การจะมาค้นหาวิญญาณ (soul) ของฉัน ไม่มีวันจะหาพบดอก เพราะวิญญาณไม่ใช่ของใคร
![]() |
ขึ้นไปสูดอากาศเย็นๆ 19 องศา ยามเช้า ที่ยอดเขาเขียว บนอุทยานเขาใหญ่ |
(หมอสันต์พูดกับสมาชิก Spiritual Retreat)
วันนี้มีสมาชิกท่านหนึ่งถามผมว่า
"แทนที่เราจะมาพยายามวางความคิดหรือฝึกเพิกเฉยต่อความคิดด้วยเครื่องมือต่างๆหกเจ็ดอย่าง ทำไมเราไม่ไปเจาะที่รากเหง้าที่ปล่อยความคิดนี้ออกมาเสียแต่ต้น อุปมาเหมือนเมื่อมีควันก็ย่อมมีไฟ แทนที่เราจะมัวปัดหรือไล่ควัน เราไปดับไฟที่เป็นต้นเหตุของควันเสียเลยไม่ได้หรือ"
แน่นอนถ้าเราทำอย่างนั้นได้มันดีที่สุดแหละครับ แต่ถ้าเรายังทำไม่ได้เราก็ต้องปัดควันไปพลาง พยายามหาทางดับไฟไปพลาง
แต่ไหนๆก็มีสมาชิกยกประเด็นขึ้นมาแล้ว เราลองมาสำรวจด้วยตรรกะแบบตรงๆกันดูหน่อยไหม ว่าถ้าเราจะดับไฟที่เป็นต้นตอของควัน เราจะต้องเริ่มที่ตรงไหน
เราก็ต้องตั้งคำถามก่อนว่าใครเป็นผู้ปล่อยความคิดออกมา
"..ใครกันนะที่กลัว" หรือ
"..ใครกันนะที่อยากได้"
เมื่อตามหาต้นตอไป ในที่สุดเราก็จะพบว่าทุกความคิดมาจากต้นตอเดียวกัน คือใครคนหนึ่ง (somebody) ที่เราเรียกว่าเป็น "ฉัน" นี่ไง ทุกความคิดก็ล้วนมีสารัตถะเดียวกันหมดคือมุ่งปกป้องหรือเชิดชูใครคนนี้นี่แหละ
ตรรกะง่ายๆก็คือถ้าฆ่าฉันตัวนี้เสีย ผู้ปล่อยความคิดก็จะหมดไป เราก็จะหลุดพ้นจากทุกข์ที่เกิดจากความคิด แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่กล้าฆ่าฉันตัวนี้เพราะกลัวว่าไม่มีฉันตัวนี้แล้วชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไร คนส่วนใหญ่จึงสมัครใจ "ชกลม" อยู่งี้ดีกว่า จะนานสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี ก็ชกลมอยู่งี้แหละ คือแค่หลบๆความคิดที่มันท็อกสิกเกินขนาด โดยไม่กล้าฟันตรงๆกับผู้ก่อความคิดเหล่านี้ขึ้นมา
จริงหรือเปล่าที่ว่าถ้าไม่มีฉันตัวนี้แล้วชีวิตจะไปต่อไม่ได้ ลองมาสำรวจดูของจริงกันด้วยตรรกะตรงไปตรงมาอีกหน่อยนะ
เมื่อความคิดที่หนึ่งเกิดแล้วดับไป จะมีช่องว่างอยู่นิดหนึ่ง แล้วความคิดที่สองก็เกิดตามมา แล้วดับไปอีก
ประเด็นคือ..ใครกันนะที่มองเห็นว่าความคิดที่หนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป มองเห็นช่องว่างก่อนที่ความคิดที่สองจะเกิด และมองเห็นความคิดที่สองเกิดขึ้นแล้วดับไป
ก็แสดงว่ามีฉันอีกตัวหนึ่งอยู่ข้างหลังใช่ไหม เพราะมันมองเห็นฉันตัวแรกคือความคิด แถมยังมองเห็นช่องว่างระหว่างสองความคิดซึ่งเป็นเขตปลอดฉันตัวแรกด้วย ฉันอีกตัวหนึ่งที่อยู่ข้างหลังนี้มันเป็นฉันที่ไม่ใช่ฉัน เพราะมันแอบมองอยู่เฉยๆแบบเป็น nobody โดยไม่เข้ามามีเอี่ยวหรือผลประโยชน์ใดๆกับฉันตัวแรกซึ่งเป็น somebody ที่เป็นผู้สร้างความคิดขึ้นมา ถ้างั้นเราก็ฆ่าฉันตัวแรกได้สิใช่ไหม จะกลัวอะไรเพราะเรายังเหลือฉันอยู่อีกตัวหนึ่งไง ดีเสียอีกที่ฉันตัวหลังนี้มันเป็นแค่ผู้สังเกตที่จะไม่สร้างความคิดให้เราปั่นป่วนวุ่นวายอีกต่อไป
เมื่อสองวันก่อน ตอนที่ทุกท่านแนะนำตัวเอง จำได้ไหมว่ามีสมาชิกท่านหนึ่งได้เล่าเจตนาของการมาที่นี่ว่าเพื่อมาตามหา Soul ของตัวเอง ผมขอวกเข้ามาพูดถึงตรงนี้หน่อยนะเพราะมันเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่พอดี
ว่าการตามหา Soul ของตัวเองนี้ มันไม่มีวันตามหาพบดอก เพราะว่า Soul หรือวิญญาณชนิดที่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งนั้นมันไม่มี มันมีแต่ชนิดที่ไม่ได้เป็นของใคร
คือ Soul นี้มันไม่ใช่ somebody แต่มันเป็น nobody หรือพูดอีกอย่างว่ามันไม่มีแบบเป็นของคนนี้นิดของคนนั้นหน่อยดอก มันมีแต่แบบเป็นหนึ่งเดียว จะเรียกว่าเป็น oneness หรือเป็น singularity ก็ได้กระมัง ซึ่งทุกชีวิตก็ต้องมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวนี้ด้วยกัน ดังนั้น การจะไปให้ถึง Soul จึงมีทางเดียว คือต้องฆ่าฉันที่เป็น somebody นี้เสียก่อน ให้เหลือแต่ฉันที่เป็น nobody ซึ่งก็คือ Soul เองนั่นแหละ
ดังนั้นผมฝากให้พวกเราทุกคนเอาไปทดลองทำต่อเป็นการบ้านนะ ว่านอกจากจะฝึกปฏิบัติวิธีวางความคิดแบบต่างๆที่เราทดลองทำกันมาตลอดสามวันมานี้ให้ช่ำของแล้ว ให้ลองลงมือฆ่าฉันตัวที่เป็น somebody นี้ดูซะด้วย ฆ่าเลย ไม่ต้องกลัวว่าชีวิตจะไปต่อไม่ได้ เพราะมันยังจะเหลือฉันอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็น nobody ให้ชีวิตเราเดินต่อไปได้อยู่ ลองเล้ย อย่ากลัว ไม่ลองแล้วจะรู้หรือ อย่างน้อยก็มีโอกาสจะพบทางออกนอกเหนือไปจากการเอาแต่ชกลมกันไปจนสิ้นชาติ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์