มะเร็งลำไส้ใหญ่ กับตู๊ดโตโลจิสต์
สวัสดีครับคุณหมอ
ผมกำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ แล้วมาเจอบทความของคุณหมอ ถูกใจบทความของคุณหมอมาก หลายๆบทความ เหมือนอ่านธรรมะเลย คุณแม่ผมอายุ 77 ปวดท้อง ถ่ายเป็นเลือด เลยไปส่องกล้อง แล้วเอาชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ เมื่อวันที่ 5 มกราคมนี้ ได้ผลว่า เป็นมะเร็งลำไส้ คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัด แต่คุณหมอเป็นห่วงเรื่อง สภาพร่างกายคุณแม่ ที่อ่อนแอ ปกติคุณแม่เป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยเลย แต่ตอนนี้คุณแม่ ผอมลงมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แล้วก็ปวดเข่าด้วย ทำให้เดิน แทบไม่ได้ ต้องใช้รถเข็น ผมมีคำถามดังนี้ครับ
1. อาการ ปวดเมื่อย และปวดเข่าเป็นผล มาจากมะเร็งหรือไม่ครับ (ไปหาหมอ แล้วหมอบอกว่าอาจจะเป็นเก๊าท์เทียม ให้ยาเก๊าท์ กับ Nurofen 400 มาทาน แต่ก็ไม่ดีขึ้น)
2. ในช่วงที่ร่างกาย อ่อนแอ จะมีวิธีการรักษา หรือทางเลือกอื่น ที่ไม่ใช่การผ่าตัดหรือปล่าวครับ (ตอนนี้ผมซื้อ เห็ดหลินจือ และ อาหารเสริม โปรตีนถั่วเหลือง กับ เกสรดอกไม้ ให้ท่านทาน เพราะคิดว่าจะช่วยให้ คุณแม่มีเรี่ยวแรงขึ้น แต่ ดูเหมือน ไม่ช่วยอะไรเลย ทานมาได้ 1อาทิตย์ ระหว่างที่รอผลการพิสูจน์ ชิ้นเนื้อ)
3. คุณหมอกรุณา แนะนำในการรักษาเพิ่มเติมด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ
(สงวนนาม)
..........................
ตอบครับ
1. อาการ ปวด เมื่อย และอาการไม่สบาย เป็นผลจากมะเร็งได้แน่นอน แต่ถ้าปวดเจาะจงลงไปที่เข่า ไม่เกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ น่าจะเป็นปัญหาที่หัวเข่าเช่นข้อเข่าเสื่อมมากกว่า หรือถ้าซวยสุดๆก็คือมะเร็งแพร่กระจายไปถึงกระดูก
2. วิธีรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่โดยไม่ผ่าตัด ไม่มี เพราะมะเร็งชนิดนี้การผ่าตัดเป็นไม้ตายที่ทำให้หายได้ หมายความว่ายังไม่เป็นถึงระยะแพร่กระจายแล้วนะครับ สมัยนี้การผ่าตัดควบกับเคมีบำบัดทำให้มะเร็งลำไส้ใหญ่แม้จะเป็นมากถึงระยะสองระยะสามก็ยังหายขาดได้ ดังนั้นการผ่าตัดจึงดีที่ซู้ด อย่าคิดหนีไปหาวิธีรักษาอื่นเลย ส่วนการคุณจะให้เห็ดหลินจือ อาหารเสริม โปรตีนถั่วเหลือง เกสรดอกไม้ ผมเห็นว่าก็ไม่มีอะไรเสียหายนะครับ ถ้ามันไม่แพงมากเกินไป เพียงแต่ว่าในเชิงวิทยาศาสตร์มันไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันดีกว่าอาหารที่ครบหมู่ตามปกติทั่วไปหรือไม่
3. คำแนะนำเพิ่มเติมของผมเป็นเรื่องการป้องกันซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ คือมะเร็งลำไส้ใหญ่นี้เป็นโรคที่ป้องกันได้ กลไกการเกิดของมันคือจะเริ่มต้นด้วยการที่มีติ่งเนื้อคล้ายๆเห็ดเกิดขึ้นที่ผิวของเยื่อบุลำไส้ใหญ่ก่อน เรียกว่าโพลิป (polyp) ซึ่งโพลิปนี้จะใช้เวลานานประมาณ 10 ปีในการพัฒนาตัวเองไปเป็นมะเร็ง ดังนั้นหากเราส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ทุกสิบปี เมื่อพบติ่งเนื้อนี้ก็คีบออกมาเสีย ก็จะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ วิธีป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่มีสามวิธีคือ
