จบแพทย์แล้วอยากเรียน Health Informatics
(ภาพวันนี้ / Grove House ที่รับแขกของเวลเนสวีแคร์)
เรียนอาจารย์สันต์ที่เคารพ
หนูเป็นนศพ.6 จบแพทย์แล้วหนูอยากจ่ายเงินใช้ทุนเพื่อไปเรียนทางด้าน Medical Informatics มากกว่าไปใช้ทุนเพื่อรอฝึกอบรมเป็นแพทย์ประจำบ้าน แต่ยังไม่เข้าใจนักว่าเขาเรียนอะไร จบมาแล้วจะทำอะไร จะมีคนจ้างให้ทำงานไหม ขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะ ถ้าจะไปเรียนที่อเมริกา อาจารย์แนะนำที่ไหนคะ
ขอบพระคุณค่ะ
……………………………………………………………..
ตอบครับ
1.. ถามว่า Health Informatics เขาเรียนเขาสอนเรื่องอะไรกัน ตอบว่าชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าคือการควบงานด้านการแพทย์การดูแลสุขภาพเข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเนื้อหาของมันมีสองด้าน
ด้านหนึ่ง ก็คือ เป้าหมายของการแพทย์ อันได้แก่ การควบคุมการระบาดของโรค การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ การวินิจฉัยโรค การรักษาโรค การจ่ายยา การผ่าตัดต่างๆ การฟื้นฟูสมรรถนะ
อีกด้านหนึ่ง คือ เครื่องมือและวิธีการทางคอมพิวเตอร์ที่จะวิเคราะห์ข้อมูล ในเชิงที่จะสร้างปัญญา (insight) เพื่อกรุยทางไปสู่นวัตกรรมทางการแพทย์ต่างๆ
หรือหากคุณจะมองทีละมุม มันก็มองได้สองสามมุม
มุมที่หนึ่ง มันเป็นการเล่นเกมส์ big data ผมหมายถึงการเข้าไปเล่นกับข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้วเพื่อเล่นแร่แปรธาตุออกมาเป็น รูปแบบ (pattern) หรือแนวโน้ม (trend) ต่างๆที่เอาไปสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆในชีวิตจริงได้ ซึ่งวงการแพทย์ไทยยังขาดคนเล่นเกมนี้เป็น เรามีแต่ข้อมูลใหญ่ ใหญ่มาก ใหญ่ที่สุด แต่ไม่มีปัญญาจะเข้าไปเล่นกับมัน เพราะเราเล่นเป็นแต่ข้อมูลเล็กๆ กะป๊อด กะแป๊ด กะบ่อน กะแบ่น ของใครของมัน
มุมที่สอง มันเป็นการสร้างหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์หรือ artificial intelligence (AI) ขึ้นมาช่วยการทำงานดูแลสุขภาพผู้คน ผมไม่รู้ว่าเจ้าหุ่นยนต์นี้ในอนาคตสมองมันจะดีกว่าแพทย์ตัวเป็นๆสักแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง 90% ของงานที่แพทย์ทำอยู่ทุกวันนี้จะถูกแทนที่โดยปัญญาประดิษฐ์
มุมที่สาม มันเป็นการสร้างฐานข้อมูลทางการแพทย์ขนาดใหญ่เก็บไว้บนก้อนเมฆ (cloud-based) หิ หิ สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปผมไม่ได้หมายความว่าเอาขึ้นไปไว้บนก้อนเมฆจริงๆนะครับ แต่หมายถึงการมีฐานข้อมูลที่ใหญ่มากและเข้าถึงทางอินเตอร์เน็ทได้ง่ายทันทีทุกที่ทุกเวลา อันจะทำให้ฐานข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลเชื่อมโยงกันได้ในระหว่างทุกหน่วยงานภายในประเทศแบบว่าจะย้ายจากโรงพยาบาลไหนไปโรงพยาบาลไหนไม่ต้องใช้หนังสือส่งตัวกันอีกต่อไปแล้ว แถมยังเชื่อมโยงต่อไปถึงเครื่องมืออุปกรณ์ประดับกายที่แต่ละคนสวมใส่เช่นนาฬิกานับก้าว เป็นต้น (แต่ว่าก็ว่าเถอะ ความฝันแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งมี มันมีมาตั้งแต่เริ่มเกิดคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นผมยังเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่ที่เมืองนอก เวลานั่งประชุมอ่านวารสารกันก็มีคนฝันเฟื่องเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว ห้าสิบปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ความฝันนี้ก็ยังคงเป็นความฝันอยู่..เหมียน..น เดิม)
อนึ่ง ผมจะขอแยกแยะให้เห็นความแตกต่างตรงนี้นิดหนึ่งนะ ว่ามันมีสองอย่างที่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
อย่างที่หนึ่ง คือการจัดการข้อมูลสุขภาพ ( health information management) ซึ่งเป็นการเก็บเวชระเบียนผู้ป่วยแล้วควักออกมาใช้ในการให้บริการผู้ป่วยเช่นการรับไว้รักษา การจ่ายยา เป็นต้น กับ
อย่างที่สอง คือ health informatics ซึ่งเป็นการควักเอาข้อมูลเยอะแยะแป๊ะตราไก่ที่เก็บไว้ออกมาสร้างปัญญาญาณทางการแพทย์ (health care insight) แปลไทยเป็นไทยว่าปัญญาที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นและคิดไม่ถึงมาก่อน ไม่ว่าจะเรียนจบด็อค หรือจบซูเปอร์ด็อค หรือเป็นแพทย์มาห้าสิบปีหกสิบปีก็ไม่เคยรู้ไม่เคยได้ยิน อุปมาแบบพระหรือหมอผีนั่งทางในแล้วอยู่ๆก็ปิ๊งรู้ขึ้นมา แต่นี่เราอาศัยคอมพิวเตอร์สร้างปัญญาญาณขึ้นมาจากข้อมูลขนาดใหญ่แทน ซึ่งเราก็หวังว่าปัญญาแบบนี้จะทำให้วงการแพทย์พ้นจากความสึ่งตึ่งทำอะไรงี่เง่าซ้ำๆซากๆทั้งที่หลักฐานก็ปรากฎอยู่ทนโท่ว่ามันไม่ได้ผลเสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนนโยบายทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของรัฐนั้น เราต้องการปัญญาญาณนี้อย่างยิ่ง ดังนั้นตัวหมอสันต์เองมองว่า health informatics เป็นสาขาจำเป็นเร่งด่วนของชาติ
2.. ถามว่าถ้าจะไปเรียนเรื่องนี้ในอเมริกาต้องไปเรียนที่ไหน ตอบว่าในอเมริกาสำหรับคนจบหมอแล้วเขาสอนกันแต่ในระดับเฟลโลว์ แปลว่าคุณต้องจบอเมริกันบอร์ดสาขาใดสาขาหนึ่งมาก่อน ที่เขาเปิดรับก็เช่นที่ U of Minnesota แต่ว่ามันเป็นเส้นทางยาวนานและยากเย็น ผมไม่แนะนำ
อีกวิธีหนึ่งคือไปนั่งเรียนระดับป.ตรีบ้าง ป.โทบ้าง ตามมหาลัยต่างๆซึ่งมีสอนกันเกร่อทั่วไป หรือแม้กระทั่งเรียนทางอินเตอร์เน็ท เนื้อหาของหลักสูตรแตกต่างหลากหลายสุดแล้วแต่ว่าอาจารย์ของที่นั้นๆเขาถนัดเรื่องอะไร เพราะ Health Informatics นี้เป็นเรื่องสหสาขาโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว มันจึงโย้ไปทางนั้นก็ได้ทางนี้ก็ได้ตามความถนัดของแต่ละสถาบันแต่ละผู้สอน
3.. ถามว่าถ้าไปเรียนทางด้านนี้เรียนจบแล้วจะมีใครจ้างให้กินเงินเดือนเท่าไหร่ หิ หิ ตอบว่าผมไม่รู้เพราะอาชีพนี้ในเมืองไทยยังไม่มี และยังเดาทางไม่ได้ว่างานพวกนี้ต่อไปมันจะทำกันมากทางรัฐหรือทางเอกชน
