เมื่อโกรธ สิ่งที่พึงรีบดูคือใจของเรา ไม่ใช่พฤติกรรมของเขา

สวัสดีครับอาจารย์สันต์

ติดตามอาจารย์ในเรื่องจิตวิญญาณมานาน มาเข้าคอร์สของอาจารย์ตั้งแต่สมัยยังเป็น MBT ฝึกรู้ตัวตามแนวทางที่อาจารย์สอนมาหลายปี จนรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะหลุดจากทุกข์ได้แล้ว แต่เหตุการณ์เมื่อวานนี้ คือมีเหตุให้หงุดหงิดกับคนที่แย่มากๆคนหนึ่ง จึงได้รู้ว่าตัวเองยังไม่ไปไหน เหมือนยังวนอยู่ที่เดิม ผมสงสัยเหลือเกิน ตรงไหนนะที่ทำให้ผมยังวนอยู่ที่เดิม

………………………………………………………

ตอบครับ

จดหมายของคุณทำให้ผมนึกถึงพระภิกษุอเมริกันองค์หนึ่งซึ่งตัวท่านเองเล่าว่ามาบวชและธุดงค์ปฏิบัติธรรมในป่าเมืองไทยนานหลายปี จิตใจนิ่ง นั่งสมาธิได้ลึกเสียจนผึ้งมาเอาหนวดจะทำรังก็ยังนิ่ง ผึ้งไชเข้าไปในรูจมูกก็ยังนิ่ง คือนิ่งได้ระดับนั้น จึงคิดว่าตัวเองบรรลุความหลุดพ้นแล้ว จนวันหนึ่งเข้าเมืองมาต่อวีซ่าที่สถานฑูต … เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลผิด ต่อแถวหนึ่งไปชั่วโมงกว่าไปถึงเคาน์เตอร์ปรากฎว่าเข้าแถวผิด ถูกไล่ให้ไปเข้าอีกแถวหนึ่งเป็นชั่วโมงจนบ่ายคล้อย ไปถึงเคาน์เตอร์ ปรากฎว่าเข้าแถวผิดอีก ถูกไล่อีก คราวนี้สมณะท่านก็เลยน็อตหลุด แผดคำด่าเป็นภาษาอเมริกันดั้งเดิมลั่นสถานฑูต หิ หิ

กลับมาเรื่องของเราดีกว่า คุณถามว่าตรงไหนนะที่ทำให้คุณยังวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ผมพิเคราะห์เอาจากเนื้อความในจดหมายแล้วตอบว่าก็ตรงที่เมื่อคุณครู (ความโกรธ) มาสอนแล้ว แต่แทนที่คุณจะสนใจเนื้อหาวิชาเลขที่คุณครูสอน คุณดันไพล่ไปสนใจขาอ่อนของคุณครูเสียนี่ แล้วเมื่อไหร่คุณจะบวกลบเลขเป็นละ ผมหมายความว่าเมื่อความโกรธมา สิ่งที่คุณต้องรีบดูก็คือใจของคุณนั่นไง ไม่ใช่ไปมัววิเคราะห์พฤติการณ์ของใครคนหนึ่งซึ่งเผอิญเป็นคนซังกะบ๊วยว่านี่เป็นพฤติการณ์ที่ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว ทำไมเขาเป็นคนอย่างนี้ ฯลฯ การไปวิเคราะห์คนอื่นแปลว่าการพิพากษาโดยเอาตัวตนของเราเป็นตัวตั้งให้เปรียบเทียบ ยิ่งวิเคราะห์คนอื่นมาก ก็ยิ่งบ้าตัวตนของตัวเองมาก ความโกรธก็ดี ความกลัวก็ดี ล้วนเป็นความคิดที่ถูกตัวตนความเป็นบุคคลของเรานี่แหละชงขึ้นมา เราจึงไม่ไปไหนทั้งๆที่อยากจะหลุดพ้น เหมือนนักเรียนมีความตั้งใจจะเรียนเลข แต่ดันไปดูแต่ขาอ่อนคุณครู ตรงนั้นแหละ ที่ทำให้คุณวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนสักที

ความโกรธเป็นความคิด เป็นสิ่งที่ใจของคุณชงขึ้น เป็นเรื่องภายในของคุณ คุณไม่ต้องไปสนใจอะไรอื่นที่ข้างนอก คุณต้องสนใจตรงนี้ สนใจใจของคุณ สนใจแบบสังเกตดูเฉยๆ bare attention สนใจแบบรู้ว่าเอ็งมา แต่ข้าไม่ให้ราคา หลักการปฏิบัติตนสู่ความหลุดพ้นมีง่ายๆว่าอะไรก็ตามที่โผล่เป็นความคิดขึ้นมา คุณรับรู้แบบไม่ให้ราคามัน ความรู้สึกอะไรที่เกิดขึ้นมาในใจคุณ อย่าไปให้ราคามัน เพราะถ้าคุณยังให้ราคาความคิดของคุณและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของคุณ คุณก็ยังจมอยู่กับ “ความเป็นบุคคล” คนนี้ของคุณอยู่ ความเป็นบุคคลคือแม่ของความคิดและความรู้สึกทั้งหลาย ตราบใดที่คุณยังถือว่าคุณเป็นบุคคลคนนี้อยู่ ตราบนั้นคุณไม่ได้ไปไหนหรอก คุณต้องพ้นไปจากความเป็นบุคคลคนนี้ก่อน ต้องมีการย้ายตัว หรือ shift of identity คุณจึงจะหลุดพ้นไปจากความคิดได้ ย้ายไปเป็นอะไรละ ก็ไปเป็นความรู้ตัวไง แค่ดำรงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ ตื่น รู้ตามที่มันเป็น ไม่มีบุคคลคนนี้มาเกี่ยวข้อง นั่นแหละตัวชีวิตที่แท้จริง

กล่าวโดยสรุป เมื่อความโกรธมา หมายความว่าคุณครูมาแล้ว คราวนี้นักเรียนจะดูขาอ่อนคุณครู หรือจะฟังวิชาเลขที่คุณครูสอน นั่นอยู่ที่นักเรียนแล้วนะคะ

“เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งจบ แล้วคนเลวให้เห็นอยู่โทนโท่จะเพิกเฉยไปเลยจะดีหรือ”

หิ หิ คุณพูดคำว่าเพิกเฉยขึ้นมาก็ดีแล้ว มันเป็นคำดีนะ ถามว่าเพิกเฉยต่อคนงี่เง่าจะดีหรือ ตอบว่าดีสิ ผมยกตัวอย่างนะ สมมุติว่าในบ้านคุณมีคนปัญญาอ่อนอยู่คนหนึ่ง สมมุติว่าเป็นน้องสาวแท้ๆของคุณก็แล้วกัน เธองี่เง่าซะไม่มี แบบว่า idiot พูดอะไรทะลุกลางปล้องขึ้นมาแต่ละทีแทบทำเอาวงแตก แต่ว่าเธอเป็นน้องของคุณเอง คุณต้องอยู่กับเธอในบ้านเดียวกันทุกวัน คุณจะทำไงกับเธอดีละ คุณก็ต้องเพิกเฉยต่อคำพูดและการกระทำของเธอถูกไหม ยกเว้นถ้าเธอล้ำเส้นไปทำร้ายร่างกายคนอื่นเข้านั่นแหละคุณจึงจะลงไม้ลงมือกับเธอบ้าง ฉันใดก็ฉันเพล คำพูดหรือการกระทำของใครก็ตามหากไม่ถึงขั้นมาบีบคอคุณให้หายใจไม่ออกหรือมาลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกายคุณ คุณเพิกเฉยได้ทั้งนั้นแหละ ง่าย หมูสะเต๊ะมาก แต่ตรงนี้ไม่ใช่ไฮไลท์นะ เพราะคุณถามมาในระดับโลกียะ แต่ไฮไลท์มันอยู่ในระดับโลกุตระ ไฮไลท์มันอยู่ที่ว่า คุณจะเพิกเฉยต่อความโกรธซึ่งเป็นความคิดในใจคุณได้หรือไม่ นี่ ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้ คำตอบก็คือได้ ถ้าคุณขยันฝึกทำในสถานะการณ์จริง ดังนั้นใครก็ตามที่ทำให้คุณโกรธ ให้คุณหาโอกาสขอบคุณเขาเสียบ้าง เพราะเขาเป็นผู้สร้างสถานะการณ์จริงให้คุณได้ฝึกเพิกเฉยต่อความคิดของคุณเอง เหมือนพระภิกษุอเมริกันที่ผมเล่า ตอนท้ายท่านบอกเล่าว่าท่านขอบคุณเจ้าหน้าที่สถานฑูตที่ทำให้ท่านได้รู้ว่าท่านยังไม่ได้บรรลุธรรมบรรลุแทมอะไรหรอก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี