไกลออกไป เช่นการเวียนว่ายตายเกิด การบรรลุนิพพานเมื่อตายแล้ว วิธีการเทียบเคียงคอนเซ็พท์ก็มักเป็นการเสวนา แต่เมื่อมาพบว่ารีทรีตนี้ไม่ใช่เวทีเสวนาถึงคอนเซ็พท์ที่ตนเองสนใจจะพูดถึงก็จะผิดหวัง จึงต้องบอกกล่าวกันไว้ก่อนเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้กันท่านะ อย่าเข้าใจผิด หมอสันต์เปิดรีทรีตเก็บเงิน ถ้าไปกันท่าไม่ให้คนมาเข้ารีทรีตตัวเองก็เป็นวิธีทำธุรกิจของคนบ้าแล้ว เพียงแต่ว่าผมในฐานะคนทำหน้าที่เพื่อนที่ดี ผมไม่ควรมาทำงานแบบนั่งถกเถียงกับความคิดหรือความเชื่อว่าโลกนี้เป็นของจริงอันจะเป็นการชักนำให้ผู้มาเข้ารีทรีตเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ ในฐานะเพื่อน ผมต้องการอย่างเดียวจากผู้มาเข้ารีทรีต คือขอแค่มีความจริงจังและจริงใจที่จะมุ่งสู่ความหลุดพ้นโดยไม่มีข้อเกี่ยงงอนก็พอแล้ว ความเชื่อและประสบการณ์อื่นๆไม่ต้องเอามาด้วยก็ได้

อันตรายของความรู้

     ไหนๆพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็พูดกันให้หมดเปลือกซะเลย ถ้าคุณอยากหลุดพ้น คุณต้องพร้อมที่จะเลิกสิ่งที่คุณเรียนรู้มาให้หมดก่อน เพราะการหลุดพ้นก็คือการสิ้นสุดของความอยากและความรู้ทั้งหลาย อย่าลืมว่าความรู้ทั้งหลายมันก็คืือความคิด ซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราวนะ สิ่งชั่วคราวทุกอย่างในชีวิตนี้เป็นราคาที่คุณจะต้องจ่ายถ้าคุณอยากเข้าถึงสิ่งถาวรหรือนิรันดร เช่นเดียวกัน หากคุณอยากเข้าถึงความเป็นอมตะหรือไม่ตาย คุณต้องยอมตายก่อน นั่นเป็นราคาที่คุณจะต้องจ่าย ถ้าคุณกลัวตาย หรือไม่ยอมตาย คุณจะเข้าถึงสภาวะที่ความตายไม่มีผลต่อคุณได้อย่างไร..ถูกแมะ

ไม่ต่อต้านวิถีชีวิตปุถุชน

     แต่อย่าเข้าใจผิดนะว่าผมสนับสนุนให้คุณเลิกวิถีชีวิตแบบปุถุชนเพื่อการหลุดพ้น ไม่ต้อง คุณแต่งงานได้ มีลูกได้ หาเงินได้ เลี้ยงดูครอบครัวได้ มีเซ็กซ์ได้ มีกิ๊กได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับคุณอย่างเป็นธรรมชาติ ชะตาชีวิตจะต้องเติมเต็มสิ่งที่มันอยากเติม คุณไม่ต้องไปขัดขืนต่อต้าน เพียงแต่ทุกวินาทีที่คิดได้ ขอให้มีเจตคติที่มุ่งไปทางปล่อยวางความยึดถือสู่การหลุดพ้น มุ่งเป็นผู้ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนกลับมาพอกพูนตัวตนปลอมของคุณ ให้โดยไม่ต้องถามหาผลลัพธ์ ในแง่ของการมีชีวิตคู่ คุณไม่ได้เป็นสามีหรือภรรยานะ แต่คุณเป็นความรักระหว่างสามีภรรยา คุณเป็นเมตตาธรรมที่ใสสอาดและจรรโลงทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยและเป็นสุข ให้คุณค่อยๆตระหนักว่าความเป็นบุคคลของคุณที่เริ่มเมื่อเกิดและสิ้นสุดเมื่อตายนั้นเป็นของปลอม อย่าไปอินกับความเป็นบุคคลหรือจมอยู่ในความอยากหรือความกลัวซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นบุคคล ให้คุณหมั่นสืบค้นหาความเป็นคุณที่แท้จริง ขยันตั้งคำถาม ฉันเป็นใคร ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า ความคิดนี้ใครชงขึ้นมา จะนำเสนอใคร เพื่ออะไร ให้คุณขยันทำจนเข้าถึงมันอย่างลึกซึ้ง การหลุดพ้นไม่ใช่การแสวงหาจนพบหรือการได้มา แต่เป็นการเข้าใจ เข้าใจอะไรหรือ ก็เข้าใจว่าประสบการณ์ชีวิตแต่ละช็อตล้วนมาแล้วก็ไป เมื่อลงลึกไปถึงรากของทุกประสบการณ์ก็จะเห็นความรู้สึกถึงการอยู่ที่นี่ (being) หรือความรู้ตัว ซึ่งเป็นสาระหลักของความเป็นคุณที่แท้จริง

     คุณดำเนินชีวิตแบบปุถุุชนแต่ทำงานที่ไม่ใช่เพื่อความเป็นบุคคลของคุณได้ เวลาคุณทำงานเพื่อคนอื่นคุณไม่ร้องเรียนว่าโน่นไม่มีนี่ไม่พอ เพราะถ้าคุณร้องเมื่อไหร่ก็แสดงว่าคุณมีจุดอ่อน มีความอยาก มีความกังวลอยู่ คุณต้องลุยไปกับสิ่งเท่าที่มีอยู่ก็พอแล้ว แล้วตัวช่วยมันจะโผล่มาเอง คุณต้องไม่ยี่หระว่าผลจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องตีปี๊บเอาหน้าหรือป่าวร้องให้คนมารับรู้ คุณแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ สำเร็จหรือล้มเหลวคุณก็ไม่ต้องไปสน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคนเรานี้มันมีปัจจัยร่วมแยะมาก ความพยายามของคุณเป็นเพียงปัจจัยเล็กๆปัจจัยหนึ่ง ดังนั้นไม่ต้องทิ้งงาน ทำงานทำการของคุณไป เมื่อมีเวลาว่าง มองเข้าข้างใน มันสำคัญที่คุณต้องไม่พลาดเมื่อโอกาสมี ถ้าคุณจริงใจและจริงจัง เวลาว่างแค่นั้นก็มากเกินพอ ในอีกด้านหนึ่ง การมีความริเริ่มสร้างสรรค์ มีความสุข มีความร่ำรวยที่จะแบ่งปันคนอื่น ก็มักเป็นผลตามหลังการได้พบกับความรู้ตัวด้วย
   
ไม่สนับสนุนการแสวงหา

     ถ้าคุณต้องมีเวลา ต้องใช้เวลาเพื่อบรรลุอะไรสักอย่าง นั่นเป็นของปลอม เพราะของจริงไม่มีเวลา มีแต่เดี๋ยวนี้ ของจริงอยู่กับคุณเสมอโดยไม่ต้องรอเวลาที่จะเข้าถึง คุณไม่ต้องรอเพื่อที่จะได้เป็นตัวคุณเอง เพียงแค่อย่าปล่อยใจให้เถลไถลไปข้างนอก คุณไม่ต้องการประสบการณ์ใดๆในชีวิตอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่คุณต้องการคืออิสรภาพจากประสบการณ์ทั้งหลายมากกว่า รีทรีตที่ผมทำจึงไม่ใช่คอนเซ็พท์ใหม่หรือประสบการณ์ใหม่ที่ผู้มาเรียนจะพอกพูนเป็นตำราอีกหนึ่งเล่ม วิดิโออีกหนึ่งม้วน หรืออาจารย์อีกหนึ่งคน หรืือคำวินิจฉัยว่าวิธีนี้ถูก วิธีนี้ผิด เหล่านี้เป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมายที่ผมทำรีทรีต คือยิ่งคุณคาดหวังอย่างนี้ มันจะยิ่งฉุดคุณให้ห่างออกไปจากความหลุดพ้น คุณจะรู้ว่าคุณบรรลุถึงความจริงหรือหลุดพ้นแล้วก็ต่อเมื่อความปักใจเชื่อว่าสิ่งนี้คือความจริงสิ่งนั้นคือความจริงหมดไปก่อนเท่านั้น

