มอร์ฟีนจะขัดขวางการปฏิบัติธรรมในวาระสุดท้ายหรือไม่
ลมหนาวกำลังพัดโบกโบยมวกเหล็ก อากาศสดชื่นและเย็นยะเยือกสบายจมูกอย่างยิ่ง ดอกไม้แข่งกันออกดอกมองไปทางไหนก็สบายตา
"..ยามลมหนาว พัดโบกโบยโชยชื่น
เหล่าสกุณร้องรื่นรมย์
หมู่ดอกไม้ชวนภมรร่อนชม
ช่างสุขสมเพลินตาน่าดูชูใจ.."
เพื่อให้ได้บรรยากาศหน้าหนาว ผมตัดสินใจเชิญขิงข่าตะไคร้ใบแมงลักลงจากหิ้งสวนครัวลอยฟ้าเสียครึ่งหนึ่งเพื่อเปิดช่องให้เอาดอกไม้ขึ้นวางแทน เท่เชียว ไม่เชื่อดูรูป
วันนี้ขอตอบจดหมายขนาดสั้นหนึ่งฉบับ
............................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน
ถามเรื่องมอร์ฟีนครับ ผมคิดถึงเรื่องการตายแบบธรรมชาติ มีสติ คือปฏิบัติธรรมในช่วงนาทีสุดท้าย มอร์ฟีนมีผลกับจิตใจในระยะสุดท้ายแค่ไหน มีผลหลอนจิตหรือไม่
......................................................
ตอบครับ
มอร์ฟีนออกฤทธิ์ตรงต่อระบบประสาทกลางโดยจับกับตัวรับชื่อ opiate receptors ในสมอง แล้วทำให้มีผลเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองและระบบประสาทอัตโนมัติ กลไกที่มอร์ฟีนไปมีผลลดหรือเพิ่มความคิดได้อย่างไรวงการแพทย์ไม่ทราบดอก เพราะวงการแพทย์ไม่เคยทราบกลไกของการเกิดความคิด อย่างมากก็แค่ทราบจากสถิติว่าคนไข้ได้มอร์ฟีนแล้วมีความคิดอย่างไรเกิดขึ้นบ้างแล้วบันทึกเป็นข้อมูลสถิติ ซึ่งข้อมูลสถิติพบว่ามอร์ฟีนมีผลต่อความคิดสองด้าน
ด้านหนึ่งคือถ้าได้ในขนาดพอดี มอร์ฟีนทำให้ความคิดน้อยลง มีฤทธิ์กล่อมประสาท (sedation) ทำให้คลายกังวล ผ่อนคลาย ทำให้อารมณ์ดีขึ้น รู้สึกอบอุ่น เบิกบาน สบายใจ ไม่สนใจอะไรนอกตัว ไม่สนใจความบันเทิงอย่างอื่น อยากได้ยาซ้ำๆ ถ้าหมอยอมตามก็จะติดยา
อีกด้านหนึ่งคือมอร์ฟีนทำให้เกิดความคิดและอารมณ์แบบเปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้มีความคิดผิดปกติที่ไม่เคยคิดเกิดขึ้นมาก่อน เกิดเป็นภาวะจิตหลอน (illusion) ทำให้บางคนนอนไม่หลับ ใจหดหู่ ซึมเศร้า
จะเห็นว่ามอร์ฟีนมีทั้งดีและเสีย สำหรัับคนทีี่ตื่นกลัว ขี้ปวด และสติแตก มอร์ฟีนอาจช่วยระงับความคิดกังวล สงบได้มากขึ้น แต่สำหรับคนที่มีสติและอยู่กับความรู้ตัวได้ด้วยตัวเอง มีทักษะรับมือกับอาการปวดได้ด้วยตัวเอง มอร์ฟีนอาจมีประโยชน์น้อย
ดังนั้น หากเจ้าตัวตั้งใจจะตายแบบมีสติอยู่กับตัว มีความรู้ตัวอยู่จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ต้องการให้มีความคิดพิศดารใดๆเกิดขึ้นจากยา ก็สามารถบอกหมอว่าไม่ประสงค์จะรับมอร์ฟีน นอกจากไม่ควรใช้มอร์ฟีนแล้ว ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางอื่นใดก็ไม่ควรใช้ทั้งสิ้น ควรปรับบรรยากาศที่ตายให้มันเงียบสงบด้วย ก็จะได้ตายแบบมีสติอยู่กับตัวสมใจ แต่ถ้าลองแล้วไปไม่ไหว ก็เปลี่ยนคำพูดขอหมอฉีดมอร์ฟีนเมื่อไหร่ก็ได้
