ทุกคนต้องตายอยู่แล้ว แต่วันนี้ แดดดีๆฟ้าใสๆอย่างนี้ คุณจะใช้ชีวิตยังไง
คุณหมอสันต์คะ
สามีเป็นโรคมะเร็งเลือดค่ะ จิตใจมีแต่ความกลัว กลัวตาย กลัวติดเชื้อ กลัวฝุ่น PM2.5 กลัวน้ำหนักลด ควรทำตัวแบบไหนบ้างคะ
..............................................
ตอบครับ
ในการเกิดมาครั้งหนึ่งนี้ ท้ายที่สุดทุกคนต้องตายอยู่แล้ว นั่นเป็นของแน่ ใครจะตายช้า ใครจะตายเร็ว ไม่มีใครรู้ได้ แต่วันนี้ แดดดีๆ ฟ้าใสๆอย่างนี้ คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร คุณจะสาละวนหลบหนีความตาย หรือคุณจะใช้วันนี้ให้คุ้มค่ากับที่มันยังมีวันนี้อยู่ให้เราได้ใช้ นี่คือประเด็น
คำถามของคุณมีแค่สองบรรทัดก็จริง แต่เจาะถึงแก่นของการใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้ทุกข์ ผมต้องตอบอย่างครอบคลุมให้จบในเวลาที่มีโดยให้คุณเอาไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย ผมจะทำได้หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องลองกันดู อันที่จริงส่วนที่ยากที่สุดไม่ได้อยู่ทางผมดอกมันอยู่ทางคุณ ผมเขียนจบในครึ่งชั่วโมงได้ แต่คุณอาจจะต้องเอาไปแกะไปทดลองโดยใช้เวลาเป็นเดือนเป็นปี
1. ก่อนอื่นให้ทำความเข้าใจตรรกะพื้นฐานในการเกิดมามีชีวิตก่อน
1.1 ชีวิตคือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจ อันเนื่องมาจากการสนองตอบต่อสิ่งเร้า ที่มีองค์ประกอบร่วมห้าอย่าง คือ
(1.1.1) การรับรู้สิ่งเร้า (stimuli)
(1.1.2) ความจำ(memory)
(1.1.3) ความรู้สึก (feeling)
(1.1.4) ความคิด (thought)
(1.1.5) ความรู้ตัว (consciousness)
1.2 วิธีสนองตอบต่อสิ่งเร้ามันทำได้หรือมีได้สองแบบ คือ
1.2.1 แบบอัตโนมัติ (automatically) ซึ่งเป็นไปตามวงจรอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนโดยอุปาทาน ( หมายถึง concept ที่ถูกสร้างและจดจำไว้ก่อนแล้วในรูปของความจำ) จนได้ผลผลิตสุดท้ายเป็น "ความคิด" ใหม่ขึ้นมา
1.2.2 แบบรู้ตัว (consciously) ซึ่งมีขั้นตอน "นิ่ง" แล้ว "เฝ้าดู" การขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติให้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยสนองตอบไปอย่างรู้ตัว
1.3 การสนองตอบแบบอัตโนมัติพาไปสู่ความคิดใหม่ที่ทำให้ทุกข์ การสนองตอบแบบรู้ตัวพาไปสู่ความรู้ตัวยิ่งขึ้นๆ ซึ่งเป็นความสงบเย็นยิ่งขึ้นๆ
2. "ความคิด" คือ ผลผลิตของการสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปในทางพาให้ตัวเองทุกข์ พูดง่ายๆว่าความคิดคือต้นเหตุของทุกข์ จึงต้องฝึกใช้เครื่องมือวางความคิด 7 อย่างให้ช่ำชอง คือ
2.1 ฝึกดึงความสนใจออกจากความคิดมาอยู่ตรงนี้ แบบนิ่งๆ และรู้ตัว (awareness)
2.2 ฝึกผ่อนคลายร่างกาย (relaxation)
2.3 ฝึกตามดูลมหายใจ (breathing)
2.4 ฝึกรับรู้พลังชีวิต (life energy) ผ่านการรับรู้ความรู้สึก
2.5 ฝึกย้อนดูความคิด (recall thought)
2.6 ฝึกจดจ่อสมาธิ (concentration)
2.7 ฝึกตื่นตัวพร้อมรับรู้ประสบการณ์ในใจทันทีที่มันเกิด (alertness)
3. ควรเรียนรู้หลัก "ยอมรับ (acceptance)" คืออยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่แกว่งไปหาสิ่งชอบ ไม่แกว่งหนีสิ่งที่ชัง เพราะการแกว่งก็คือการสร้างความคิดใหม่ที่พาให้ทุกข์ขึ้นมาในใจนั่นเอง
4. ควรทำความเข้าใจว่าการที่เราสนองตอบต่อสิ่งเร้าได้สองแบบ ทำให้เกิดโลกขึ้นสองใบ คือ "โลกของความรู้ตัว" ซึ่งเราเป็น no body เฝ้าสังเกตรับรู้สิ่งต่างๆอย่างสงบเย็น กับ "โลกของอุปาทาน" ซึ่งเราเป็น some body มีได้มีเสียกับทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น มีความหวัง มีความกลัว
ความกลัวเป็นความคิดในโลกของอุปาทาน การจะทิ้งความกลัวซึ่งเป็นความคิดในโลกของอุปาทาน เราต้องเปลี่ยนหรือย้ายตัวตนจากการเป็น some body ในโลกอุปาทาน มาเป็น no body ในโลกของความรู้ตัวให้ได้ก่อน
อนึ่ง ในการตอบคำถามคุณครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมนำคำว่า "โลกของอุปาทาน" มาใช้ เดิมผมเคยใช้คำว่า "คอนเซ็พท์ (concept)" แต่ผมรู้สึกว่าคนจะไม่ค่อยเก็ท คือมันสื่อไม่เข้าเป้า คือใจจริงผมตั้งใจจะให้หมายถึงชีวิตในส่วนของการโลดแล่นอยู่ในความคิดที่ผลัดกันเกิดขึ้นในใจเราอย่างอัตโนมัติโดยเราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเราอยู่ในนั้น กลไกอัตโนมัตินี้ผูกโยงขึ้นมาจากความปักใจเชื่อ (preconceive) ในเรื่องสมมุติต่างๆ เช่น ชื่อของเรา ร่างกายของเรา ความคิดของเรา ยศชั้นบรรดาศักดิ์ของเรา ครอบครัวของเรา ชื่อเสียงเกียรติยศของเรา บ้านของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา ประเทศของเรา โลกของเรา ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้มีความจริงแท้มิแปรผันใดๆมารองรับทั้งสิ้น แต่เราก็ยังเชื่อของเราอยู่ดีว่าเราเป็น "ตัวตน (some body)" ที่โลดแล่นอยู่ในนั้น ผมเลือกคำว่าโลกของอุปาทานนี้ขึ้นมาเพื่อเอามาเทียบคู่กับ "โลกของความรู้ตัว" ซึ่งเราเป็นแค่ no body ที่สังเกตรับรู้ประสบการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในใจอย่างผู้สังเกตที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านั้น
5. ส่งท้าย.. ให้คุณทดลองนำสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ไปลงมือปฏิบัติดู หากไม่ทดลองปฏิบัติ ทั้งหมดที่ผมเขียนตอบคุณนี้ก็จะเป็นแค่อีกหนึ่ง "อุปาทาน" ของคุณเท่านั้น ต้องขอโทษด้วยที่ในคำตอบนี้ผมเขียนแต่หัวเรื่องและคำสำคัญเพราะอยากให้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดแต่ถ้าเขียนยาวคนก็อ่านไม่ไหว รายละเอียดที่จะช่วยอธิบายหัวเรื่องและคำสำคัญเหล่านี้คุณสามารถหาอ่านเอาเองได้ในบล็อกเก่าๆที่ผมตอบคำถามแนวนี้ไปมากแล้ว หากคุณทดลองปฏิบัติเองแล้วไม่สำเร็จให้หาโอกาสมาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์