     ในแง่ของการเสาะหาเส้นทาง คุณไม่ต้องเสาะหาเส้นทาง แค่อยู่นิ่งๆ เงียบๆ เปิดใจ แค่นั้นแหละ สิ่งที่คุณแสวงหามันอยู่ใกล้คุณเสียจนไม่มีที่ให้วางเส้นทางที่จะเดินไปหา

    ในแง่ของการตระเวณหาอาจารย์ ผมบอกคุณได้เลยว่าคุณไม่ต้องตระเวณหาอาจารย์ดอก อาจารย์ทุกคนช่วยคุณได้เพียงแค่บอกสิ่งเดียวกัน คือบอกให้คุณเลิกสนใจสิ่งภายนอกกลับเข้าไปค้นหาข้างใน อาจารย์ช่วยคุณได้แค่นี้จริงๆ แล้วคุณจะตระเวณหาอาจารย์ไปทำไม

ไม่ต่อต้านความอยากแบบตะพึด

     ความอยากไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันเป็นธรรมชาติของการใช้ชีวิต มันเป็นการแสดงออกถึงความรักตัวเอง คุณแสวงหาความหลุดพ้นเพราะคุณรักตัวเอง อยากมีความสุข เอาเลยเดินหน้ารักตัวเอง แต่รักอย่างฉลาดนะไม่ใช่อย่างโง่ๆแล้วทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ กล่าวคือเมื่อเรามีความอยากเรามีวิธีสนองตอบสองวิธี คือ

วิธีที่หนึ่ง ลองให้รู้ทีเดียวแล้วผ่านไป

วิธีที่สอง หมกมุ่นอยู่กับมัน

     ในทั้งสองวิธีนี้ วิธีหมกมุ่นเป็นวิธีที่โง่ วิธีลองให้รู้ทีเดียวแล้วผ่านไปเป็นวิธีฉลาด สิ่งที่คุณเลือกก็เป็นสาระสำคัญ การเชื่อว่าสิ่งเล็กๆน้อยๆอย่างอาหาร เซ็กซ์ อำนาจ ชื่อเสียง จะทำให้คุณมีความสุขนั่นก็เป็นการหลอกตัวเอง มีแต่สิ่งที่ลึกและกว้างอย่างความรู้ตัวเท่านั้นที่จะทำให้คุณพบความสุขที่แท้จริง แม้ความสุขในการได้ให้ความรักเมตตาต่อคนอื่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังจากที่คุณพบกับความรู้ตัว หลังจากที่คุณพบว่าคนอื่นเหล่าน้้นก็เป็นหนึ่งในคุณด้วย การรักคนอืื่นเป็นผลตามมาหลังจากที่คุณรักตัวเองแล้วรู้จักตัวเอง เมื่อนั้นคุณรู้ว่าทุกชีวิตในจักรวาลนี้รวมอยู่ในคุณด้วย การตระหนักรู้นี้จะทำลายวงจรแยกเราเขาซึ่งนำไปสู่ความกลัว ความกลัวนี้จะกลับนำเราไปสู่การตอกย้ำให้แยกเราเขา เป็นวงจรชั่วร้ายไม่รู้จบตราบใดที่เรายังเข้าไม่ถึงความรู้ตัว