ในชีวิตจริง บรรยากาศของจริงในห้องแห่งวาระสุดท้ายในโรงพยาบาลนั้นมันสุดจะระเบ็งเซ็งแซ่ ญาติๆพากันมาเยี่ยมมาลุ้นมาห้อมล้อมให้กำลังใจ คนนี้แนะนำนั่น คนนั้นแนะนำนี่ บ้างมาทะเลาะกันอยู่ข้างเตียง บ้างเอาพระมาสวดให้ฟัง หรือเอาซีดีมาเปิดให้ฟัง บ้างเอาซินแสมาปัดรังควาน ที่ไม่รู้จะทำอะไรก็มานั่งบีบมือร้องไห้คร่ำครวญ คือโอกาสที่ผู้ป่วยวาระสุดท้ายจะได้อยู่เงียบๆอยู่กับความรู้ตัวของตััวเองนั้น ผมยังไม่เคยเห็นเลย ดังนั้นที่คุณฝันอยากตายดีๆแบบมีสตินั้นหากคุณไม่หลบมุมไปตายตามสุมทุมพุ่มไม้คนเดียว คุณจะต้องทำการบ้านมากเลยจึงจะได้ตายอย่างที่คุณอยากตาย เพราะลูกหลานของคุณนั้นแม้คุณจะสั่งเสียอย่างดีแต่ถึงเวลาจริงพวกเขาก็จะสติแตกทะเลาะกันและทำอีกอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะลูกหลานเขาก็มีอีโก้ในฐานะ "ลูกกตัญญู" ที่เขาจะต้องปกป้องไม่ให้เสียหาย นี่ผมพูดจากประสบการณ์ตัวเองที่เห็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายมาแยะ มีผู้ป่วยอยู่รายเดียวเท่านั้นที่ผมเห็นว่าวิธีสั่งเสียของท่านได้ผลมาก คือท่านใช้วิธีแช่ง ประมาณว่า
"ถ้ากูเป็นอะไรไปหากลูกคนไหนให้หมอใส่ท่อช่วยหายใจหรือปั๊มหัวใจกู กูจะแช่งให้มันฉิบหายตายโหง ตายเป็นผีแล้วกูก็จะมารังควาญแก้แค้นที่มันเป็นลูกแต่ไม่เชื่อฟังกู"
ปรากฎว่าลูกหลานของท่านปฏิบัติตามดีมาก วันหนึ่งท่านเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ลูกๆพาเข้าโรงพยาบาล ห้ามหมอใส่ท่อช่วยหายใจ และห้ามหมอปั๊มหัวใจ ท่านจึงจากไปแบบไม่มีใครมายุ่งด้วยเลยสมปรารถนา
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
"..ยามลมหนาว พัดโบกโบยโชยชื่น
เหล่าสกุณร้องรื่นรมย์
หมู่ดอกไม้ชวนภมรร่อนชม
ช่างสุขสมเพลินตาน่าดูชูใจ.."
เพื่อให้ได้บรรยากาศหน้าหนาว ผมตัดสินใจเชิญขิงข่าตะไคร้ใบแมงลักลงจากหิ้งสวนครัวลอยฟ้าเสียครึ่งหนึ่งเพื่อเปิดช่องให้เอาดอกไม้ขึ้นวางแทน เท่เชียว ไม่เชื่อดูรูป
วันนี้ขอตอบจดหมายขนาดสั้นหนึ่งฉบับ
............................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน
ถามเรื่องมอร์ฟีนครับ ผมคิดถึงเรื่องการตายแบบธรรมชาติ มีสติ คือปฏิบัติธรรมในช่วงนาทีสุดท้าย มอร์ฟีนมีผลกับจิตใจในระยะสุดท้ายแค่ไหน มีผลหลอนจิตหรือไม่
......................................................
ตอบครับ
มอร์ฟีนออกฤทธิ์ตรงต่อระบบประสาทกลางโดยจับกับตัวรับชื่อ opiate receptors ในสมอง แล้วทำให้มีผลเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองและระบบประสาทอัตโนมัติ กลไกที่มอร์ฟีนไปมีผลลดหรือเพิ่มความคิดได้อย่างไรวงการแพทย์ไม่ทราบดอก เพราะวงการแพทย์ไม่เคยทราบกลไกของการเกิดความคิด อย่างมากก็แค่ทราบจากสถิติว่าคนไข้ได้มอร์ฟีนแล้วมีความคิดอย่างไรเกิดขึ้นบ้างแล้วบันทึกเป็นข้อมูลสถิติ ซึ่งข้อมูลสถิติพบว่ามอร์ฟีนมีผลต่อความคิดสองด้าน
ด้านหนึ่งคือถ้าได้ในขนาดพอดี มอร์ฟีนทำให้ความคิดน้อยลง มีฤทธิ์กล่อมประสาท (sedation) ทำให้คลายกังวล ผ่อนคลาย ทำให้อารมณ์ดีขึ้น รู้สึกอบอุ่น เบิกบาน สบายใจ ไม่สนใจอะไรนอกตัว ไม่สนใจความบันเทิงอย่างอื่น อยากได้ยาซ้ำๆ ถ้าหมอยอมตามก็จะติดยา
อีกด้านหนึ่งคือมอร์ฟีนทำให้เกิดความคิดและอารมณ์แบบเปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้มีความคิดผิดปกติที่ไม่เคยคิดเกิดขึ้นมาก่อน เกิดเป็นภาวะจิตหลอน (illusion) ทำให้บางคนนอนไม่หลับ ใจหดหู่ ซึมเศร้า
จะเห็นว่ามอร์ฟีนมีทั้งดีและเสีย สำหรัับคนทีี่ตื่นกลัว ขี้ปวด และสติแตก มอร์ฟีนอาจช่วยระงับความคิดกังวล สงบได้มากขึ้น แต่สำหรับคนที่มีสติและอยู่กับความรู้ตัวได้ด้วยตัวเอง มีทักษะรับมือกับอาการปวดได้ด้วยตัวเอง มอร์ฟีนอาจมีประโยชน์น้อย
ดังนั้น หากเจ้าตัวตั้งใจจะตายแบบมีสติอยู่กับตัว มีความรู้ตัวอยู่จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ต้องการให้มีความคิดพิศดารใดๆเกิดขึ้นจากยา ก็สามารถบอกหมอว่าไม่ประสงค์จะรับมอร์ฟีน นอกจากไม่ควรใช้มอร์ฟีนแล้ว ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางอื่นใดก็ไม่ควรใช้ทั้งสิ้น ควรปรับบรรยากาศที่ตายให้มันเงียบสงบด้วย ก็จะได้ตายแบบมีสติอยู่กับตัวสมใจ แต่ถ้าลองแล้วไปไม่ไหว ก็เปลี่ยนคำพูดขอหมอฉีดมอร์ฟีนเมื่อไหร่ก็ได้
ในชีวิตจริง บรรยากาศของจริงในห้องแห่งวาระสุดท้ายในโรงพยาบาลนั้นมันสุดจะระเบ็งเซ็งแซ่ ญาติๆพากันมาเยี่ยมมาลุ้นมาห้อมล้อมให้กำลังใจ คนนี้แนะนำนั่น คนนั้นแนะนำนี่ บ้างมาทะเลาะกันอยู่ข้างเตียง บ้างเอาพระมาสวดให้ฟัง หรือเอาซีดีมาเปิดให้ฟัง บ้างเอาซินแสมาปัดรังควาน ที่ไม่รู้จะทำอะไรก็มานั่งบีบมือร้องไห้คร่ำครวญ คือโอกาสที่ผู้ป่วยวาระสุดท้ายจะได้อยู่เงียบๆอยู่กับความรู้ตัวของตััวเองนั้น ผมยังไม่เคยเห็นเลย ดังนั้นที่คุณฝันอยากตายดีๆแบบมีสตินั้นหากคุณไม่หลบมุมไปตายตามสุมทุมพุ่มไม้คนเดียว คุณจะต้องทำการบ้านมากเลยจึงจะได้ตายอย่างที่คุณอยากตาย เพราะลูกหลานของคุณนั้นแม้คุณจะสั่งเสียอย่างดีแต่ถึงเวลาจริงพวกเขาก็จะสติแตกทะเลาะกันและทำอีกอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะลูกหลานเขาก็มีอีโก้ในฐานะ "ลูกกตัญญู" ที่เขาจะต้องปกป้องไม่ให้เสียหาย นี่ผมพูดจากประสบการณ์ตัวเองที่เห็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายมาแยะ มีผู้ป่วยอยู่รายเดียวเท่านั้นที่ผมเห็นว่าวิธีสั่งเสียของท่านได้ผลมาก คือท่านใช้วิธีแช่ง ประมาณว่า
"ถ้ากูเป็นอะไรไปหากลูกคนไหนให้หมอใส่ท่อช่วยหายใจหรือปั๊มหัวใจกู กูจะแช่งให้มันฉิบหายตายโหง ตายเป็นผีแล้วกูก็จะมารังควาญแก้แค้นที่มันเป็นลูกแต่ไม่เชื่อฟังกู"
ปรากฎว่าลูกหลานของท่านปฏิบัติตามดีมาก วันหนึ่งท่านเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ลูกๆพาเข้าโรงพยาบาล ห้ามหมอใส่ท่อช่วยหายใจ และห้ามหมอปั๊มหัวใจ ท่านจึงจากไปแบบไม่มีใครมายุ่งด้วยเลยสมปรารถนา
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์