3.1 ส่องตรวจลำไส้ใหญ่ทุก 10 ปี สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีทุกคน หรือผู้ที่มีความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นพิเศษเช่นมีพันธุกรรมในครอบครัว ถ้าส่องตรวจลำไส้ใหญ่ทุก 10 ปี ก็จะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ในยุโรปและอเมริกาที่การส่องตรวจลำไส้ใหญ่ทำกันเป็นว่าเล่นอัตราป่วยและตายจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่ในเมืองไทยเรานี้การคัดกรองมะเร็งด้วยการส่องตรวจลำไส้ใหญ่ไม่แพร่หลาย เหตุหนึ่งเป็นเพราะหมอเองก็ยังไม่รู้ จึงไม่ได้บอกคนไข้ อีกเหตุหนึ่งเป็นเพราะคนไทยเรานี้เป็นพันธุ์ที่ไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรแถวก้นของตัวเอง คงจะกลัวผีปอบหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ (พูดเล่น) อัตราการป่วยจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ของเราจึงอยู่ในทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่ของฝรั่งเขาอยู่ในทิศทางลดลง
3.2 ทานผักและผลไม้ให้มากๆ มากประมาณน้องๆวัว ก็จะมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ เพราะการวิจัยเชิงระบาดวิทยาจำนวนมากให้ผลตรงกันว่ากลุ่มคนที่ทานผักและผลไม้มาก จะมีอัตราเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยกว่ากลุ่มคนที่ทานผักและผลไม้น้อย และว่าคนที่ทานเนื้อสัตว์และมันสัตว์มาก จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก
3.3 การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดอุบัติการณ์ของมะเร็งชนิดนี้ได้ อันนี้ก็มาจากงานวิจัยเชิงระบาดวิทยาหลายงานที่ให้ผลตรงกันเช่นกัน ว่าการออกกำลังกายนี้นอกจากจะทำให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยลงแล้ว ยังทำให้คนที่เป็นแล้วเกิดมะเร็งกลับกำเริบ (recurrence) ต่ำกว่าคนที่เอาแต่นั่งๆนอนๆไม่ออกกำลังกายอีกด้วย
3.4 ปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดนี้แน่นอนและป้องกันได้คือโรคอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่
3.5 กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันไมได้ แต่เฝ้าระวังให้ถี่ขึ้นได้ คนที่มีกรรมพันธุ์เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่จึงต้องเฝ้าระวังมากเป็นพิเศษ เพราะกรรมพันธุ์กับมะเร็งชนิดนี้นั้นเป็นของแท้แน่นอนพิสูจน์ได้แล้ว กรรมพันธุ์บางชนิดเช่นโรคเป็นโพลิปกันทั้งครอบครัว (familial adenomatous polyposis - FAP) นั้น แทบจะเชื่อขนมเจ๊กกินได้เลยว่าต้องเป็นมะเร็ง 100% ตั้งแต่อายุยังไม่ทันพ้น 40 ปีเสียอีก
4. สำหรับคนที่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมให้ใครมาส่องก้น ควรจะเฝ้าระวังอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาการแรกมักจะเป็นโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากเลือดค่อยๆออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้ามากขึ้นก็จะเห็นเลือดปนออกมากับอุจจาระ อาการอื่นก็เช่น ปวดท้องเรื้อรัง นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่นท้องกลายเป็นท้องผูก หรือกลายเป็นถ่ายเหลวประจำ เป็นต้น
5. การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นก็ไม่พ้นการผ่าตัด ควบกับการให้เคมีบำบัด แต่การฉายแสงไม่ใช้ในการรักษามะเร็งชนิดนี้ยกเว้นมะเร็งทวารหนัก เมื่อถึงขั้นต้องรักษาแล้ว ควรขวานขวายไปรักษากับหมอที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโรคนี้โดยตรง ซึ่งเรียกว่า Colorectal surgeon หรือศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก สมัยก่อนเรียกว่า proctologist ทำให้หมอไทยเรียกกันเล่นๆว่า “ตู๊ดโตโลจิสต์” จริงอยู่ศัลยแพทย์ทั่วไปก็ทำผ่าตัดมะเร็งชนิดนี้ได้ แต่การรักษากับตู๊ด..เอ๊ย ขอโทษ กับพร็อคโตโลจิสต์ดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ตรงที่มะเร็งชนิดนี้เป็นโรคเชิงซ้อน มีประเด็นปัญหาปลีกย่อยแยะมาก ต้องคนที่ทำกับโรคนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจึงจะทำได้ดี คนที่นานๆทำทีจะหลุดลืมนั่นลืมนี่ ดังนั้นโรคนี้ถ้ายังไม่เป็น ส่องก้นป้องกันไว้ แต่ถ้าเป็นแล้ว โน่นเลย ตู๊ด.เอ๊ย พร็อคโตโลจิสต์
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
............................
17 กพ. 54
ตอนนี้คุณแม่กระดูกหัก คุณหมอเลยตัดสินใจผ่าตัดด่วน
แล้วก็พบว่า มะเร็งกระจาย และมีเนื้องอก ตรงกระดูกต้นขา ทำให้กระดูกหักง่าย
ผมปรึกษากับหมอ เขาบอกว่าทำอะไรเพิ่มไม่ไ้ด้แล้ว เพราะมะเร็งกระจายแล้ว
และไม่ได้พูดถึง เคมีบำบัดเลย
ไม่แน่ใจว่า หมอที่ผ่าตัด ใช่ พร็อคโตโลจิสต์ หรือปล่าว
ขอบคุณ คุณหมอ มากครับ
(สงวนนาม)
ผมกำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้ แล้วมาเจอบทความของคุณหมอ ถูกใจบทความของคุณหมอมาก หลายๆบทความ เหมือนอ่านธรรมะเลย คุณแม่ผมอายุ 77 ปวดท้อง ถ่ายเป็นเลือด เลยไปส่องกล้อง แล้วเอาชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ เมื่อวันที่ 5 มกราคมนี้ ได้ผลว่า เป็นมะเร็งลำไส้ คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัด แต่คุณหมอเป็นห่วงเรื่อง สภาพร่างกายคุณแม่ ที่อ่อนแอ ปกติคุณแม่เป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยเลย แต่ตอนนี้คุณแม่ ผอมลงมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แล้วก็ปวดเข่าด้วย ทำให้เดิน แทบไม่ได้ ต้องใช้รถเข็น ผมมีคำถามดังนี้ครับ
1. อาการ ปวดเมื่อย และปวดเข่าเป็นผล มาจากมะเร็งหรือไม่ครับ (ไปหาหมอ แล้วหมอบอกว่าอาจจะเป็นเก๊าท์เทียม ให้ยาเก๊าท์ กับ Nurofen 400 มาทาน แต่ก็ไม่ดีขึ้น)
2. ในช่วงที่ร่างกาย อ่อนแอ จะมีวิธีการรักษา หรือทางเลือกอื่น ที่ไม่ใช่การผ่าตัดหรือปล่าวครับ (ตอนนี้ผมซื้อ เห็ดหลินจือ และ อาหารเสริม โปรตีนถั่วเหลือง กับ เกสรดอกไม้ ให้ท่านทาน เพราะคิดว่าจะช่วยให้ คุณแม่มีเรี่ยวแรงขึ้น แต่ ดูเหมือน ไม่ช่วยอะไรเลย ทานมาได้ 1อาทิตย์ ระหว่างที่รอผลการพิสูจน์ ชิ้นเนื้อ)
3. คุณหมอกรุณา แนะนำในการรักษาเพิ่มเติมด้วยครับ
ขอบคุณมากครับ
(สงวนนาม)
..........................
ตอบครับ
1. อาการ ปวด เมื่อย และอาการไม่สบาย เป็นผลจากมะเร็งได้แน่นอน แต่ถ้าปวดเจาะจงลงไปที่เข่า ไม่เกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ น่าจะเป็นปัญหาที่หัวเข่าเช่นข้อเข่าเสื่อมมากกว่า หรือถ้าซวยสุดๆก็คือมะเร็งแพร่กระจายไปถึงกระดูก
2. วิธีรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่โดยไม่ผ่าตัด ไม่มี เพราะมะเร็งชนิดนี้การผ่าตัดเป็นไม้ตายที่ทำให้หายได้ หมายความว่ายังไม่เป็นถึงระยะแพร่กระจายแล้วนะครับ สมัยนี้การผ่าตัดควบกับเคมีบำบัดทำให้มะเร็งลำไส้ใหญ่แม้จะเป็นมากถึงระยะสองระยะสามก็ยังหายขาดได้ ดังนั้นการผ่าตัดจึงดีที่ซู้ด อย่าคิดหนีไปหาวิธีรักษาอื่นเลย ส่วนการคุณจะให้เห็ดหลินจือ อาหารเสริม โปรตีนถั่วเหลือง เกสรดอกไม้ ผมเห็นว่าก็ไม่มีอะไรเสียหายนะครับ ถ้ามันไม่แพงมากเกินไป เพียงแต่ว่าในเชิงวิทยาศาสตร์มันไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันดีกว่าอาหารที่ครบหมู่ตามปกติทั่วไปหรือไม่
3. คำแนะนำเพิ่มเติมของผมเป็นเรื่องการป้องกันซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ คือมะเร็งลำไส้ใหญ่นี้เป็นโรคที่ป้องกันได้ กลไกการเกิดของมันคือจะเริ่มต้นด้วยการที่มีติ่งเนื้อคล้ายๆเห็ดเกิดขึ้นที่ผิวของเยื่อบุลำไส้ใหญ่ก่อน เรียกว่าโพลิป (polyp) ซึ่งโพลิปนี้จะใช้เวลานานประมาณ 10 ปีในการพัฒนาตัวเองไปเป็นมะเร็ง ดังนั้นหากเราส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ทุกสิบปี เมื่อพบติ่งเนื้อนี้ก็คีบออกมาเสีย ก็จะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ วิธีป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่มีสามวิธีคือ
3.1 ส่องตรวจลำไส้ใหญ่ทุก 10 ปี สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีทุกคน หรือผู้ที่มีความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นพิเศษเช่นมีพันธุกรรมในครอบครัว ถ้าส่องตรวจลำไส้ใหญ่ทุก 10 ปี ก็จะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ในยุโรปและอเมริกาที่การส่องตรวจลำไส้ใหญ่ทำกันเป็นว่าเล่นอัตราป่วยและตายจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่ในเมืองไทยเรานี้การคัดกรองมะเร็งด้วยการส่องตรวจลำไส้ใหญ่ไม่แพร่หลาย เหตุหนึ่งเป็นเพราะหมอเองก็ยังไม่รู้ จึงไม่ได้บอกคนไข้ อีกเหตุหนึ่งเป็นเพราะคนไทยเรานี้เป็นพันธุ์ที่ไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรแถวก้นของตัวเอง คงจะกลัวผีปอบหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ (พูดเล่น) อัตราการป่วยจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ของเราจึงอยู่ในทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่ของฝรั่งเขาอยู่ในทิศทางลดลง
3.2 ทานผักและผลไม้ให้มากๆ มากประมาณน้องๆวัว ก็จะมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ เพราะการวิจัยเชิงระบาดวิทยาจำนวนมากให้ผลตรงกันว่ากลุ่มคนที่ทานผักและผลไม้มาก จะมีอัตราเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยกว่ากลุ่มคนที่ทานผักและผลไม้น้อย และว่าคนที่ทานเนื้อสัตว์และมันสัตว์มาก จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก
3.3 การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดอุบัติการณ์ของมะเร็งชนิดนี้ได้ อันนี้ก็มาจากงานวิจัยเชิงระบาดวิทยาหลายงานที่ให้ผลตรงกันเช่นกัน ว่าการออกกำลังกายนี้นอกจากจะทำให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยลงแล้ว ยังทำให้คนที่เป็นแล้วเกิดมะเร็งกลับกำเริบ (recurrence) ต่ำกว่าคนที่เอาแต่นั่งๆนอนๆไม่ออกกำลังกายอีกด้วย
3.4 ปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งชนิดนี้แน่นอนและป้องกันได้คือโรคอ้วน การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่
3.5 กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันไมได้ แต่เฝ้าระวังให้ถี่ขึ้นได้ คนที่มีกรรมพันธุ์เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่จึงต้องเฝ้าระวังมากเป็นพิเศษ เพราะกรรมพันธุ์กับมะเร็งชนิดนี้นั้นเป็นของแท้แน่นอนพิสูจน์ได้แล้ว กรรมพันธุ์บางชนิดเช่นโรคเป็นโพลิปกันทั้งครอบครัว (familial adenomatous polyposis - FAP) นั้น แทบจะเชื่อขนมเจ๊กกินได้เลยว่าต้องเป็นมะเร็ง 100% ตั้งแต่อายุยังไม่ทันพ้น 40 ปีเสียอีก
4. สำหรับคนที่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมให้ใครมาส่องก้น ควรจะเฝ้าระวังอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ อาการแรกมักจะเป็นโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากเลือดค่อยๆออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้ามากขึ้นก็จะเห็นเลือดปนออกมากับอุจจาระ อาการอื่นก็เช่น ปวดท้องเรื้อรัง นิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่นท้องกลายเป็นท้องผูก หรือกลายเป็นถ่ายเหลวประจำ เป็นต้น
5. การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่นั้นก็ไม่พ้นการผ่าตัด ควบกับการให้เคมีบำบัด แต่การฉายแสงไม่ใช้ในการรักษามะเร็งชนิดนี้ยกเว้นมะเร็งทวารหนัก เมื่อถึงขั้นต้องรักษาแล้ว ควรขวานขวายไปรักษากับหมอที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโรคนี้โดยตรง ซึ่งเรียกว่า Colorectal surgeon หรือศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก สมัยก่อนเรียกว่า proctologist ทำให้หมอไทยเรียกกันเล่นๆว่า “ตู๊ดโตโลจิสต์” จริงอยู่ศัลยแพทย์ทั่วไปก็ทำผ่าตัดมะเร็งชนิดนี้ได้ แต่การรักษากับตู๊ด..เอ๊ย ขอโทษ กับพร็อคโตโลจิสต์ดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ตรงที่มะเร็งชนิดนี้เป็นโรคเชิงซ้อน มีประเด็นปัญหาปลีกย่อยแยะมาก ต้องคนที่ทำกับโรคนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจึงจะทำได้ดี คนที่นานๆทำทีจะหลุดลืมนั่นลืมนี่ ดังนั้นโรคนี้ถ้ายังไม่เป็น ส่องก้นป้องกันไว้ แต่ถ้าเป็นแล้ว โน่นเลย ตู๊ด.เอ๊ย พร็อคโตโลจิสต์
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
............................
17 กพ. 54
ตอนนี้คุณแม่กระดูกหัก คุณหมอเลยตัดสินใจผ่าตัดด่วน
แล้วก็พบว่า มะเร็งกระจาย และมีเนื้องอก ตรงกระดูกต้นขา ทำให้กระดูกหักง่าย
ผมปรึกษากับหมอ เขาบอกว่าทำอะไรเพิ่มไม่ไ้ด้แล้ว เพราะมะเร็งกระจายแล้ว
และไม่ได้พูดถึง เคมีบำบัดเลย
ไม่แน่ใจว่า หมอที่ผ่าตัด ใช่ พร็อคโตโลจิสต์ หรือปล่าว
ขอบคุณ คุณหมอ มากครับ
(สงวนนาม)