     ในการใช้ชีวิตแบบปุถุชนที่มี "ความอยาก" และ "ความกลัว" เป็นแขกขาประจำนี้ คุณอย่าจมอยู่กับประสบการณ์ จำไว้ว่าคุณอยู่พ้นประสบการณ์ พ้นการเกิดการตาย การจดจำเช่นนี้จะช่วยให้การตื่นรู้ที่แท้จริงเกิดขึ้น ความจริงไม่ใช่เหตุการณ์หรืือประสบการณ์ ถ้ารอเหตุการณ์คุณรอไปจนตายก็ไม่พบ ความจริงไม่มา ไม่ไป แต่อยู่ที่นี่รอให้คุณไปรู้ มองเหตุการณ์ว่าเป็นแค่เหตุการณ์ มองประสบการณ์ว่าเป็นแค่ประสบการณ์ มาแล้วก็ไป ก็เท่ากับคุณเปิดต้วเองให้พร้อมสำหรับการรับรู้ความจริง แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณคิดชอบหรือไม่ชอบขึ้นมา ม่านบังตาก็ถูกลากกลับมาปิดกั้นทันที ดังนั้นให้สนใจต่อสรรพสิ่งตามที่มันเป็นอย่างซื่อตรงเท่านั้น

ไม่ต่อต้านศรัทธา

     ผมไม่ต่อต้านศรัทธาหรือความเชื่อนะ ในทางตรงกันข้ามการจะได้ประโยชน์จากรีทรีตที่ผมทำต้องมีความเชื่อจริงจังระดับหนึ่งก่อน อย่างน้อยประสบการณ์ของผมเองสอนว่าการมีความเชื่ออะไรสักอย่างให้มากพอที่จะเต็มใจทดลองทำอะไรสักอย่างโดยไม่ต้องรอให้ใครมาประกันความสำเร็จว่าทำอย่างนี้สิต้องสำเร็จแน่ๆ แค่คุณมีความเชื่อพอที่อยากทดลองมากๆ คุณก็ลุยได้เลย ตรงนี้แหละที่ผมให้น้ำยากับความเชื่อ หากไม่มีความเชื่อ คุณก็จะไม่กล้าลุย

     แล้วคุณเชื่อไหม คนที่ว่าศึกษามาแยะ ปฏิบัติมาแยะ ตระเวณมาหลายอาจารย์หลายสำนัก มากด้วยประสบการณ์ และยังตั้งหน้าตระเวณต่อไปไม่รู้จบสิ้น พอสอบถามเอาความกันจริงๆแล้ว เขาไม่มีความเชื่ออะไรเลย เขากำลังรอการพิสูจน์ รอหนังสือค้ำประกัน รอการประทับตรายางจากใครก็ยังไม่รู้ เขาคิดว่าต่อเมื่อได้รับการพิสูจน์หรือได้จั้มตรายางค้ำประกันแล้ว เขาจึงจะยอมลงมือทำ ซึ่งผมบอกได้เลยว่าโอกาสเช่นนั้นไม่มีทางมาถึง เขาจะต้องรอหรือตระเวณหาการพิสูจน์ไปอีกตลอดชีวิต

วิธีพิสูจน์ชีวิตหลังตาย

     หลายคนที่มาเข้ารีทรีต โหยหาการพิสูจน์ว่าชีวิตหลังตายมีจริงหรือไม่ ผมจะบอกคุณว่าไม่ต้องไปเสาะหาการพิสูจน์ที่ไหน ตัวคุณนั่นแหละจะเป็นผู้พิสูจน์คอนเซ็พท์ที่ว่าเมืื่อกายและใจนี้ตายไปแต่ความรู้ตัวจะยังไม่ตายนั้นเป็นความจริงหรือไม่ วิธีพิสูจน์ก็คือให้คุณเฝ้ามองและใช้ชีวิตอยู่เหนือกายนี้ใจนี้อย่างสิ้นเชิง แยกตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกต ปล่อยวางราวกับว่ากายและใจของคุณตายได้ไปแล้ว นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะพิสูจน์ว่าแก่นกลางของความเป็นคุณไม่ใช่กายนี้ไม่ใช่ใจนี้ อะไรที่เกิดกับกายและใจอาจอยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมบังคับของคุณ แต่คุณมีอำนาจจะเลิกจินตนาการว่าคุณคือกายนี้ใจนี้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คุณเตือนตัวเองเสมอว่ามันมีผลต่อกายและใจเท่านั้น แต่ไม่มีผลต่อคุณ ยิ่งคุณเอาจริงเอาจังกับการใส่ใจจดจำตักเตือนตัวเองอย่างนี้เท่าใด คุณก็ยิ่งจะตระหนักรู้ความรู้ตัวเร็วเท่านั้น เพราะความจำนั้นจะกลายเป็นประสบการณ์ สิ่งที่เคยคิดทึกทักเอา นานไปก็จะกลายเป็นประสบการณ์จริง นี่เป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์

ลึกลงไปในเรื่องความรู้ตัว

     ผู้มาเข้ารีทรีตมักขอให้ผมอธิบายว่าความรู้ตัวคืืออะไร มันเหมือนกับเรากำลังคุยกันอยู่ในที่มีเสียงดังอีล้งช้งเช้งแล้วคนหนึ่งขอให้อีกคนหนึ่งยกตัวอย่างว่าความเงียบเป็นอย่างไร หรือเราคุยกันอยู่ในบรรยากาศของการหลับฝัน แล้วพยายามจะอธิบายถึงสภาพความตื่น มันจะทำได้ไหมละครับ แต่ผมจะพยายามทำนะ

     อุปมาอุปไมยเหมือนฟืนเกิดมาจากต้นไม้ ไฟเกิดขึ้นมาจากฟืน แต่ว่าใครเป็นผู้เห็นเปลวไฟละ ผู้ที่รู้เห็นคือผู้ที่เฝ้าสังเกตอยู่ ถูกแมะ ในป่าที่ไม้สีกันเกิดไฟโดยไม่มีผู้สังเกต ไฟนั้นก็ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น ฉันใดก็ฉันเพล ร่างกายนี้เกิดจากอาหาร น้ำ และอากาศ แล้วใจหรือความคิดนี้เกิดขึ้นมาจากร่างกายเหมือนไฟเกิดจากฟืน แล้วความคิดนี้ปรากฎต่อใครละ ใครเป็นผู้สังเกตว่ามีความคิดเกิดขึ้น นั่นแหละ ผู้สังเกตนั้นแหละคือ..ความรู้ตัว

     พูดถึงการเป็นผู้สังเกต คุณเข้าใจคำพูดที่ว่า "โลกนี้คือละคร" ว่าอย่างไรละ ใครเป็นคนเล่นละคร..ตัวคุณเองใช่ไหม แล้วใครเป็นคนดูละคร..ก็ตัวคุณตัวเองอีกนั่นแหละ แสดงว่าตัวเองมีสองตัวนะ คุณตัวที่นั่งดูละคร ถึงตอนตลกก็หัวเราะ ถึงตอนเศร้าก็ร้องไห้ แต่คนที่นั่งดูละครอยู่นั้นเชื่อไหมว่าที่ตลกหรือที่เศร้านั้นเป็นเรื่องจริง..ไม่เชื่อหรอก เพราะคนดูเขารู้ว่ามันเป็นแค่ละคร คือให้คุณปฏิบัติต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้เสมือนว่ามันเป็นละคร เสมือนมันเป็นความฝัน คุณก็จะหลุดพ้น แต่ถ้าคุณไปเชื่อว่าความฝันนั้นเป็นความจริง คุณก็จะกลายเป็นทาสความเชื่อนั้นไปทันที ถ้าเชื่อว่าคุณเกิดมาเป็นอะไร คุณก็เป็นทาสของความเชื่อนั้น การเกิด มีชีวิต และตาย เป็นธรรมชาติ แต่ความกลัวไม่ใช่ธรรมชาติ มันเป็นความเชื่อว่าสิ่งไม่จริงคือสิ่งที่เป็นจริง ดังนั้นสำหรับผู้รู้ตัวโลกนี้คือละครที่ผู้รู้ตัวนั่งดูด้วยความบันเทิงตราบที่ละครยังเล่นและลืมมันทันทีที่ละครเลิก ขณะนั่งดู ขำก็หัวเราะ โศกก็ร้องไห้ แต่ก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่ามันเป็นละคร ไม่มีอยากได้อะไร ไม่กลัวอะไรในละคร ได้แต่เพลิดเพลินกับมัน พูดอย่างนี้เข้าใจไหมเนี่ย

     สมมุติว่าเข้าใจแล้วนะ เราไปกันต่อลึกอีกหน่อย ผู้รู้ตัวที่แท้จริงต้องปฏิเสธความเป็นบุคคลอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่สมยอมกัน หากสมยอมนั่นเป็นผู้รู้ตัวปลอมที่ความคิดหรือ "ผู้กำกับ" ประจำใจคุณปั้นขึ้นมา ตราบใดที่ยังมีความขัดแย้ง ขัดขืน ต่อสู้ พยายามเปลี่ยนแปลง แสดงว่าผู้รู้ตัวที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น การเกิดของผู้รู้ตัวเกิดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีขั้นตอน ไม่มีความก้าวหน้า มันเป็นขั้นสุดท้ายที่สมบูรณ์โดยตัวของมันเองไม่เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งสิ้น คุณเหนี่ยวนำให้ผู้รู้ตัวเกิดไม่ได้ แต่คุณขจัดสิ่งขวางกั้นการเกิดนั้นได้ด้วยการเฝ้าดูความคิดของคุณ สร้างผู้เฝ้าดูอย่างอุเบกขา ยืนนิ่งๆ ดูเฉยๆ แล้วผู้รู้ตัวก็จะปรากฎแก่คุณ หน้าที่ของคุณคือตระหนักว่าสิ่งที่คุณคิดว่าคุณเป็นน้ั้นเป็นเพียงสายธารของเหตุการณ์ที่เปลี่ยนตลอดเวลา มาแล้วก็ไป แต่คุณเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น คุณต้องแยกสิ่งที่ถูกสังเกตรับรู้ออกไปจากคุณในฐานะผู้สังเกตและเลิกสำคััญมั่นหมายว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นคุณ

     ไปกันลึกลงไปอีีกหน่อยนะ สมมุติว่าคุณนั่งคนเดียวเงียบๆในความมืด ปล่อยวางความคิดไป ไม่ใส่ใจ ไม่คิดต่อยอดอะไรทั้งสิ้น เมื่อใจว่างจากสิ่งที่หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ประจำแล้วคุณก็กลายเป็นสภาวะที่ไม่มีความคิด ไม่มีคอนเซ็พท์ใดๆรวมทั้งคอนเซ็พท์การเป็นเจ้าของ ไม่มีร่างกายของคุณ ไม่มีชื่อของคุณ ไม่มีสถานะทางสังคม คุณคือความมืดอันกว้างใหญ่ที่มีร่างกายนั่งอยู่ในนี้ด้วย ถ้าคุณฝึกอยู่ตรงนี้ต่อเนื่องได้นานพอ ความรู้ตัวหรือผู้รู้ตัวก็จะปรากฎแก่คุณ เริ่มต้นด้วยการเกิดแสงสว่างเรื่อๆ ณ จุดที่คุณให้ความสนใจอยู่ แสงสว่างเรื่อๆนี้จะนำมาซึ่งพลังงานเย็นๆไหลจากทั่วทุกทิศทุกทางเข้ามาสู่จุดนี้ ผมเรียกพลังงานนี้ว่าพลังเมตตา (Grace) มันมาพร้อมกับความเย็นและความเบิกบาน คุณจะรู้ได้ทันทีว่านี่มันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของคุณ ที่ตรงนี้ความคิดใดๆไม่มี ความอยากก็ไม่มี ความกลัวก็ไม่มี มีแต่ความเมตตา ราวกับว่าจักรวาลทั้งหมดนี้เป็นร่างกายของคุณ ความรักและเมตตาจะแผ่สร้านไปทุกอณูจนไม่มีที่ว่างให้กับสิ่งอื่นเลย นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าความรู้ตัว ซึ่งเป็นแหล่งของความสุขสงบเย็นที่แท้จริงที่คนเราจะหาได้ในการเกิดมามีชีิวิตหนึ่งนี้

     แล้วการปรากฎของผู้รู้ตัวนี้ ไม่ได้ปรากฎให้เห็นเป็นตัวตนเหน่งๆที่สัมผัสรับรู้ได้ด้วยอายตนะทั้งหกนะ มันปรากฎเป็นภาพสะท้อนของสิ่งที่อยาตนะรับรู้ได้ขณะที่ปลอดจากสิ่งเร้าอื่นๆ เปรียบเหมือนการเห็นแสงอาทิตย์ที่สะท้อนผ่านดวงจันทร์ หรือเปรียบเหมือนภาพสะท้อนในกระจกเงา ไม่มีของจริงที่ข้างหลังกระจกเงา แต่ของจริงมันอยู่ข้างหน้าซึ่งตาเรามองตรงๆไม่เห็น ต้องมองภาพสะท้อนในกระจกจึงจะเห็น กระจกในที่นี้ก็เปรียบเหมือนอายตนะ ถ้ามันมีสิ่งเร้าอื่นๆเช่นความคิดเขรอะอยู่ก็เหมือนกระจกมันเปื้อนฝุ่นฝ้า เราไม่มีทางมองเห็นภาพสะท้อนนั้น ต่อเมื่อกระจกใสเราจึงจะมองเห็นภาพสะท้อน หรือเปรียบเหมือนคนเป็นต้อกระจกมองดูดวงจันทร์ เขาย่อมมองไม่เห็นแสงจันทร์ ฉันใดก็ฉันเพล หากใจยังมีความคิดอยู่ก็ไม่มีวันจะเห็นความรู้ตัว

     ไหนๆก็มาลึกถึงตรงนี้แล้ว ไปกันต่ออีกหน่อยนะ จากตรงนี้ขั้นต่อไปคือการทิ้งกระจกเงาหรืออายตนะไปเป็นแหล่งแห่งแสงและพลังเมตตาที่อยู่เบื้องหลังผู้รู้ตัวนั้นเสียเอง คือเป็นขั้นตอนที่่จะทิ้งกายและใจไปเสีย ขั้นตอนนี้มันเป็นกลไกอัตโนมัติเหมือนเมื่อคุณจ่ายเงินซื้อตั๋วขึ้นนั่งรถไฟตีลังกาเหาะที่แดนเนรมิตแล้ว คุณขึ้นนั่งและคาดเข็มขัดแล้ว เดี๋ยวรถไฟมันก็พาคุณตีลังกาเองโดยคุณไม่ต้องทำอะไร ดังนั้นคุณแค่ทำตัวเป็นผู้สังเกต สังเกต สังเกต แล้วเฉยไว้ เดี๋ยวดีเอง คืออยู่ๆคุณก็จะ "เป็น" ความรู้ตัวขึ้นมาเอง ตรงนี้แหละคือความหลุดพ้น หมายความว่าหลุดพ้นจากการเป็นกายนี้และเป็นใจนี้ ความคิด ร่างกาย อายตนะ ไม่ใช่คุณอีกต่อไป คุณอยู่สูงกว่าทั้งหมดนั้น มองอีกแง่หนึ่งความหลุดพ้นเหมือนกับการแชร์ คือคุณได้เข้าไปในจิตสำนึกรับรู้อันกว้างใหญ่แล้วแชร์มันกับคนอื่นเช่นเพื่อนหรือครูของคุณเป็นต้น แม้มาถึงจุดนี้แล้วคุณก็ยังต้องเฝ้าดูความคิดคุณให้ดีอยู่นะ เพื่อไม่ให้มันมาขวางทางคุณ คุณต้องตื่นตัวระวังระไวเหมือนคุณยายนอนเฝ้าบ้านระวังขโมยตอนดึก ไม่ใช่ว่าคุณยายคาดหวังจะได้อะไรจากขโมยดอก แต่คุณยายไม่ต้องการเสียทรัพย์ การเฝ้าระวังของคุณในขั้นตอนนี้ก็เป็นฉันนั้น

อย่าสำคัญผิดว่าผมเป็นอาจารย์

     คนที่มารีทรีตบางคนสำคัญผิดคิดว่าผมเป็นอาจารย์ แล้วปฏิบัติต่อผมแบบศิษย์ปฏิบัติต่ออาจารย์ทางจิตวิญญาณหรือหลวงพ่ออะไรประมาณนั้น ซึ่งเป็นความอึดอัดขัดข้องสำหรับผมอย่างยิ่ง และอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้ผมเลิกทำรีทรีตนี้เสียเพราะผมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ใช่อาจารย์ ผมเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น เวลานั่ง ผมนั่งเสมอพื้นเดีียวกับผู้มาเข้ารีทรีต ผมรับไม่ได้ที่จะมีคนมากราบไหว้ผม เพราะผมไม่ได้บรรลุอะไร นอกจากจะรู้แค่ว่าผมได้เผลอเพิกเฉย (ignore) ต่อความรู้ตัวมานานแล้วเท่านั้น ผมไม่ได้ตื่นรู้สัจจธรรมระดับพิศดารอะไร ถึงถ้ามีผู้ตื่นรู้จริงก็ไม่ใช่อะไรที่พิเศษ ใครที่ประกาศว่ามีความพิเศษหรืือมีเอกลักษณ์นั่นไม่ใช่ผู้ตื่นรู้ เขาเข้าใจผิดว่าปรากฎการณ์ประหลาดที่เขาพบบางอย่างเป็นการตื่นรู้ ผู้ตื่นรู้ที่แท้จริงแค่พบว่าตัวเองเป็นคนปกติต่อธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือพิเศษ คนที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่หรือพิเศษนั่นเป็นเพราะเขายังเพลินในตัวตน ยังเพิกเฉย (ignorance) ต่อความรู้ตัวที่แท้จริง ไม่ใช่เพราะเขาตื่นรู้สัจจธรรมอะไร

    ผู้มารีทรีตทุกคนต้องเข้าใจให้กระจ่างก่อนว่าผมไม่ได้เป็นครูหรือกูรูในทางจิตวิญญาณ ผมเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น ผมทำได้แค่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้คุณฟัง แต่ "กูรู" ที่แท้จริงสอนคนอื่นให้หลุดพ้นได้ด้วยพลังที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของเขา มันเป็นพลังความเชื่อ (power of conviction) ซึ่งถูกปลุกขึ้นมาจากความแรงกล้าของความมุ่งมันของศิษย์แต่ละคน คำสอนของครู บวกกับความเชื่อมั่นของลูกศิษย์ในตัวครู ทำให้เกิดการหลุดพ้น คือเมื่อเชื่อมั่นในตัวครูมากก็ทำให้ลูกศิษย์ยอมรับคำพูดของครูว่าเป็นจริงแล้วทำตามนั้นแบบไม่มีเงื่อนไข การหลุดพ้นจึงเกิดขึ้น แต่ผมไม่ใช่ครูอย่างนั้น และผมไม่ต้องการเป็นครูที่สอนอย่างนั้น เพราะในโลกนี้จะมีศิษย์สักกี่คนที่เชื่อครูอย่างมอบกายถวายชีวิตและจริงใจชนิดไร้แรงต่อต้านใดๆ  จะมีศิษย์สักกี่คนที่จะตั้งใจขจัดความขี้เกียจและขัดขืนต่อการเสียความเคยชินหรือความเพลิดเพลินเดิมๆในการเป็นบุคคลซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการหลุดพ้น ฝันไปเถอะที่จะมีครูและศิษย์แบบว่าฟังคำพูดกันสองสามคำหรือมองตาหรือแตะตัวกันนิดหน่อยแล้วหลุดพ้นเลย อย่างนั้นมันต้องคนที่สุกงอมมาแล้วจริงๆ ตัวเร่งความสุกงอมนั้นคืือความเอาจริงเอาจัง earnest แบบทุ่มเทเต็มร้อยไม่มียั้งมือ ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ดังนั้นสำหรับผู้มาเข้ารีทรีตนี้ ผมรู้ว่าผมไม่ใช่ครูอย่างนั้น ผมตั้งใจจะเป็นแค่เพื่อนของผู้มาเข้ารีทรีตเท่านั้น ย้ำ..เป็นเพืื่อนเท่านั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี