เคล็ดลับของชีวิตคือ..อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น
กราบเรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ
หนูชอบอ่านบล้อคคุณหมอมาก ให้ความรู้หลายอย่าง ทำให้นำมาปรับใช้จัดการกับความยุ่งยากในใจ ความเครียดได้ เรื่องที่จะปรึกษาคือ ตอนนี้หนูอายุ31 อยู่กับพ่อแม่ (พ่ออายุ67แม่อายุ62) หนูทำงานส่วนตัวที่เริ่มต้นด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้รวยค่ะ พออยู่ได้ ไม่ได้ขอพ่อแม่มา8ปี ยกเว้นยังอยู่บ้าน กินนอนที่บ้าน
หนูมีแฟนคบมา4ปี มีแผนจะแต่งงานอีก3ปี อาจจะนาน แต่หนูกับแฟนชอบทำงาน และคิดว่าเวลา3ปีมันน่าจะทำให้เราพร้อมกว่านี้ ปัญหาคือ แม่ไม่เข้าใจ จากเริ่มเปรยๆ จนแซวถึงขั้นพูดตรงๆว่า แต่งสักที ไปไหนด้วยกันสองคน แม่ก็ไม่สบายใจ ไปงานแต่งญาติ คนก็ถามว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวสักที ...หนูถามแม่ว่าแม่อยากเห็นแค่งานแต่งก็สบายใจแล้วหรอ ....แม่บอกว่า เปล่า แค่อยากเห็นหนูมีความสุขพร้อมในชีวิตคู่ .....หนูถามแม่ว่าแล้วแม่รู้ได้ยังไงว่าแต่งแล้วหนูจะมีความสุขจริง ในเมื่อชีวิตหนู หนูควรจะตัดสินใจว่าพร้อมตอนไหนเอง ทำไมแม่ต้องกดดัน .....แม่บอกว่า เปล๊าาา นี่ไม่ได้เรียกกดดัน ถ้ากดดันคงเรียกผู้ชายมาคุยแล้ว
หนูมีพี่สาวกำลังแต่งงานปีหน้า หนูก็คิดว่าแม่น่าจะไม่มากดดันหนูแล้ว แต่เปล่าเลย หนูเคยคุยกับพี่ เรื่องลูก จริงๆหนูกับพี่สองคนเฉยๆไม่ได้อยากมี แต่พี่คิดว่าจะมีลูก เพราะอยากมีให้พ่อกับแม่มีความสุขค่ะ พ่อชอบเด็ก หนูล่ะเชื่อพี่เลยว่าพี่ต้องเสียสละขนาดนี้
สำหรับหนูคิดว่าหนูคงไม่เปลี่ยนแผนค่ะ หนูจะยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่หนูรู้สึกไม่มีความสุขกับความคาดหวังของแม่ และหนูก็ไม่มีความสุขที่ทำให้แม่มีความสุขไม่ได้ เพราะพ่อแม่ก็อายุเยอะแล้ว อนาคตความคาดหวังต่อไป หนูรู้เลยว่าแต่งแล้ว แม่ก็จะถามต่อว่า เมื่อไหร่จะมีลูก
ชีวิตของคนเป็นพ่อแม่คิดและคาดหวังแบบนี้กันส่วนใหญ่ใช่มั้ยคะ ทำยังไงให้เค้ามีความสุขกับตัวเองให้ได้ หนูเคยบอกแม่ให้อย่าคิดเรื่องหนูมาก หาอะไรทำ แม่ก็บอกว่าแฮปปี้ดี มีกิจกรรมทำแล้ว เช่น เล่นหุ้น ไปโยคะ ทำขนม เที่ยวกับเพื่อน หนูเลยไม่รู้ว่าควรจะให้เค้าปรับตัวยังไงดีคะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
(ชื่อ) ......
..........................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าพ่อแม่ทุกคนล้วนคาดหวังกับชีวิตของลูกมากใช่ไหม ตอบว่าใช่ครับ เพราะการเป็นพ่อแม่คนนี้ถ้าไม่นับคนที่ตั้งต้นจากการตกกระไดพลอยโจนแบบฮอร์โมนพาไปแล้ว ส่วนใหญ่ตั้งต้นจากสำนึกความเป็นบุคคล ว่าเราเกิดมา พร้อมแล้ว ควรแต่งงาน ควรมีลูก สำนึกการเป็นบุคคล หรือสำนึกว่าเราคือบุคคลคนหนึ่งนี้มันมีเนื้อหาสาระที่แท้จริงเป็นเพียงความสำคัญมั่นหมาย คือเป็นแค่ความคิดที่ถักทอขึ้นมา ความเป็นบุคคลที่แท้จริงมีที่ไหนกัน ร่างกายยังพอมีขี้เถ้าเหลือให้จับต้องได้เมื่อตายแล้ว แต่ความเป็นบุคคลนี้ไม่มีอะไรเหลือให้จับต้องได้เลย แต่คนเราทั้งๆที่รู้ความจริงข้อนี้แต่ก็เพิกเฉยไม่สนใจ คำว่าเพิกเฉยภาษาอังกฤษใช้คำว่า ignorance ภาษาบาลีใช้คำว่า "อวิชชา" ซึ่งทุกศาสนาถือว่าเป็นปฐมเหตุแห่งทุกข์ นอกจากจะเพิกเฉยแล้ว คนเราก็ยัง "อิน" เหลือเกินกับความเป็นบุคคลของตัวเอง ฉันเป็นแม่คนแล้วนะ นี่ลูกของฉันนะ ลูกของฉันจะต้องอย่างนั้นนะ ลูกของฉันจะต้องอย่างนี้นะ เพราะว่าเขาเป็นลูก "ของฉัน" ฉันจึงต้องกังวลสนใจ ลูกไม่เรียนหนังสือ แม่ก็..ทุกข์ ลูกเรียนหนังสือไม่จบ แม่ก็..ทุกข์ ลูกเรียนหนังสือจบแล้วไม่ยอมทำงาน แม่ก็..ทุกข์ ลูกทำงานแล้วแต่งานนั้นไม่มั่นคง แม่ก็..ทุกข์ ลูกทำงานที่มั่นคงแล้วไม่แต่งงาน แม่ก็..ทุกข์ ลูกแต่งงานแล้วยังไม่มีหลาน แม่ก็..ทุกข์ ส่วนข้างลูกเมื่อเห็นพ่อแม่ทุกข์ก็พยายามทำเพื่อไม่ให้พ่อแม่ทุกข์ แม่อยากได้หลานก็..ทำให้ แล้วก็มาทุกข์เพราะการเลี้ยงดู แม่อยากให้ทำงานนี้ก็..ทำให้ แล้วก็มาทุกข์กับงานที่ทำ สมัยผมรับราชการอยู่ มีพยาบาลที่ทำงานด้วยกันเป็นเด็กสดใสตาเป็นประกาย วันหนึ่งเธอตััดสินใจเด็ดเดี่ยวว่างานราชการเป็นพยาบาลในห้องผ่าตัดมันเป็นงานที่ทึนทึกไม่มีชีวิตชีวา จึงตัดสินใจลาออกจากราชการไปเป็นพยาบาลรพ.เอกชนแต่งหน้าทาปากสวยจ๊ะจ๋ากับคนไข้และญาติอยู่ที่โอพีดี.สบายดีไม่ต้องขึ้นเวรเช้าบ่ายดึก แต่พออีกสองปีให้หลังก็ต้องจ๋อย..ย กลับมารับราชการเป็นพยาบาลห้องผ่าตัดเหมือนเดิม ผมถามว่ากลับมาทำไม เธอตอบว่าเพราะแม่ผ่ายผอมตรอมใจมีแต่ทุกข์ที่ลูกไม่ได้รับราชการ แม่เป็นห่วงว่าเมืื่อตัวเองตายไปลูกคนนี้จะไปอดข้าวอดน้ำโซตายอยู่ข้างถนนเพราะหลวงไม่ได้เลี้ยงแล้ว ลูกเมื่อเห็นแม่ตรอมใจผ่ายผอมก็จึงยอมสละงานที่สนุกสนานกลับมาเป็นนางทึนทึกเหมือนเดิม เวร..คำเดียวเลยจริงๆ
2. ถามว่าที่พี่สาวเขายอมมีลูกเพื่อให้พ่อแม่มีความสุขนั้นเขาทำถูกต้องไหม ตอบว่าการใช้ชีวิตไม่มีถูกไม่มีผิดดอกครับ ผมตอบได้แต่ว่าการจะมีความสุขในชีวิตนั้น เคล็ดลับก็คืออย่าไปยุ่งกับคนอื่น ความสุขในชีวิตไม่ได้อยู่ที่ได้เอาใจใคร ได้ประท้วงใคร หรือได้ทำตามคำแนะนำที่ดีเลิศประเสริฐศรีของใคร แต่อยู่ที่การได้ละทิ้งความสนใจสิ่งภายนอก หันเหกลับมาสนใจภายในตนเอง การได้วางความเป็นบุคคลของตัวเองซึ่งเป็นแค่ความคิดลงไปเสีย ไม่ว่าการจะเป็นลูก การจะกตัญญู การจะว่านอนสอนง่าย ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิด วางไปเสียให้หมด แล้วหันมาอยู่กับความรู้ตัวที่ภายใน วางสำนึกของการเป็นบุคคล มาอยู่ในสำนึกของการเป็นผู้รู้ตัวหรือสำนึกเป็นดวงวิญญาณ นั่นแหละ ความสงบเย็นอันเป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้าจะเป็นอะไร จะทำอะไร ก็ให้ทำไปด้วยความใส่ใจจดจ่อด้วยความรักชอบในสิ่งที่ทำโดยไม่คาดหวังผลว่ามันจะไปพอกพูนอัตตาหรือสำนึกความเป็นบุคคลของใคร ไม่ว่าอัตตาของตนเอง หรืออัตตาของคนอื่น ชีวิตอย่างนั้นจึงจะเป็นชีวิตที่มีความสุขที่แท้จริง ส่วนคนอื่นนั้นช่างเขา เพราะการเกิดมาเป็นคนในชาติหนึ่งนี้ แค่เอาตัวคุณเองให้รอดจากความทุกข์ได้ก็บุญแล้ว อย่าไปห่วงเรื่องของคนอื่นเลย
3. ถามว่าจะทำยังไงจึงจะให้พ่อแม่มีความสุขกับตัวท่านเองเสียที จะได้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของคุณผู้เป็นลูก ตอบว่า ก็เพิ่งสอนไปแล้วแหม็บๆนี่ไง ว่าเคล็ดลับของชีวิตก็คืือ..อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น พ่อแม่ก็เป็นคนอื่น คุณเองก็ไม่อยากให้พ่อแม่มายุ่งเรื่องของคุณ แล้วคุณจะไปยุ่งเรื่องของท่านทำไม ให้คุณรับรู้สิ่งรอบตัวแล้วยอมรับมันตามที่มันเป็น อย่าไปพยายามเปลี่ยนอะไรที่อยู่นอกตัวเอง ให้คุณหยวน ยอมรับ ยอมแพ้ ทั้งหมด คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปพยายามแก้ไขอะไรนอกตัวคุณ จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำให้ทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้าง รวมทั้งทำให้โลกใบนี้ได้ก็คือให้คุณพาตัวเองให้หลุดพ้นจากสำนึกของการเป็นบุคคลของคุณ กลับไปอยู่กับความรู้ตัว เป็นผู้ที่เบิกบานอิ่มเอิบอยู่กับทุกขณะที่ทำงานและใช้ชีวิต แล้วคนใกล้ชิดคุณรวมทั้งพ่อแม่ก็จะพลอยได้ใบบุญพลอยมีความสุขไปด้วยโดยอัตโนมัติ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนูชอบอ่านบล้อคคุณหมอมาก ให้ความรู้หลายอย่าง ทำให้นำมาปรับใช้จัดการกับความยุ่งยากในใจ ความเครียดได้ เรื่องที่จะปรึกษาคือ ตอนนี้หนูอายุ31 อยู่กับพ่อแม่ (พ่ออายุ67แม่อายุ62) หนูทำงานส่วนตัวที่เริ่มต้นด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้รวยค่ะ พออยู่ได้ ไม่ได้ขอพ่อแม่มา8ปี ยกเว้นยังอยู่บ้าน กินนอนที่บ้าน
หนูมีแฟนคบมา4ปี มีแผนจะแต่งงานอีก3ปี อาจจะนาน แต่หนูกับแฟนชอบทำงาน และคิดว่าเวลา3ปีมันน่าจะทำให้เราพร้อมกว่านี้ ปัญหาคือ แม่ไม่เข้าใจ จากเริ่มเปรยๆ จนแซวถึงขั้นพูดตรงๆว่า แต่งสักที ไปไหนด้วยกันสองคน แม่ก็ไม่สบายใจ ไปงานแต่งญาติ คนก็ถามว่าเมื่อไหร่จะถึงคิวสักที ...หนูถามแม่ว่าแม่อยากเห็นแค่งานแต่งก็สบายใจแล้วหรอ ....แม่บอกว่า เปล่า แค่อยากเห็นหนูมีความสุขพร้อมในชีวิตคู่ .....หนูถามแม่ว่าแล้วแม่รู้ได้ยังไงว่าแต่งแล้วหนูจะมีความสุขจริง ในเมื่อชีวิตหนู หนูควรจะตัดสินใจว่าพร้อมตอนไหนเอง ทำไมแม่ต้องกดดัน .....แม่บอกว่า เปล๊าาา นี่ไม่ได้เรียกกดดัน ถ้ากดดันคงเรียกผู้ชายมาคุยแล้ว
หนูมีพี่สาวกำลังแต่งงานปีหน้า หนูก็คิดว่าแม่น่าจะไม่มากดดันหนูแล้ว แต่เปล่าเลย หนูเคยคุยกับพี่ เรื่องลูก จริงๆหนูกับพี่สองคนเฉยๆไม่ได้อยากมี แต่พี่คิดว่าจะมีลูก เพราะอยากมีให้พ่อกับแม่มีความสุขค่ะ พ่อชอบเด็ก หนูล่ะเชื่อพี่เลยว่าพี่ต้องเสียสละขนาดนี้
สำหรับหนูคิดว่าหนูคงไม่เปลี่ยนแผนค่ะ หนูจะยืนยันในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่หนูรู้สึกไม่มีความสุขกับความคาดหวังของแม่ และหนูก็ไม่มีความสุขที่ทำให้แม่มีความสุขไม่ได้ เพราะพ่อแม่ก็อายุเยอะแล้ว อนาคตความคาดหวังต่อไป หนูรู้เลยว่าแต่งแล้ว แม่ก็จะถามต่อว่า เมื่อไหร่จะมีลูก
ชีวิตของคนเป็นพ่อแม่คิดและคาดหวังแบบนี้กันส่วนใหญ่ใช่มั้ยคะ ทำยังไงให้เค้ามีความสุขกับตัวเองให้ได้ หนูเคยบอกแม่ให้อย่าคิดเรื่องหนูมาก หาอะไรทำ แม่ก็บอกว่าแฮปปี้ดี มีกิจกรรมทำแล้ว เช่น เล่นหุ้น ไปโยคะ ทำขนม เที่ยวกับเพื่อน หนูเลยไม่รู้ว่าควรจะให้เค้าปรับตัวยังไงดีคะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
(ชื่อ) ......
..........................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าพ่อแม่ทุกคนล้วนคาดหวังกับชีวิตของลูกมากใช่ไหม ตอบว่าใช่ครับ เพราะการเป็นพ่อแม่คนนี้ถ้าไม่นับคนที่ตั้งต้นจากการตกกระไดพลอยโจนแบบฮอร์โมนพาไปแล้ว ส่วนใหญ่ตั้งต้นจากสำนึกความเป็นบุคคล ว่าเราเกิดมา พร้อมแล้ว ควรแต่งงาน ควรมีลูก สำนึกการเป็นบุคคล หรือสำนึกว่าเราคือบุคคลคนหนึ่งนี้มันมีเนื้อหาสาระที่แท้จริงเป็นเพียงความสำคัญมั่นหมาย คือเป็นแค่ความคิดที่ถักทอขึ้นมา ความเป็นบุคคลที่แท้จริงมีที่ไหนกัน ร่างกายยังพอมีขี้เถ้าเหลือให้จับต้องได้เมื่อตายแล้ว แต่ความเป็นบุคคลนี้ไม่มีอะไรเหลือให้จับต้องได้เลย แต่คนเราทั้งๆที่รู้ความจริงข้อนี้แต่ก็เพิกเฉยไม่สนใจ คำว่าเพิกเฉยภาษาอังกฤษใช้คำว่า ignorance ภาษาบาลีใช้คำว่า "อวิชชา" ซึ่งทุกศาสนาถือว่าเป็นปฐมเหตุแห่งทุกข์ นอกจากจะเพิกเฉยแล้ว คนเราก็ยัง "อิน" เหลือเกินกับความเป็นบุคคลของตัวเอง ฉันเป็นแม่คนแล้วนะ นี่ลูกของฉันนะ ลูกของฉันจะต้องอย่างนั้นนะ ลูกของฉันจะต้องอย่างนี้นะ เพราะว่าเขาเป็นลูก "ของฉัน" ฉันจึงต้องกังวลสนใจ ลูกไม่เรียนหนังสือ แม่ก็..ทุกข์ ลูกเรียนหนังสือไม่จบ แม่ก็..ทุกข์ ลูกเรียนหนังสือจบแล้วไม่ยอมทำงาน แม่ก็..ทุกข์ ลูกทำงานแล้วแต่งานนั้นไม่มั่นคง แม่ก็..ทุกข์ ลูกทำงานที่มั่นคงแล้วไม่แต่งงาน แม่ก็..ทุกข์ ลูกแต่งงานแล้วยังไม่มีหลาน แม่ก็..ทุกข์ ส่วนข้างลูกเมื่อเห็นพ่อแม่ทุกข์ก็พยายามทำเพื่อไม่ให้พ่อแม่ทุกข์ แม่อยากได้หลานก็..ทำให้ แล้วก็มาทุกข์เพราะการเลี้ยงดู แม่อยากให้ทำงานนี้ก็..ทำให้ แล้วก็มาทุกข์กับงานที่ทำ สมัยผมรับราชการอยู่ มีพยาบาลที่ทำงานด้วยกันเป็นเด็กสดใสตาเป็นประกาย วันหนึ่งเธอตััดสินใจเด็ดเดี่ยวว่างานราชการเป็นพยาบาลในห้องผ่าตัดมันเป็นงานที่ทึนทึกไม่มีชีวิตชีวา จึงตัดสินใจลาออกจากราชการไปเป็นพยาบาลรพ.เอกชนแต่งหน้าทาปากสวยจ๊ะจ๋ากับคนไข้และญาติอยู่ที่โอพีดี.สบายดีไม่ต้องขึ้นเวรเช้าบ่ายดึก แต่พออีกสองปีให้หลังก็ต้องจ๋อย..ย กลับมารับราชการเป็นพยาบาลห้องผ่าตัดเหมือนเดิม ผมถามว่ากลับมาทำไม เธอตอบว่าเพราะแม่ผ่ายผอมตรอมใจมีแต่ทุกข์ที่ลูกไม่ได้รับราชการ แม่เป็นห่วงว่าเมืื่อตัวเองตายไปลูกคนนี้จะไปอดข้าวอดน้ำโซตายอยู่ข้างถนนเพราะหลวงไม่ได้เลี้ยงแล้ว ลูกเมื่อเห็นแม่ตรอมใจผ่ายผอมก็จึงยอมสละงานที่สนุกสนานกลับมาเป็นนางทึนทึกเหมือนเดิม เวร..คำเดียวเลยจริงๆ
2. ถามว่าที่พี่สาวเขายอมมีลูกเพื่อให้พ่อแม่มีความสุขนั้นเขาทำถูกต้องไหม ตอบว่าการใช้ชีวิตไม่มีถูกไม่มีผิดดอกครับ ผมตอบได้แต่ว่าการจะมีความสุขในชีวิตนั้น เคล็ดลับก็คืออย่าไปยุ่งกับคนอื่น ความสุขในชีวิตไม่ได้อยู่ที่ได้เอาใจใคร ได้ประท้วงใคร หรือได้ทำตามคำแนะนำที่ดีเลิศประเสริฐศรีของใคร แต่อยู่ที่การได้ละทิ้งความสนใจสิ่งภายนอก หันเหกลับมาสนใจภายในตนเอง การได้วางความเป็นบุคคลของตัวเองซึ่งเป็นแค่ความคิดลงไปเสีย ไม่ว่าการจะเป็นลูก การจะกตัญญู การจะว่านอนสอนง่าย ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิด วางไปเสียให้หมด แล้วหันมาอยู่กับความรู้ตัวที่ภายใน วางสำนึกของการเป็นบุคคล มาอยู่ในสำนึกของการเป็นผู้รู้ตัวหรือสำนึกเป็นดวงวิญญาณ นั่นแหละ ความสงบเย็นอันเป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้าจะเป็นอะไร จะทำอะไร ก็ให้ทำไปด้วยความใส่ใจจดจ่อด้วยความรักชอบในสิ่งที่ทำโดยไม่คาดหวังผลว่ามันจะไปพอกพูนอัตตาหรือสำนึกความเป็นบุคคลของใคร ไม่ว่าอัตตาของตนเอง หรืออัตตาของคนอื่น ชีวิตอย่างนั้นจึงจะเป็นชีวิตที่มีความสุขที่แท้จริง ส่วนคนอื่นนั้นช่างเขา เพราะการเกิดมาเป็นคนในชาติหนึ่งนี้ แค่เอาตัวคุณเองให้รอดจากความทุกข์ได้ก็บุญแล้ว อย่าไปห่วงเรื่องของคนอื่นเลย
3. ถามว่าจะทำยังไงจึงจะให้พ่อแม่มีความสุขกับตัวท่านเองเสียที จะได้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของคุณผู้เป็นลูก ตอบว่า ก็เพิ่งสอนไปแล้วแหม็บๆนี่ไง ว่าเคล็ดลับของชีวิตก็คืือ..อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น พ่อแม่ก็เป็นคนอื่น คุณเองก็ไม่อยากให้พ่อแม่มายุ่งเรื่องของคุณ แล้วคุณจะไปยุ่งเรื่องของท่านทำไม ให้คุณรับรู้สิ่งรอบตัวแล้วยอมรับมันตามที่มันเป็น อย่าไปพยายามเปลี่ยนอะไรที่อยู่นอกตัวเอง ให้คุณหยวน ยอมรับ ยอมแพ้ ทั้งหมด คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปพยายามแก้ไขอะไรนอกตัวคุณ จะได้มีเวลาทำในสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะทำให้ทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้าง รวมทั้งทำให้โลกใบนี้ได้ก็คือให้คุณพาตัวเองให้หลุดพ้นจากสำนึกของการเป็นบุคคลของคุณ กลับไปอยู่กับความรู้ตัว เป็นผู้ที่เบิกบานอิ่มเอิบอยู่กับทุกขณะที่ทำงานและใช้ชีวิต แล้วคนใกล้ชิดคุณรวมทั้งพ่อแม่ก็จะพลอยได้ใบบุญพลอยมีความสุขไปด้วยโดยอัตโนมัติ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์