บางประเด็นจาก Soundbath กับ David Jones
วันก่อน David Jones ซึ่งเป็นนักดนตรี (มือกลอง) อาชีพในระดับโลก ทั้งสอน ทั้งเล่นให้ออสเตรเลียซิมโฟนีออร์เคสตร้าด้วย มาสอนการทำสมาธิด้วยวิธีซาวด์บาธที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ โดยมีแฟนบล็อกหมอสันต์เข้าร่วมเรียนร่วมฟังสามสิบกว่าคน บทสนทนาถามตอบในห้องเรียนก่อนและหลังซาวด์บาธเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ผมจึงตัดมาเล่าให้แฟนบล็อกที่ไม่ได้มาร่วมได้รับทราบบางส่วน ดังนี้
ผู้เรียน:
วิญญาณ (soul) คืออะไร แล้วเราจะจับต้องเข้าถึงมันได้อย่างไร
David Jones:
วิญญาณ คือพลังงาน ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตรับรู้ความคิด เราไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของวิญญาณได้ด้วยการสัมผัสรับรู้ผ่านอวัยวะรับความรู้สึกทั้งหลาย แต่เรารับรู้การมีอยู่ของวิญญาณได้ด้วยการ "เป็น" ดวงวิญญาณเสียเอง อย่างนี้..ฉันเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น I am a peaceful soul
ผู้เรียน:
อะไรคือความแตกต่างระหว่าง
mind (ความคิดจิตใจ) กับ
soul (วิญญาณ) และ
divine (แหล่งพลังงานสูงสุด)
David Jones:
ความคิด (mind) ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งใจคิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ถูกโยนขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก เป็นสิ่งชั่วคราวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความคิดนี้ได้พลังจากวิญญาณด้วย หมายความว่าส่วนหนึ่งของความคิดประกอบขึ้นจากวิญญาณในรูปของความสนใจ
ส่วน วิญญาณ (soul) นั้นคือฉันตัวจริง วิญญาณเป็นผู้เฝ้าสังเกตความคิด เป็นสิ่งที่มั่นคงสถาพรไม่มีวันตาย แม้ว่าความคิดจะเปลี่ยนไป ร่างกายจะเปลี่ยนไป แต่แม้วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่วิญญาณก็จะยังดำรงอยู่ที่ตรงนี้ได้ตราบเท่าที่ร่างกายนี้ยังอยู่เท่านั้น เพราะวิญญาณต้องอาศัยร่างกายจึงจะสังเกตรับรู้ความคิดได้ เมื่อไม่มีร่างกายแล้ว วิญญาณก็ต้องหาที่ไปใหม่
ส่วน แหล่งพลังงานสูงสุด (divine) นั้นเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้รวมทั้งเป็นต้นกำเนิดของวิญญาณทั้งหลายด้วย เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่โดยไม่ต้องอาศัยร่างกายหรืออะไรทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร ไม่ตาย ไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้เรียน:
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าวิธีใช้ชีวิตที่ดีก็คือการคิดบวกใช่ไหม
David Jones:
ถูกต้องในส่วนของการเริ่มต้น คือผมอยากให้มองการใช้ชีวิตเป็นสามระดับ
ระดับที่หนึ่ง ในระดับความคิด เรามั่นคงอยู่กับความคิดเดียว คือความคิดว่าเราเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น แล้วถอยตัวออกไปอยู่ห่างเพื่อเฝ้าสังเกตความคิดอื่นเหมือนท้องฟ้าเฝ้าสังเกตก้อนเมฆแต่ละก้อนว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้วเลือกหยิบเอาแต่ความคิดที่ดี ส่วนความคิดที่ไม่ดีเราไม่สนใจ ไม่เลือกหยิบ ตรงนี้มันเป็นอันเดียวกับที่คุณเรียกว่าคิดบวก แต่นอกจากระดับนี้แล้วผมอยากให้คุณขยับขึ้นไปอีกสองระดับ
ระดับที่สอง คือการไปให้พ้นความคิด ไปอยู่กับการรับ "รู้" สิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะในรูปของ ภาพผ่านตา เสียงผ่านหู และสัมผัสโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนผ่านผิวหนังและทุกองคาพยพของร่างกาย การรู้สิ่งแวดล้อมตรงๆโดยไม่ผ่านความคิด จะนำเราเข้าไปใกล้ความนิ่งและความสงบเย็นซึ่งเป็นธรรมชาติแท้จริงของเรามากยิ่งขึ้น
ระดับที่สาม คือการการเปิดการเชื่อมต่อระหว่างเรากับแหล่งพลังงานสูงสุดที่ข้างนอก (divine) เมื่อเราเปิดรับ พลังกรุณา (Grace) จากแหล่งพลังงานสูงสุดก็จะเข้ามาสู่ตัวเรา เราอาจจะรู้สึกว่าการเชื่อมโยงกับแหล่งพลังงานสูงสุดเป็นอะไรที่ไกลตัวเกินเอื้อม นั่นอาจจะเป็นจริงถ้าเรามองตัวเราจากสำนึกของการเป็นบุคคล เพราะการเป็นบุคคลนี้เรามองตัวเราในฐานะที่เป็นร่างกายและความคิด แต่หากเรามองจากสำนึกของการเป็นดวงวิญญาณ เราในฐานะเป็นดวงวิญญาณเราเป็นพลังงานนะ และสิ่งสูงสุดก็เป็นพลังงาน การเปิดรับและเชื่อมต่อมันก็ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
หมอสันต์
บราเธอร์เดวิด คุณเป็นนักตีกลองมืออาชีพ คุณลองตีกลองให้พวกเราดูหน่อยสิ
David Jones:
เดวิดตีกลอง โดยใช้อุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มีอยู่ตรงหน้า เช่นขัน ฉาบ ลูกแซก ไมโครโฟน และพื้นโต๊ะ เขาตีโน่นบ้างนี่บ้างจนมันกลายเป็นเสียงดนตรีที่สมบูรณ์แบบมีจังหวะที่หนักแน่นขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ตีเขาอธิบายจังหวะในวิชาตีกลองไปด้วย และพูดทักทายกับผู้ชม แล้วสอนหลักวิธีเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น ขณะที่มือและเท้าสาละวนกันอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านั้นและเสียงตนตรีที่เขาทำขึ้นก็ไม่ได้เสียจังหวะหรือถูกขัดตอนเลยแม้แต่น้อย
"..ฮัลโลว์ คุณเป็นยังไงบ้างครับ เห็นไหมว่าขณะที่ผมพูดกับคุณนี่ผมยังตีกลองเล่นดนตรีเป็นจังหวะเป็นเพลงได้อยู่ จะเอาจังหวะช้าอ้อยอิ่งแบบนี้ก็ได้ จะเอาเร็วแบบนี้ก็ได้ นี่เป็นจังหวะห้าสลับหนึ่ง ห้า สลับ หนึ่ง ห้า สลับหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะว่าผมตีกลองมาสี่สิบแปดปีแล้ว อะไรก็ตามที่ผมทำซ้ำๆๆๆ ในที่สุดมันจะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของผม แล้วมันจะโผล่กลับขึ้นมาเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเสมือนว่ามันเป็นตัวผมเองอย่างแนบเนียน
เช่นเดียวกันกับความคิดที่เราคิดซ้ำคิดซาก มันก็จะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกแล้วโผล่กลับขึ้นมาเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ของเราอีก อีก อีก
ถ้าเรามั่นคงแน่วแน่อยู่กับความคิดเดียว ว่า "ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบเย็น" แล้วถอยห่างออกมาจากความคิดอื่นๆ แค่เฝ้าสังเกตดูความคิดอื่นๆเหมือนท้องฟ้าเฝ้าสังเกตก้อนเมฆที่ลอยผ่านมาแล้วลอยผ่านไป การมั่นคงอยู่กับความคิดเดียวที่ว่าฉันคือดวงวิญญาณที่สงบเย็นนี้ มันจะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของเรา แล้วโผล่กลับขึ้นมาเป็นประสบการณ์ว่าเรา "เป็น" ดวงวิญญาณที่สงบเย็นจริงๆ
คราวนี้ถ้าผมลองหยุดพูดคุยกับคุณ แล้วหันไปจดจ่ออยู่กับการตีกลองแบบนี้
(เดวิดหันไปใส่ใจกับการตีกลองอย่างจริงจัง เสียงและจังหวะที่เขาทำพลันกระหึ่มและมีพลังขึ้นมาทันที)
คุณเห็นไหมว่าเสียง การสั่นสะเทือน มันมีพลังจริงจังมากขึ้น เพราะการกระทำหรือความคิดก็ตาม มันได้พลังจากวิญญาณในรูปของความสนใจ เมื่อเราหันไปสนใจจดจ่อกับสิ่งใด พลังของวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในสิ่งนั้น เราสนใจจดจ่อกับอะไร สิ่งนั้นก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมา.."
(เดวิดจบการตีกลองบนสิ่งละอันพันละน้อยบนโต๊ะที่ไม่ใช่กลองจริงๆ ผู้ฟังชอบใจปรบมืิอกันใหญ่)
หมอสันต์
ผมเล่านอกเรื่องให้ฟังหน่อยนะครับก่อนที่เราจะมาซาวด์บาธกันนี้ ผมพาบราเธอร์เดวิดไปเดินย่อยอาหารชมสวนผักและเดินเลียบบึงน้ำไปชมคลินิกอายุรเวช ขณะเดินเล่นด้วยกัน บราเธอร์เดวิดบอกผมว่าเขารับรู้ผ่านความสั่นสะเทือน (vibration) ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่นิ่งเงียบสงบและเต็มไปด้วยพลังกรุณา และถามผมว่าผมหาที่อย่างนี้พบได้อย่างไร ผมยิ้มโดยไม่ได้ตอบ เงียบกันไปพักหนึ่ง เขาก็พูดว่าเสียงนกที่นี่ไม่เหมือนนกที่ออสเตรเลียและที่อินเดีย ฟังเสียงนกที่เสียงดังมาก เสียงกลาง และเสีียงค่อยสิ ทั้งสามเสียงเป็นเสียงเอกลักษณ์ที่ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
คำพูดของบราเธอร์เดวิดทำให้ผมเห็นความแตกต่างระหว่างผมกับเขา ขณะเดินเล่นด้วยกันในสถานที่และเวลาเดียวกัน ผมอยู่กับความคิด ใจผมแว่บไปว่าเดี๋ยวเวลาเริ่มซาวด์บาธผมต้องสั่งให้เด็กเตรียมอาหารว่างเป็นผลไม้เบาๆไว้ให้แขกเผื่อหิวตอนกลางคืนด้วย แล้วต้องโทรศัพท์สั่งให้เด็กที่ฟาร์มเตรียมที่รองนั่งบนพื้้นหญ้าสำหรับสมาชิกซึ่งมีนัดหมายจะไปเรียนการฝึกสมาธิกันกับบราเธอร์เดวิดที่ฟาร์มในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่บราเธอร์เดวิดอยู่กับภาพ อยู่กับเสียง อยู่กับการสั่นสะเทือนของบรรยากาศ ที่นี่เดี๋ยวนี้ ความแตกต่างอันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีระหว่างการใช้ชีวิตในระดับที่หนึ่งคืออยู่ในความคิด กับระดับที่สองคืออยู่กับการรู้สิ่งรอบตัวในปัจจุบัน
(หมอสันต์หันไปพูดกับเดวิด โจนส์)
ผมขอเป็นคนถามคำถามสุดท้ายนะ บราเธอร์เดวิด ไปไงมาไง คุณถึงมาเป็นครูสอนทางจิตวิญญาณได้เนี่ย
David Jones:
ผมก็เป็นนักดนตรีแบบหัวหกก้นขวิดเหมือนนักดนตรีทั่วไปจนถึงปี 1982 ผมได้พบกับเพื่อนนักดนตรีด้วยกันคนหนึ่ง เขาเป็นคนสงบนิ่งเยือกเย็นและดูจะไม่หวันไหวทุกข์ร้อนกับอะไรสักอย่างเดียว ผมบอกตัวเองว่าไม่รู้ละ ว่าเจ้าเพื่อนคนนั้นมีอะไรหรือได้อะไรมา ผมจะต้องมีหรือจะต้องได้สิ่งนั้นบ้าง ผมจึงเริ่มคุยกับเขา ถามเขา แล้วเขาก็ชักนำให้ผมรู้จักเส้นทางนี้ เขาพาผมไปเรียนฝึกสมาธิวิปัสนาที่ศูนย์วิปัสนาที่ซิดนีย์ แล้วผมก็เดินลึกเข้าไปๆในทางนี้เรื่อยมาจนสามารถใส่วิญญาณของผมเข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำซึ่งมันทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตของผมมีความสงบเย็นอย่างยิ่งและอย่างต่อเนื่อง ผมก็รู้ว่าชีวิตผมมาถูกทางแล้ว จึงเริ่มเผยแพร่ผ่านการเคาะการตีที่ผมถนัด เพื่อให้คนอื่นได้รู้จักสิ่งดีๆนี้บ้าง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ปล.
สำหรับท่านที่สนใจพัฒนาการจิตใจด้วยความคิดบวก Sonja Ohlsson จากเดนมาร์ค จะมาแชร์คอนเซ็พท์เรื่อง "เมื่อสุภาพจิตของผู้คนดีขึ้น สุขภาพของโลกก็ดีขึ้น (Healthy Mind, Healthy Planet)" ที่บ้านสินธุ ในวันที่ 24 ธค. 60 ทางบ้านสินธุฝากบอกว่ายินดีเชิญชวนผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมเสวนา ทั้งหมดนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ผมได้แนบแผนที่และวิธีติดต่อบ้านสินธุไว้ท้ายบล็อกนี้ด้วย
ผู้เรียน:
วิญญาณ (soul) คืออะไร แล้วเราจะจับต้องเข้าถึงมันได้อย่างไร
David Jones:
วิญญาณ คือพลังงาน ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตรับรู้ความคิด เราไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของวิญญาณได้ด้วยการสัมผัสรับรู้ผ่านอวัยวะรับความรู้สึกทั้งหลาย แต่เรารับรู้การมีอยู่ของวิญญาณได้ด้วยการ "เป็น" ดวงวิญญาณเสียเอง อย่างนี้..ฉันเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น I am a peaceful soul
ผู้เรียน:
อะไรคือความแตกต่างระหว่าง
mind (ความคิดจิตใจ) กับ
soul (วิญญาณ) และ
divine (แหล่งพลังงานสูงสุด)
David Jones:
ความคิด (mind) ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งใจคิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่ถูกโยนขึ้นมาจากจิตใต้สำนึก เป็นสิ่งชั่วคราวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ความคิดนี้ได้พลังจากวิญญาณด้วย หมายความว่าส่วนหนึ่งของความคิดประกอบขึ้นจากวิญญาณในรูปของความสนใจ
ส่วน วิญญาณ (soul) นั้นคือฉันตัวจริง วิญญาณเป็นผู้เฝ้าสังเกตความคิด เป็นสิ่งที่มั่นคงสถาพรไม่มีวันตาย แม้ว่าความคิดจะเปลี่ยนไป ร่างกายจะเปลี่ยนไป แต่แม้วิญญาณเป็นสิ่งที่ไม่ตาย แต่วิญญาณก็จะยังดำรงอยู่ที่ตรงนี้ได้ตราบเท่าที่ร่างกายนี้ยังอยู่เท่านั้น เพราะวิญญาณต้องอาศัยร่างกายจึงจะสังเกตรับรู้ความคิดได้ เมื่อไม่มีร่างกายแล้ว วิญญาณก็ต้องหาที่ไปใหม่
ส่วน แหล่งพลังงานสูงสุด (divine) นั้นเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้รวมทั้งเป็นต้นกำเนิดของวิญญาณทั้งหลายด้วย เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่โดยไม่ต้องอาศัยร่างกายหรืออะไรทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่เป็นนิรันดร ไม่ตาย ไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้เรียน:
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าวิธีใช้ชีวิตที่ดีก็คือการคิดบวกใช่ไหม
David Jones:
ถูกต้องในส่วนของการเริ่มต้น คือผมอยากให้มองการใช้ชีวิตเป็นสามระดับ
ระดับที่หนึ่ง ในระดับความคิด เรามั่นคงอยู่กับความคิดเดียว คือความคิดว่าเราเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น แล้วถอยตัวออกไปอยู่ห่างเพื่อเฝ้าสังเกตความคิดอื่นเหมือนท้องฟ้าเฝ้าสังเกตก้อนเมฆแต่ละก้อนว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้วเลือกหยิบเอาแต่ความคิดที่ดี ส่วนความคิดที่ไม่ดีเราไม่สนใจ ไม่เลือกหยิบ ตรงนี้มันเป็นอันเดียวกับที่คุณเรียกว่าคิดบวก แต่นอกจากระดับนี้แล้วผมอยากให้คุณขยับขึ้นไปอีกสองระดับ
ระดับที่สอง คือการไปให้พ้นความคิด ไปอยู่กับการรับ "รู้" สิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะในรูปของ ภาพผ่านตา เสียงผ่านหู และสัมผัสโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนผ่านผิวหนังและทุกองคาพยพของร่างกาย การรู้สิ่งแวดล้อมตรงๆโดยไม่ผ่านความคิด จะนำเราเข้าไปใกล้ความนิ่งและความสงบเย็นซึ่งเป็นธรรมชาติแท้จริงของเรามากยิ่งขึ้น
ระดับที่สาม คือการการเปิดการเชื่อมต่อระหว่างเรากับแหล่งพลังงานสูงสุดที่ข้างนอก (divine) เมื่อเราเปิดรับ พลังกรุณา (Grace) จากแหล่งพลังงานสูงสุดก็จะเข้ามาสู่ตัวเรา เราอาจจะรู้สึกว่าการเชื่อมโยงกับแหล่งพลังงานสูงสุดเป็นอะไรที่ไกลตัวเกินเอื้อม นั่นอาจจะเป็นจริงถ้าเรามองตัวเราจากสำนึกของการเป็นบุคคล เพราะการเป็นบุคคลนี้เรามองตัวเราในฐานะที่เป็นร่างกายและความคิด แต่หากเรามองจากสำนึกของการเป็นดวงวิญญาณ เราในฐานะเป็นดวงวิญญาณเราเป็นพลังงานนะ และสิ่งสูงสุดก็เป็นพลังงาน การเปิดรับและเชื่อมต่อมันก็ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
หมอสันต์
บราเธอร์เดวิด คุณเป็นนักตีกลองมืออาชีพ คุณลองตีกลองให้พวกเราดูหน่อยสิ
David Jones:
เดวิดตีกลอง โดยใช้อุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มีอยู่ตรงหน้า เช่นขัน ฉาบ ลูกแซก ไมโครโฟน และพื้นโต๊ะ เขาตีโน่นบ้างนี่บ้างจนมันกลายเป็นเสียงดนตรีที่สมบูรณ์แบบมีจังหวะที่หนักแน่นขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ตีเขาอธิบายจังหวะในวิชาตีกลองไปด้วย และพูดทักทายกับผู้ชม แล้วสอนหลักวิธีเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็น ขณะที่มือและเท้าสาละวนกันอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านั้นและเสียงตนตรีที่เขาทำขึ้นก็ไม่ได้เสียจังหวะหรือถูกขัดตอนเลยแม้แต่น้อย
"..ฮัลโลว์ คุณเป็นยังไงบ้างครับ เห็นไหมว่าขณะที่ผมพูดกับคุณนี่ผมยังตีกลองเล่นดนตรีเป็นจังหวะเป็นเพลงได้อยู่ จะเอาจังหวะช้าอ้อยอิ่งแบบนี้ก็ได้ จะเอาเร็วแบบนี้ก็ได้ นี่เป็นจังหวะห้าสลับหนึ่ง ห้า สลับ หนึ่ง ห้า สลับหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะว่าผมตีกลองมาสี่สิบแปดปีแล้ว อะไรก็ตามที่ผมทำซ้ำๆๆๆ ในที่สุดมันจะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของผม แล้วมันจะโผล่กลับขึ้นมาเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเสมือนว่ามันเป็นตัวผมเองอย่างแนบเนียน
เช่นเดียวกันกับความคิดที่เราคิดซ้ำคิดซาก มันก็จะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกแล้วโผล่กลับขึ้นมาเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ของเราอีก อีก อีก
ถ้าเรามั่นคงแน่วแน่อยู่กับความคิดเดียว ว่า "ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบเย็น" แล้วถอยห่างออกมาจากความคิดอื่นๆ แค่เฝ้าสังเกตดูความคิดอื่นๆเหมือนท้องฟ้าเฝ้าสังเกตก้อนเมฆที่ลอยผ่านมาแล้วลอยผ่านไป การมั่นคงอยู่กับความคิดเดียวที่ว่าฉันคือดวงวิญญาณที่สงบเย็นนี้ มันจะฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกของเรา แล้วโผล่กลับขึ้นมาเป็นประสบการณ์ว่าเรา "เป็น" ดวงวิญญาณที่สงบเย็นจริงๆ
คราวนี้ถ้าผมลองหยุดพูดคุยกับคุณ แล้วหันไปจดจ่ออยู่กับการตีกลองแบบนี้
(เดวิดหันไปใส่ใจกับการตีกลองอย่างจริงจัง เสียงและจังหวะที่เขาทำพลันกระหึ่มและมีพลังขึ้นมาทันที)
คุณเห็นไหมว่าเสียง การสั่นสะเทือน มันมีพลังจริงจังมากขึ้น เพราะการกระทำหรือความคิดก็ตาม มันได้พลังจากวิญญาณในรูปของความสนใจ เมื่อเราหันไปสนใจจดจ่อกับสิ่งใด พลังของวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในสิ่งนั้น เราสนใจจดจ่อกับอะไร สิ่งนั้นก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมา.."
(เดวิดจบการตีกลองบนสิ่งละอันพันละน้อยบนโต๊ะที่ไม่ใช่กลองจริงๆ ผู้ฟังชอบใจปรบมืิอกันใหญ่)
หมอสันต์
ผมเล่านอกเรื่องให้ฟังหน่อยนะครับก่อนที่เราจะมาซาวด์บาธกันนี้ ผมพาบราเธอร์เดวิดไปเดินย่อยอาหารชมสวนผักและเดินเลียบบึงน้ำไปชมคลินิกอายุรเวช ขณะเดินเล่นด้วยกัน บราเธอร์เดวิดบอกผมว่าเขารับรู้ผ่านความสั่นสะเทือน (vibration) ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่นิ่งเงียบสงบและเต็มไปด้วยพลังกรุณา และถามผมว่าผมหาที่อย่างนี้พบได้อย่างไร ผมยิ้มโดยไม่ได้ตอบ เงียบกันไปพักหนึ่ง เขาก็พูดว่าเสียงนกที่นี่ไม่เหมือนนกที่ออสเตรเลียและที่อินเดีย ฟังเสียงนกที่เสียงดังมาก เสียงกลาง และเสีียงค่อยสิ ทั้งสามเสียงเป็นเสียงเอกลักษณ์ที่ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
คำพูดของบราเธอร์เดวิดทำให้ผมเห็นความแตกต่างระหว่างผมกับเขา ขณะเดินเล่นด้วยกันในสถานที่และเวลาเดียวกัน ผมอยู่กับความคิด ใจผมแว่บไปว่าเดี๋ยวเวลาเริ่มซาวด์บาธผมต้องสั่งให้เด็กเตรียมอาหารว่างเป็นผลไม้เบาๆไว้ให้แขกเผื่อหิวตอนกลางคืนด้วย แล้วต้องโทรศัพท์สั่งให้เด็กที่ฟาร์มเตรียมที่รองนั่งบนพื้้นหญ้าสำหรับสมาชิกซึ่งมีนัดหมายจะไปเรียนการฝึกสมาธิกันกับบราเธอร์เดวิดที่ฟาร์มในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่บราเธอร์เดวิดอยู่กับภาพ อยู่กับเสียง อยู่กับการสั่นสะเทือนของบรรยากาศ ที่นี่เดี๋ยวนี้ ความแตกต่างอันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีระหว่างการใช้ชีวิตในระดับที่หนึ่งคืออยู่ในความคิด กับระดับที่สองคืออยู่กับการรู้สิ่งรอบตัวในปัจจุบัน
(หมอสันต์หันไปพูดกับเดวิด โจนส์)
ผมขอเป็นคนถามคำถามสุดท้ายนะ บราเธอร์เดวิด ไปไงมาไง คุณถึงมาเป็นครูสอนทางจิตวิญญาณได้เนี่ย
David Jones:
ผมก็เป็นนักดนตรีแบบหัวหกก้นขวิดเหมือนนักดนตรีทั่วไปจนถึงปี 1982 ผมได้พบกับเพื่อนนักดนตรีด้วยกันคนหนึ่ง เขาเป็นคนสงบนิ่งเยือกเย็นและดูจะไม่หวันไหวทุกข์ร้อนกับอะไรสักอย่างเดียว ผมบอกตัวเองว่าไม่รู้ละ ว่าเจ้าเพื่อนคนนั้นมีอะไรหรือได้อะไรมา ผมจะต้องมีหรือจะต้องได้สิ่งนั้นบ้าง ผมจึงเริ่มคุยกับเขา ถามเขา แล้วเขาก็ชักนำให้ผมรู้จักเส้นทางนี้ เขาพาผมไปเรียนฝึกสมาธิวิปัสนาที่ศูนย์วิปัสนาที่ซิดนีย์ แล้วผมก็เดินลึกเข้าไปๆในทางนี้เรื่อยมาจนสามารถใส่วิญญาณของผมเข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำซึ่งมันทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตของผมมีความสงบเย็นอย่างยิ่งและอย่างต่อเนื่อง ผมก็รู้ว่าชีวิตผมมาถูกทางแล้ว จึงเริ่มเผยแพร่ผ่านการเคาะการตีที่ผมถนัด เพื่อให้คนอื่นได้รู้จักสิ่งดีๆนี้บ้าง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ปล.
สำหรับท่านที่สนใจพัฒนาการจิตใจด้วยความคิดบวก Sonja Ohlsson จากเดนมาร์ค จะมาแชร์คอนเซ็พท์เรื่อง "เมื่อสุภาพจิตของผู้คนดีขึ้น สุขภาพของโลกก็ดีขึ้น (Healthy Mind, Healthy Planet)" ที่บ้านสินธุ ในวันที่ 24 ธค. 60 ทางบ้านสินธุฝากบอกว่ายินดีเชิญชวนผู้สนใจทุกท่านเข้าร่วมเสวนา ทั้งหมดนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ผมได้แนบแผนที่และวิธีติดต่อบ้านสินธุไว้ท้ายบล็อกนี้ด้วย