อยากให้หมอสันต์วิเคราะห์การที่มีผู้ตั้งตนรักษามะเร็งด้วยเครื่อง IR Imaging
(ภาพวันนี้ / กระท่อมร้างที่เคยเป็นบ้านหมอสันต์)
เรียนอาจารย์สันต์
ผม … นะครับ ผมไม่ค่อยสบายใจที่มีนัก …. ตั้งตัวเป็นผู้ให้ความรู้วิทยาศาสตร์และรักษาโรคมะเร็ง โดยอธิบายแบบ pseudoscience ผมส่งเทปวิดิโอคำบรรยายในที่สาธารณะของเขามาให้อาจารย์ช่วยวิเคราะห์และให้ความเห็น เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ จะได้ไม่ต้องถูกหลอกครับ
……………………………………………………….
ตอบครับ
การวิเคราะห์เนื้อหา
ผมขออนุญาตตอบอาจารย์โดยไม่แปะคลิปที่อาจารย์ส่งมาให้เพื่อจะได้สื่อสารกันแต่เนื้อหาโดยไม่เกี่ยวกับตัวบุคคลเพราะผมเองไม่รู้จักท่านผู้บรรยายในคลิปที่อาจารย์ส่งมา โดยผมขอแบ่งส่วนที่ผู้บรรยายพูดออกเป็นสามส่วน
ส่วนที่หนึ่ง คือเรื่องที่เป็นหลักพื้นฐานความจริงในวิชาเซลล์วิทยา อันได้แก่การที่เซลล์ในร่างกายสื่อสารกันด้วยวิธีต่างๆ (cell communication) เช่นส่งผ่านโมเลกุลเช่นไซโตไคน์ต่างๆหากัน เพื่อทำงานร่วมกันหรือรวมกลุ่มกันขึ้นเป็นชุมชนหรือเนื้อเยื่อ..ก็ดี การที่เซลล์ทำหน้าที่ไปตามที่ยีนกำหนดมา คือทำงานผลิตโปรตีนเมื่อถึงเวลาต้องผลิต ระเบิดตัวเองตายเมื่อถึงเวลาต้องระเบิด..ก็ดี การที่เซลล์มะเร็งไม่ยอมหยุดแบ่งตัวทั้งๆที่ยีนกำหนดมาให้หยุด ทำให้ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง..ก็ดี การที่เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด NK ออกมาทำลายเซลล์มะเร็ง..ก็ดี การที่กลุ่มเซลล์มีการบริหารจัดการรวมกลุ่มแบ่งหน้าที่กันทำงาน (organization)..ก็ดี การที่สะเต็มเซลล์ที่ถูกซุ่มเก็บไว้ตามที่ต่างๆในร่างกาย ต่อมาได้แปลงร่างไปเป็นเซลล์อวัยวะต่างๆ (differentiation) เพื่อการซ่อมและสร้างอวัยวะที่ชำรุดขึ้นมาใหม่..ก็ดี ทั้งหมดนั้นเป็นความจริงทางเซลล์วิทยาซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นของปลอมตรงไหน
ส่วนที่สอง คือการที่ผู้บรรยายเลือกวิธีสร้างภาพของเซลล์ที่กำลังทำงานอยู่ในภาวะปกติในร่างกาย (in vivo) ขึ้นมาแสดงบนจอ ด้วยการเอาคลื่นความร้อนที่เซลล์ปล่อยออกมา มาสร้างเป็นภาพ หรือ Infrared (IR) imaging เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างเซลล์นั้น ปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าเทคนิค IR imaging โดยหากใช้ร่วมกับการแยกโมเลกุลด้วยวิธี infrared spectroscopy ก็สามารถให้ข้อมูลการสื่อสารระหว่างเซลล์ขณะที่เซลล์กำลังทำงานในหน้างานจริงๆได้ ให้ข้อมูลการเคลื่อนไหวและการสั่นสะเทือนของโมเลกุลในเซลล์ที่บอกถึงองค์ประกอบระดับโมเลกุลของเซลล์และเนื้อเยื่อได้ และสามารถสร้างภาพเซลล์และโมเลกุลขึ้นมาโดยไม่ต้องฉีดสารทึบสีอะไรเข้าไปย้อมหรือ label ก็ได้ ให้ภาพเซลล์ที่กำลังมีชีวิตและกำลังเกิด dynamic process ขณะทำงานได้ แต่เทคนิคนี้ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ามันมีข้อจำกัดตรงที่มีขีดความสามารถแยกภาพ (spatial resolution) ได้ต่ำ ทำให้ได้ภาพแค่มัวๆซัวๆจนบางครั้งจะบอกว่าอะไรเป็นอะไรต้องใช้การเดาช่วย จึงสู้วิธีมาตรฐานอื่นที่ใช้กันอยู่เช่น fluorescence microscopy ไม่ได้ คงยากที่จะใช้ข้อมูลจาก IR imaging อย่างเดียวมาอธิบายกลไกการสื่อสารระหว่างเซลล์อย่างเป็นตุเป็นตะได้ครบถ้วน จำเป็นต้องอาศัยเทคนิคมาตรฐานอื่นๆร่วมด้วย แต่ทั้งหมดที่ผู้บรรยายพูดไปเกี่ยวกับ IR imaging ในคลิปที่ส่งมานี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องจริงเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีข้อไหนที่จะเรียกได้ว่าเป็นการหลอกลวง
ส่วนที่สาม คือวิธีรักษามะเร็งของผู้บรรยาย ผมสรุปได้จากคำบรรยายว่าวิธีรักษาที่ท่านใช้มีสองวิธี คือ
(1) ใช้พืชสมุนไพรไทย โดยท่านแจ้งในการบรรยายด้วยว่าคุณพ่อของท่านเป็นหมอแผนไทย
(2) ใช้วิธีกระตุ้นแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนมาปฏิบัติพฤติกรรมที่ดี เช่น การกินอาหารที่ดี การนอนหลับให้พอ การเคลื่อนไหวและปรับบุคลิคร่างกายให้ตั้งตรง การออกแดด การได้สัมผัสธรรมชาติ การได้คลายเครียด การปฏิบัติธรรม (meditation) เครื่องมือกระตุ้นก็คือให้ผู้ป่วยติดตามดูภาพของเซลล์เม็ดเลือดที่ได้จากการเจาะเลือดผู้ป่วยเองที่ส่องดูด้วยวิธี IR imaging ทั้งนี้มีการใช้ gimmick ประกอบบ้างเช่นท่านผู้บรรยายตั้งชื่อเรียกภาพการจัดตัวของเซลล์เม็ดเลือดหรือภาพเซลล์ขนาดใหญ่บางเซลล์ว่าเป็น”เซลล์พระธาตุ” เพื่ออธิบายเมื่อส่องดูเลือดของพระสงฆ์หรือผู้มีพฤติกรรมปฏิบัติธรรมจริงจัง ตรงนี้ผมเห็นว่ามันก็เป็นเพียงการตั้งชื่อ เพราะภาพ IR imaging ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ามันเป็นภาพที่มี spatial resolution ต่ำ จึงเห็นเป็นแค่เงาตะคุ่มๆ ใครจะตั้งชื่อเรียกเงาตะคุ่มนั้นว่าอะไรก็คงแล้วแต่ความชอบของเขา แต่ผมสังเกตเอาจากการบรรยายท่านเน้นว่าเป็นการตั้งข้อสังเกตส่วนตัวว่าพฤติกรรมสุขภาพที่ดีสัมพันธ์กับการที่ภาพของเลือดใน IR imaging จะออกมาดี ไม่ได้อ้างว่ามีการวิจัยแสดงความสัมพันธ์เชิงสถิติระหว่างภาพดังกล่าวกับพฤติกรรมหรือยาสมุนไพรที่กินแต่อย่างใด
ความเห็นของหมอสันต์
ประเด็นที่ 1. มันผิดกฎหมายไหม ตรงนี้เป็นเรื่องของกองการประกอบโรคศิลป์ที่เขาจะไปว่ากันเองนะครับ ไม่ใช่หน้าที่ของผม แต่เท่าที่ผมมองเผินๆ ผมแยกเป็นสองประเด็น ประเด็นจ่ายสมุนไพรไทย หากท่านผู้บรรยายให้คุณพ่อของท่านซึ่งเป็นหมอแผนไทยจ่ายยาสมุนไพรให้คนไข้ หรือหากตัวผู้บรรยายเองมีใบประกอบวิชาชีพแพทย์แผนไทย การจ่ายยาสมุนไพรไทยของท่านก็ไม่ได้ผิดกฎหมาย
ส่วนประเด็นที่ท่านอาศัยภาพจากการส่องดูเลือดของผู้ป่วยด้วยวิธี IR imaging มากระตุ้นให้ผู้ป่วยเปลี่ยนพฤติกรรมเช่น กินอาหารให้ดี นอนหลับให้พอ การเคลื่อนไหวและปรับบุคลิคร่างกายให้ตั้งตรง ออกแดดบ่อยๆ สัมผัสธรรมชาติเยอะๆ คลายเครียด และปฏิบัติธรรม (meditation) ตรงนี้มันเป็นรูปแบบของการโค้ชสุขภาพซึ่งไม่ได้มีการจ่ายยาหรือใส่วัตถุออกฤทธิ์เข้าไปในร่างกาย เมืองไทยยังไม่มีกฎหมายขึ้นทะเบียนโค้ชสุขภาพ ดังนั้นในระหว่างนี้ใครๆก็ทำตัวเป็นโค้ชสุขภาพได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
ประเด็นที่ 2. มันมีผลดีเสียต่อผู้ป่วยอย่างไร
มองทางด้านผลเสีย ที่ผมมองเห็นจะจะมีอย่างเดียวคือผู้ป่วยเสียเงิน ซึ่งผู้ป่วยที่ไปหา เขารู้อยู่แล้ว และเขายอมเสีย
ส่วนผลเสียที่ผู้ป่วยจะถูกหลอกนั้นผมไม่เห็นเป็นประเด็น เพราะทุกวันนี้วงการแพทย์แผนปัจจุบันก็ใช้ gimmick ราคาแพงแสดงภาพแบบต่างๆเพื่อร่วมรักษาโรคมะเร็งอยู่แล้วโดยที่มันไม่มีผลต่อโรคตรงๆเลย ไม่ว่าจะเป็น CT, MRI, SPECT, PET scan การที่จะมีคนเอาภาพจาก IR imaging มาใช้บ้างจึงไม่ใช่เรื่องจะสร้างความเสียหายต่อคนไข้แต่อย่างใด ส่วนที่ว่าภาพแบบไหนได้ประโยชน์คุ้มความเสี่ยงแค่ไหนนั่นเป็นเรื่องดุลพินิจของผู้ป่วยที่เขาวินิจฉัยเองได้ อย่างเดี๋ยวนี้ผู้ป่วยมักจะปฏิเสธการตรวจด้วยภาพที่ต้องฉีดสีร่วมด้วยมิใยที่แพทย์จะคะยั้นคะยอ เพราะผู้ป่วยเขาวินิจฉัยได้เองว่ามันมีผลเสียกับเขามากกว่าประโยชน์ที่จะได้
มองทางด้านผลดีบ้าง เราต้องยอมรับก่อนว่าแพทย์เรายังไม่รู้วิธีรักษาโรคเรื้อรังให้หาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง สิ่งเดียวที่ดูจะให้อัตราการหายสูงสุดคือ placebo effect หรือความเชื่อและศรัทธาของตัวผู้ป่วยเอง แม้วงการแพทย์แผนปัจจุบันทุกวันนี้เราก็อาศัย placebo effect เป็นตัวรักษามะเร็งเสียมาก ทำไมเราจึงแนะนำให้ผู้ป่วยรับเคมีบำบัดสำหรับมะเร็งบางชนิดทั้งๆที่เรารู้อยู่แล้วว่าอัตราการหายต่ำกว่า 1% หากไม่ใช่เพราะเราหวังผลจาก placebo effect ซึ่งบางครั้งให้ผลได้ถึง 30%
ปัญหาของผู้ป่วยมะเร็งทุกวันนี้ก็คือการที่แพทย์แผนปัจจุบันได้ทำลาย placebo effect ที่เคยมีและเคยช่วยผู้ป่วยไปเสียมาก ตัวผมเองเคยเปิดแค้มป์ให้ความรู้ในการดูแลตนเองของผู้ป่วยมะเร็ง ทำอยู่หลายครั้งแล้วก็ต้องเลิกแค้มป์ไปเพราะผู้ป่วยมาหาผมเพื่อเสาะหาวิธีที่จะให้ผมช่วยทำให้หายจากมะเร็ง ซึ่งถ้าผมรับเล่นลูกตามก็เท่ากับว่าผมอาศัยความเป็นแพทย์หลอกผู้ป่วยซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พึงทำ แต่หากมองจากมุมของผู้ป่วย แล้วจะให้ผู้ป่วยหันไปหาใครละครับ เขาก็ต้องหันไปหาใครก็ตามที่อาจจะช่วยบรรเทาทุกข์สร้างความหวังให้เขาได้ ถ้าใครคนนั้นจะช่วยคลายทุกข์ให้ผู้ป่วยมะเร็งได้ขณะที่เราซึ่งเป็นแพทย์ทำให้ไม่ได้ เราก็ควรจะขอบคุณเขาเหล่านั้นนะครับ แม้ว่าบางครั้งเขาจะทำด้วยวิธีการสร้าง gimmick แบบข้างๆคูๆก็อย่าไปตั้งข้อรังเกียจเลย เพราะวิทยาศาสตร์ที่เราใช้หากินอยู่ทุกวันนี้ก็เต็มไปด้วยการใช้ gimmick ข้างๆคูๆ ยกตัวอย่างเช่นการขายการตรวจพิเศษต่างๆที่ไม่จำเป็นในการตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น
คือในภาพรวมผมมีความเห็นสวนกระแสนิดหน่อยว่าในสนามการรักษาโรคมะเร็งนี้ แพทย์เราไม่ควร “หวง” พื้นที่มากเกินไปเพราะเราเองก็ยังไม่มีปัญญา ถ้าจะมีคนอื่นเข้ามามีบทบาทช่วยบรรเทาทุกข์ให้ผู้ป่วยของเราได้บ้าง..Why not?
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์