แต่ผมอยากจะให้คนที่คิดอ่านจะมาเรียน medical informatics รุ่นแรกๆอย่าไปมองว่าจะได้เงินเดือนเงินดาวจากความรู้นี้อย่างไร อาจจะไม่มีใครจ้างงานคุณจนคุณต้องไปรับจ้างอยู่เวรห้องอีอาร์.เพื่อหาเงินยาไส้อยู่นานหลายปีก็เป็นได้ แต่ผมอยากให้มองที่โอกาสที่คุณจะได้ทำอะไรที่ใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ และที่ท้าทาย ซึ่งในการแพทย์แบบดั้งเดิมนั้นโอกาสแบบนี้แทบหาไม่ได้เลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟังสำบัดสำนวนแล้วคุณน่าจะเป็นลูกคนรวย เลิกเสียทีได้ไหมที่คิดแต่จะเรียนอะไรจบมาแล้วจะเป็นลูกจ้างใครจะได้เดือนเท่าไหร่ ใช้ความเป็นลูกคนรวยถือโอกาสหาอะไรที่มันยากๆแต่สร้างสรรค์ทำดีกว่า เลิกห่วงที่จะคิดแต่ทำมาหากินยาไส้ซะที ชีวิตสำหรับคนฉลาดมันมีอะไรให้ทำมากกว่าแค่ทำมาหากินยาไส้ตั้งเยอะ…แยะ
4.. เหตุที่ผมหยิบจดหมายของคุณขึ้นมาตอบวันนี้ ทั้งๆที่คุณถามมาตั้งนานแล้ว เป็นเพราะโดยบังเอิญเมื่อวานนี้ผมไปบรรยายให้ที่ประชุม National Conference ครั้งที่ 1 ของสมาคมเวชศาสตร์วิถีชีวิต ได้พบกับแพทย์ท่านหนึ่งจากสมาคมเวชศาสตร์ป้องกัน ท่านเล่าให้ฟังว่าสมาคมของท่านกำลังจัดทำหลักสูตร Medical Informatics เป็นหลักสูตรฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้าน 3 ปี ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนรออนุม้ติจากแพทยสภา ผมเดาเอาจากน้ำเสียงของท่านว่าปีหน้านี้ (2567) ก็น่าจะเปิดฝึกอบรมได้แล้ว หรืออย่างมากก็ปีถัดไปเป็นอย่างช้า คุณไปใช้ทุนหาประสบการในรพช.ไปพลางก่อนแล้วมาเข้าโปรแกรมฝึกอบรมนี้ในเมืองไทยก็ไม่เลวนะ ผมมั่นใจว่าพอมีสถาบันรับฝึกอบรมให้ ก็จะมีโรงพยาบาลใหญ่ๆรับเป็นต้นสังกัดทำให้การหาต้นสังกัดง่าย เพราะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทุกโรงอยากได้แพทย์ไปนั่งดูระบบข้อมูล แน่นอนส่วนนั้นคือ HIS ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ health informatics แต่ผมเดาใจว่าผอ.รพ.ใหญ่ๆเขาไม่สนดอกว่ามันต่างกันอย่างไร เขาแค่อยากมีหมอมาคุมแผนกข้อมูลเท่านั้นเอง
เมื่อเข้ามาฝึกอบรมแล้วก็ไม่ต้องไปกังวลอีกว่าอาจารย์ที่ไหนจะมาสอน เขาจะมีความรู้ไหม เขาจะเอาอะไรมาสอน เพราะความเป็นจริงก็คือสำหรับสาขาวิชาใหม่ทุกสาขา ตัวคุณในฐานะแพทย์ประจำบ้านรุ่นแรกของสาขานี้นั่นแหละที่จะเป็นผู้สร้างองค์ความรู้นี้ขี้นมาผ่านการทดลองทำและการวิจัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรม เขาให้โอกาสเข้ามาเรียน มาทำวิจัย มีเงินเดือนให้กิน นั่นก็น่าจะพอแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของคุณที่ควรจะลงแรงทำอะไรให้ชาติบ้าง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์