เรื่องไร้สาระ (33) ไปดู "มารแบก" ที่ปลดเกษียณแล้ว
กดก
วันนี้เราเจียดเวลาได้ สามคนพ่อแม่ลูกตกลงไปเดินถ่ายรูปแถวเกาะรัตนโกสินทร์สักวัน แน่นอนต้องไปตั้งต้นที่สนามหลวง เห็นตึกแดงแต่ไกลๆมานานแต่ไม่เคยสนใจว่ามันคืออะไร วันนี้จึงตั้งใจถ่ายรูปมาให้ดู โดยเอารูปสวนดอกไม้หน้าวัดพระแก้วเป็นโฟร์กราวด์ มีรูปปั้นสตรีหลั่งน้ำอยู่ด้วย จากมุมนี้เห็นตึกแดงจ๊าบเชียว ถ่ายมาเผื่อคนที่ไม่เคยชายตามองตึกแดง หรือคนที่อาจไม่รู้ว่มีตึกแดงอยู่แถวๆสนามหลวงด้วย
จากนั้นเดินวนรอบสนามหลวงไปดูแม่ธรณีบีบมวยผม เพราะไม่เคยดูใกล้ๆ เดินไปถึงมีปาร์คเล็กๆอยู่กลางถนน แม่พระธรณีเป็นโลหะเข้าใจว่าเป็นสัมฤทธิ์ สร้างขึ้นก่อนผมเกิดอีก ด้วยเจตนาจะให้ทานน้ำแก่ผู้ไม่มีน้ำสะอาดดื่มและใช้ คือที่ปลายมวยผมของแม่ธรณีจะมีน้ำประปาไหลออกมาโจ๊กๆเลยเชียว เพื่อให้สมจริงตามคำลือผมจึงจงใจถ่ายภาพให้เห็นน้ำไหลโจ๊กๆออกจากปลายมวยผมอันยาวเหยียดของเธอจะจะ
เมื่อเข้าไปเพ่งพินิจใกล้ๆ เธอเป็นผู้หญิงสวยทีเดียว ใบหน้าสงบเย็นมีเมตตาอยู่ในที ท่วงท่าที่เคลื่อนไหวบีบมวยผมก็อ่อนช้อย หากไม่ติดว่ามวยผมของเธอยาวไปหน่อยก็จะเป็นรูปปั้นที่ไม่มีที่ติ มีคนเอาเสื้อผ้าหลากสีมาให้เธอใส่ เอากำไลมาสวมตามมวยผมของเธอ และเอาสายสร้อยมาใส่มือเธอให้ถือไว้เต็มไปหมด ซึ่งเป็นธรรมดาของรูปปั้นในเมืองไทย สงสัยเพราะคนไทยมีนิสัยกลัวรูปปั้นหนาว
แล้วเราเข้าไปเดินในม.ศิลปากร เขามีสวนซึ่งตั้งแสดงงานปฏิมากรรมน่าสนใจอยู่ ผมถ่ายรูปมาให้ดูสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงกระโดดเชือก อีกชิ้นหนึ่งเป็นหญิงนุ่งผ้าถุงนั่งชันเข่าปล่อยหน้าอกต่องแต่งแบบเซ็งชีวิต ที่ผมถ่ายรูปหลังนี้เพราะผมชอบแบ้คกราวด์ที่เป็นตึกเหลืองวงกบประตูสีชมพูอ่อน ไม่มีวาระซ่อนเร้น
บริเวณท่าช้าง ข้าง ม. ศิลปากร ตึกแถวถูกรีโนเวทให้ใหม่เอี่ยมอ่องแต่ยังคงสถาปัตยกรรมเดิมไว้ครบถ้วน ทาสีเหลือง หน้าต่างวงกบสีขาว บานสีครามอมน้ำเงิน จ๊าบซะ ผมถ่ายรูปมาให้ดูเป็นหลักฐาน
ตรงถนนหน้าพระลานที่หน้าศิลปากรเดี๋ยวนี้เขาขุดอุโมงให้นักท่องเที่ยวลงไปหลบร้อนและเข้าห้องน้ำที่ข้างล่าง มีบันไดเลื่อนขึ้นลงสะดวก ลงไปแล้วไม่อยากขึ้นเพราะเย็นดี
ค่ำแล้วเรากินข้าวและหาที่พักค้างคืนแถวนี้ กะว่าจะตื่นแต่เช้าไปเที่ยววัดพระแก้วโดยจะไปให้ถึงก่อนที่นักท่องเที่ยวจะมา แต่ว่าเอาเข้าจริงๆสามพ่อแม่ลูกมัวแต่ละเลียดโจ๊กที่หน้าวัดโพธิ์อยู่นาน เที่ยววัดโพธิ์อีกพักหนึ่ง กว่าจะไปถึงวัดพระแก้วก็พบว่านักท่องเที่ยวเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นคนไปรออยู่ที่นั่นแล้วเรียบร้อย
เมื่อเดินเข้าไปถึงวัดพระแก้วชั้นในจึงได้พบว่า “มารแบก” หรือ “The demon who supports” ที่เขาใช้ให้ยกเจดีย์ทองไว้นั้นเปลี่ยนรุ่นไปแล้วยกรุ่น เป็นพวกมารรุ่นใหม่แต่งตัวกันจ๊าบมากสีสันสดใสสะดุดตา เสื้อลายตาโมเสคและชิ้นกระเบื้องดินเผาแปะ มีทั้งม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง พวกนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งทั้งเอเซียมาตั้งแถวหน้ากระดานแล้วทำท่ายกเจดีย์เหมือนพวกมารแบกเพื่อถ่ายรูปกันเป็นที่สนุกสนาน
ผมคิดถึงมารแบกรุ่นออริจินอลจึงแอบตามไปดูพวกที่เขาปลดระวางออกมา พบว่าต่างก็ชำรุดทรุดโทรม แข้งขาหัก มือกุดตีนกุด สมควรเปลี่ยนรุ่นจริงๆ รุ่นเก่าให้เกษียณไปเสียก็ดีแล้ว แต่เพื่อเป็นเกียรติผู้เกษียณ ผมถ่ายรูปมาให้ดูท่านหนึ่งด้วย
ในวัดพระแก้วมีรูปหินอ่อนแกะสลักเป็นชาวฝรั่งมังค่าขนาดเท่าคนจริงๆทั้งชายทั้งหญิงตั้งอยู่ตามที่ทั่วไปแยะมากซึ่งสมัยก่อนมาไม่มี ผมไม่ได้นับแต่กะคร่าวๆน่าจะมีมากกว่ายี่สิบขึ้นไป ฟังว่าเขาขุดขึ้นมาได้จากใต้ดินขณะทำอุโมงใต้ถนนหน้าพระลาน ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูเพราะแต่ละคนมีสีหน้าซึมเศร้า กลัวแฟนบล็อกจะเผลอเลียนสีหน้าพวกเขาเข้า ดูแต่รูปมารไปก่อนละกัน เผลอเลียนสีหน้าก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ต้องเลียนก็เป็นอยู่แล้ว (อุ๊บ.. ขอโทษ ล้อเล่น หิ..หิ)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ปล. แถมภาพหอนาฬิกาหลังวัดโพธิ์ (แถวสวนเจัาเชตุ) ภาพบ้านสีชมพู (วังสราญรมย์) ภาพฝึมือการตกแต่งเสาและหน้าจั่วด้วยเศษกระเบื้องแปะปูน และภาพบ้านน้ำเงินขาวในมหาราชวังให้ดูด้วยรวมเป็นอีกสี่ภาพ