Dr. Jekyll and Sister Hyde ตัวอย่างของการเปลี่ยนตัวตน (Change of Identity)
(ภาพวันนี้: กล้วยแดง)
จั่วหัวไว้เป็นชื่อหนังสยองขวัญสมัยผมยังหนุ่มๆอายุไม่ถึง 20 ปี เป็นเรื่องราวของหมอหนุ่มผู้มุ่งมั่นจะวิจัยหาวิธีเยียวยาคนเจ็บไข้ แต่งานวิจัยกับตัวเองของเขาทำให้เขากลายเป็นคนสองตัวตน กลางวันเป็นหมอแจคกิลนายแพทย์นักวิจัย กลางคืนกลายเป็นหญิงชื่อนางสาวไฮด์คนสวยใจโหดเที่ยวฆ่าคน เปล่า ผมไม่ได้จะเปลี่ยนบล็อกของผมเป็นคอลัมน์วิจารณ์หนังดอกนะ แต่จะพูดถึง “การเปลี่ยนตัวตน (change of identity)” อย่างที่ดร.แจกกิลเปลี่ยนตัวเองเป็นซิสเตอร์ไฮด์นั่นแหละ ว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ที่ครอบคุณอยู่นี้ไปได้
ประเด็นคือเมื่อไม่เป็นบุคคลคนนี้แล้ว จะไปเป็นใคร เพราะคุณคงไม่อยากจะเปลี่ยนจากคนดีๆอย่างดร.แจ้กกิลไปเป็นคนร้ายๆอย่างซิสเตอร์ไฮด์ คำตอบก็คือคุณต้องเปลี่ยนจากการเป็นบุคคลนี้ ไปเป็น “สิ่งที่เหลืออยู่” เมื่อไม่่มีบุคคลคนนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างว่ากลับไปเป็น “สิ่งที่มีอยู่แล้ว” ก่อนที่จะมีบุคคลคนนี้ ก็ได้
หมอสันต์เริ่มพูดกวนโอ๊ยฟังไม่รู้เรื่องแล้วใช่ไหม ใจเย็นๆ ครับคุณพี่ ใจเย็นๆ
ถามว่า เมื่อพ้นไปจากความเป็นบุคคลคนนี้ รวมถึงความคิด และร่างกายนี้ด้วย แล้วจะมีอะไรเหลืออยู่เรอะ ตอบว่า
“มีสิ ก็ความรู้ตัวไง ตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ ว่างๆเงียบๆไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีความเกี่ยวดองหรือผลประโยชน์ของคนชื่อหมอสันต์คนนี้เหลืออยู่สักจิ๊ด..ดเดียว”
อุปมาเหมือนวันหนึ่งเราเดินออกจากบ้านของตัวเองไป แล้วได้ไปแวะพักที่แห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นหมือนกับว่ามันเป็นบ้านของทุกๆชีวิตที่ทุกชีวิตมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่ที่นั่น ไม่มีความคิดเลยว่านี่คือบ้านใหม่ของเรา..ไม่เลย ที่ตรงนั้นไม่มีเราไม่มีเขาเสียแล้ว ทุกชีวิตกลายเป็นหนึ่งเดียวกันหมด จะเป็นชีวิตสุดชาติชั่วมาแต่ก่อนหรือชีวิตสุดดีเลิศประเสริฐศรีมาถึงตรงนี้ก็มาหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันหมดจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครเสียแล้ว มาถึงที่ตรงนี้ก็จะถึงบางอ้อว่าที่เขาเรียกว่าเมตตาธรรมอย่างไม่มีขีดจำกัดนั้นเป็นอย่างนี้นี่เอง จะเข้าใจว่าเราไม่อาจสร้างความรักหรือเมตตาขึ้นมาด้วยการคิดหรือท่องเอาว่าสัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด เมตตาธรรมมันคือหนึ่งเดียวกับความรู้ตัวซึ่งเป็นธรรมชาติลึกๆที่ข้างใน เมื่อสิ่งที่บดบังถูกปัดออกไปเมตตาธรรมก็จะโผล่ขึ้นมาเอง
และด้วยคอนเซ็พท์แยกเราแยกเขาไม่ออกแล้วนี่แหละ ทำให้เรายอมรับทุกอย่างที่ตรงหน้าได้หมด ไม่ต้องวิ่งหาอะไรที่เราชอบ ไม่ต้องวิ่งหนีอะไรที่เราไม่ชอบอีก เพราะเราไม่มีเสียแล้ว ชีวิตก็จะสงบเย็น อยากจะทำงานสร้างสรรค์อะไรก็ทำได้ ไม่ต้องพะวงว่าตัวเราจะได้จะเสีย เพราะตัวเราไม่มีแล้ว
นี่คือคุณประโยชน์ของการเปลี่ยนตัวตน หรือ Identity changing ซึ่งผมกำลังจะบอกคุณว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้หลุดพ้นออกไปจากกรงความคิดของ “เรา” คนนี้ได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์