จริงหรือที่ว่ายิ่งลดไขมัน LDL ลงมาก กลับยิ่งจะเสียชีวิตมากขึ้น (งานวิจัย MCE)


 

คุณหมอสันต์ที่นับถือ

ได้มีผู้ส่งงานวิจัยตามลิงค์นี้ ... ที่สรุปได้ว่า การลด LDL ไม่ได้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และยิ่งลด LDL ลงมาก ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในหมู่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปียิ่งขึ้น ทำให้หนูเกิดความมึนว่าแล้วคุณหมอๆจะเอายังไงกับหนูแน่ เพราะทุกวันนี้หนูอายุ 67 ก็ตั้งใจกินยาลดไขมันอยู่ หมอจะให้เอา LDL ลงต่ำกว่า 50 แต่มันได้แค่ 121 ช่างห่างเป้าเกิ้น ถ้างานวิจัยนี้เป็นของจริงก็จะได้เป็นข่าวดีสำหรับหนูสิคะ 

รบกวนคุณหมอสงเคราะห์ (หมายความว่าวิเคราะห์) ด้วยค่ะ

........................................................................

ตอบครับ

    ก่อนตอบขออารัมภบทตามประสาชายแก่ก่อนนะ

    เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่คนทั่วไปนอกเหนือจากฟังคำแนะนำของหมอแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้วยังเริ่มหันไปหาข้อมูลจากงานวิจัยเช่นหันไปอ่าน PubMed ด้วยตัวเองกันมากขึ้น มีอะไรน่าสนใจก็ส่งต่อๆกันไปในไลน์ในเฟซ เป็นการแบ่งปันความมึนงงไปให้ทั่วๆกัน

    ในโอกาสที่ผู้คนเริ่มหันมาหาข้อมูลตรงเอาจากผลวิจัยนี้ มันอาจจะเป็นเวลาที่เหมาะที่จะตอกย้ำทำความเข้าใจกันอีกทีว่าโลกของงานวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพเป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก มีงานวิจัยใหม่ๆตีพิมพ์ปีละไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านรายการ PubMed เองสรุปว่าทุกหนึ่งนาทีจะมีผลวิจัยใหม่เพิ่มเข้ามาใน PubMed สองเรื่อง การไปอ่านบทคัดย่อของงานวิจัยหนึ่งชิ้นเพื่อเอามาใช้แก้ปัญหาโรคของเราเองนั้นอุปมาก็จะเหมือนตาบอดไปคลำช้าง จึงถึงเวลาแล้วที่คนทั่วไปต้องเริ่มฝึกกลั่นกรองความเชื่อถือได้ของหลักฐานวิจัยด้วยตัวเอง ทั้งในแง่ของ (1) การประเมินคุณภาพผลวิจัยรายชิ้น (article synopsis) (2) การจัดชั้นความเชื่อถือได้ของหลักฐาน (level of evidence) และ (3) การปะติดปะต่อหลักฐานทั่วโลกว่าในภาพใหญ่อะไรหักล้างหรือสนับสนุนอะไร (systemic review/meta analysis) ซึ่งทั้งหมดนี้ผมมักเขียนสอดแทรกไว้ในการตอบคำถามบ่อยมาก ท่านลองย้อนไปอ่านดูได้ อย่างน้อยก็ในบทความของผมสอง ชิ้นนี้ คือ  https://visitdrsant.blogspot.com/2021/03/blog-post_6.html และบทความชิ้นนี้ https://visitdrsant.blogspot.com/2011/08/blog-post_25.html

    เอาละ คราวนี้มาตอบคำถามของคุณ การจะวิเคราะห์คุณภาพของงานวิจัย (article synopsis) เรื่องมันเยอะนะ คุณต้องทนอ่าน สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นที่ไม่ชอบอะไรเยอะให้ผ่านไปเลยไม่ต้องอ่านบทความนี้

    งานวิจัยที่คุณแปะมาให้ใน ลิงค์ขี้หมา (หมายถึงลิงค์ที่ไม่สามารถสืบสาวไปหาตัวงานวิจัยที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับได้) นั้น ของจริงเขามีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า ชื่อ Minnesota Coronary Experiment (MCE) [1] เป็นการขุดเอางานวิจัยเก่าสมัยสงครามเวียดนาม ซึ่งเขาไม่ได้ตีพิมพ์ขึ้นมาตีพิมพ์ (ทำไมตอนนั้นเขาไม่ตีพิมพ์ผมไม่ทราบ และขอไม่พูดถึงเดี๋ยวจะยาว) งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยในคน ในรูปแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) เจาะลึกลงไปอีกนิดหนึ่ง ในงานวิจัยนี้เขาเอาคนที่นอนป่วยอยู่ในบ้านพักคนชรากับรพ.โรคจิตมา 9423 คน มาสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มทดลองให้กินอาหารที่ทดแทนไขมันอิ่มตัว (เนยและเนยเทียม เป็นต้น) ด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น) ตัดคนที่กินอาหารอย่างเข้มงวดได้ไม่ครบปีออกไป เหลือคนที่จะเอาผลมาวิเคราะห์ 2355 คน ช่วงทำการศึกษานาน 5 ปี สรุปผลวิจัยได้ว่า 

    (1) การทดแทนไขมันอิ่มตัว (เนยแท้) ด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (น้ำมันข้าวโพด) ลด LDL ลงได้ 13.8% 

    (2) การที่ไขมัน LDL ลดลงจากเดิม (13.8%) ไม่มีผลลดอัตราป่วยจากโรคหลอดเลือดและอัตราตายรวม 

    (3) กลุ่มย่อยที่อายุเกิน 65 ปี มีความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ LDL ลดลงเกิน 30 mg/dl กับการมีอัตราตายเพิ่มขึ้น 22% 

    หมอสันต์วิเคราะห์คุณภาพหลักฐาน (Article synopsis)

    1. ปัญหาใหญ่ของงานวิจัยนี้คือไม่มีข้อมูลสถิติของจริงในสาระสำคัญมาแสดง คือมีแต่ข้อมูลแรกเข้าว่าใครมี LDL สูงเท่าไหร่ แต่ไม่มีข้อมูลว่าใครตายบ้าง กลุ่มไหนตายเท่าไหร่ คนที่ตายมี LDL สูงเท่าไหร่ ไม่มีเลย คณะผู้วิจัยก็ยอมรับแบบอ้อมแอ้มว่าไม่มีข้อมูลสถิติจริงๆมาแสดงดอก แต่อาศัยไปอ้างเอาผลวิจัยมาจากอีกวิทยานิพนธ์หนึ่ง  [2] ซึ่งเปรียบเทียบอัตราตายแบบคาดเดาล่วงหน้าด้วยกร๊าฟ (Kaplan Meier graphs)ที่วิเคราะห์จากข้อมูล (MCE) ชุดเดียวกัน แต่วิทยานิพนธ์นั้นก็แสดงแต่กร้าฟโดยไม่มีข้อมูลสถิติจริงมาแสดงอยู่ดี ผมเองพยายามตามไปดูวิทยานิพนธ์นั้นใน PubMed แต่ก็ไม่พบ เพราะเป็นแค่วิทยานิพนธ์ไม่ใช่งานวิจัยที่ตีพิมพ์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อไม่มีข้อมูลสถิติจริงมาแสดงอย่างนี้ ต่อให้อมพระมาพูดว่าผลวิจัยเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใครจะเชื่อ ผมคนหนึ่งละที่ไม่เชื่อ

    2. ในจำนวน 2,355 คนที่สุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่มนี้ มีอยู่ 392 คนที่มีหลักฐานว่าเป็นโรคหัวใจระดับเคยเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายแบบ acute MI มาแล้ว (จากหลักฐานที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจแรกรับมี pathological Q) แต่ข้อมูลที่ว่า 392 คนนี้ถูกสุ่มไปอยู่กลุ่มไหนเท่าไหร่และตายไปกี่คน ถูกแฮ้บ ทิ้งหรือหายไปดื้อๆ ค้นหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ สมมุติว่าในบรรดาคนที่ตายส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวก 392 คนนี้โดยไม่เกี่ยวว่าอยู่กลุ่มไหน ข้อสรุปที่ว่า LDL ต่ำสัมพันธ์กับการตายมากขึ้นก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะพวกเขาตายจาก acute MI ซึ่งเป็นเหตุการตายสูงสุดตามปกติโดยไม่เกี่ยวอะไรกับ LDL ต่ำหรือสูง

    3. กลุ่มทดลองที่ได้กินอาหารแบบใช้ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนทดแทนไขมันอิ่มตัวนั้น ไม่มีมาตรการหรือ protocol ที่จะป้องกันไม่ให้มีการใช้ไขมันทรานส์ (hydrogenated fat) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเช่นกันมาเป็นปัจจัยกวนการวิจัย เพราะสมัยนั้น (1968-1973) เป็นสมัยนิยมของการเอาไขมันทรานส์มาแทนที่ไขมันอิ่มตัวเนื่องจากพิษภัยของไขมันทรานส์แม้จะรู้กันบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่กว้างขวางนัก การไม่วางแผนป้องกันไม่ให้ใช้ไขมันทรานส์ในกลุ่มทดลองเสียแต่ต้นมือ ผลวิจัยที่ได้จะเอามาใช้กับสมัยนี้ไม่ได้เลยเพราะสมัยนี้ไขมันทรานส์เป็นไขมันผิดกฎหมายไม่มีใครกินกันแล้ว จะถือว่าไขมันไม่อิ่มตัวที่กินสมัยนี้มีพิษภัยเหมือนอย่างในงานวิจัยนี้ย่อมไม่ได้

    3.4 งานวิจัยนี้เป็นการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบการกินไขมันอิ่มตัวกับการกินไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(ที่อาจมีหรือไม่มีไขมันทรานส์ด้วย) ว่าใครจะป่วยจะตายมากกว่ากัน ไม่ใช่การสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างคน LDL สูงกับคน LDL ต่ำว่าใครจะป่วยจะตายมากกว่ากัน จะมาสรุปว่างานวิจัยสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบพิสูจน์ได้ว่าคน LDL ต่ำตายมากกว่าคน LDL สูงย่อมไม่ได้ ในมุมมองของ LDL งานวิจัยนี้ก็มีระดับชั้นเป็นงานวิจัยเชิงระบาดวิทยาทั่วไปที่เป็นการเปรียบเทียบคน LDL สูงกับที่ LDL ต่ำโดยไม่มีการสุ่มตัวอย่างเท่านั้น งานวิจัยระดับนี้มีแยะมาก ซึ่งมีปัจจัยกวนได้มากมายจนเป็นเหตุให้สรุปอะไรไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้

     3.5 งานวิจัยนี้ทำในกลุ่มคนเฉพาะคือผู้ป่วยในบ้านพักคนชราและผู้ป่วยในของรพ.จิตเวช คนสองกลุ่มนี้มีเอกลักษณ์คือการขาดอาหารหรือการกินน้อยเกินไปซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับ LDL ต่ำ ยิ่งกินน้อย LDL ก็ยิ่งต่ำ และยิ่ง LDL ต่ำก็ยิ่งตายง่าย ผลวิจัยแบบนี้อาจใช้ประโยชน์ในคนสองกลุ่มนี้ได้ แต่จะเอามาใช้ประโยชน์กับคนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุใกล้ตายหรือผู้ป่วยจิตเวชระดับนอนในโรงพยาบาลไม่ได้ เพราะคนทั่วไปมีภาวะโภชนาการแทบจะตรงกันข้าม คือกินมากเกินไป

บทสรุปของหมอสันต์

    งานวิจัยนี้เป็นหลักฐานระดับสูง (RCT) ก็จริง แต่มีคุณภาพการวิจัยต่ำเพราะไปมุ่งสรุปในข้อที่ไม่ได้สุ่มตัวอย่างศึกษา อีกทั้งข้อมูลสถิติสำคัญหายไป ทำให้ผลที่สรุปมาเชื่อถือไม่ได้ และเนื่องจากเป็นงานวิจัยในกลุ่มประชากรกินน้อยกว่าปกติผลสรุปที่ได้จะเอามาใช้กับประชากรทั่วไปที่กินได้ปกติ(หรือมากกว่าปกติ)ไม่ได้ 

บทแถม

    ไหนๆคุณก็ถามมาด้วยความอยากรู้ว่า LDL สูงจะดีไหม ถ้าดีจะได้ทำตัวปล่อยๆให้ LDL สูงๆแบบเดิมๆสบายๆไม่ต้องไปพยายามลดมันมาก ผมขอสรุปข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์เรารู้ถึงวันนี้ ตามที่ปัญญาของผมสกัดออกมาได้ ให้ฟังดังนี้นะ

    (1) LDL เป็นตัวชี้วัดที่สัมพันธ์กับการป่วยและตายด้วยโรคหัวใจหลอดเลือดที่แน่นอนที่สุดตัวหนึ่งเท่าที่วงการแพทย์มีใช้อยู่ตอนนี้ ส่วนที่จะสัมพันธ์กันแบบทั้งคู่ (LDL และโรค) ต่างก็เป็นผลที่เกิดจากเหตุที่แท้จริง (ซึ่งคืออะไรยังไม่รู้) หรือว่าจะสัมพันธ์กันแบบ LDL เป็นสาเหตุให้ป่วยเป็นโรค ตรงนี้ยังไม่มีใครทราบ

    (2) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจที่สรุปได้แน่ชัดแล้วจากงานวิจัย INTERHEART study มีอยู่อย่างน้อย 9 ตัว คือ บุหรี่ ความดัน ไขมัน อ้วน เบาหวาน เครียด กินพืชผักผลไม้น้อย ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกกำลังกาย 
    ประเด็นคือ LDL หรือไขมันสูง เป็นเพียงผู้เล่น 1 ใน 9 ไม่ใช่เป็นผู้เล่นคนเดียว

    (3) การจัดการปัจจัยเสี่ยงของโรคโดยใช้ LDL เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ สัมพันธ์กับการลดอัตราตายของผู้ป่วยโรคหัวใจหลอดเลือดลงได้ นี่เป็นความจริงที่ผลวิจัยค่อนข้างสอดคล้องต้องกันไปทางเดียว ส่วนประเด็นที่ว่าจะต้องเอา LDL ลงต่ำด้วยวิธีไหนดีกว่ากัน ด้วยยาฉีดยากินหรือด้วยการเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือสองอย่างสามอย่างควบ และประเด็นที่ว่าจะต้องเอา LDL ลงต่ำแค่ไหนจึงจะตายน้อยที่สุด จะเอาลงถึง 100 หรือ 70 หรือ 50 อันนี้ยังเปิดให้เถียงกันได้ต่อไปอีกนาน หรืออาจจะอีกตลอดไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
    
บรรณานุกรม
 
1. Ramsden CE, Zamora D, Majchrzak-Hong S, Faurot KR, Broste SK, Frantz RP, Davis JM, Ringel A, Suchindran CM, Hibbeln JR. Re-evaluation of the traditional diet-heart hypothesis: analysis of recovered data from Minnesota Coronary Experiment (1968-73). BMJ. 2016 Apr 12;353:i1246. doi: 10.1136/bmj.i1246. Erratum in: BMJ. 2024 Jun 28;385:q1450. doi: 10.1136/bmj.q1450. PMID: 27071971; PMCID: PMC4836695.

2. Broste S. Lifetable Analysis of the Minnesota Coronary Survey.University of Minnesota, 1981.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

จดหมายถึงนายกแพรทองธาร

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก