(เรื่องไร้สาระ-13) ที่เวอร์คสุดคือตะไบ 50 บาท

สวัสดีปีใหม่ 2564 ครับ เพิ่งโผล่ออกมาจากวันหยุดยาว เครื่องเย็นไปเสียแล้ว สมองไม่แล่น วันนี้จึงขอเริ่มด้วยเรื่องไร้สาระแทนการตอบจดหมายเรื่องการเจ็บป่วยละกัน อีกอย่างหนึ่งหน้าตาบล็อกดูแปลกไปเพราะผมย้ายที่วางบล็อก ตรงไหนขัดตาก็ไม่เป็นไร ไว้ค่อยๆปรับแก้กันไป

หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาขณะที่โลกภายนอกกำลังยุ่งกับโควิด19รอบสอง หมอสันต์กบดานนิ่งอยู่ที่บ้านมวกเหล็ก ที่ว่านิ่งความจริงก็ไม่นิ่งเสียทีเดียว มันเป็นการพาตัวเองเข้าสู่ปรากฏการณน้ำตก (cascade phenomenon) คือจากเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่ง นำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง แล้วนำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง เริ่มต้นด้วยความคิดที่จะชวนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมากินข้าวช่วงวันหยุด ตามมาด้วยความคิดที่จะซ่อมโต๊ะยาวนั่งกินข้าวซึ่งพิการขาหักและถูกส่งลงไปซุกอยู่ในดงไม้ที่ตีนเขาเสียนานเกือบสองปีแล้ว เมื่อลงไปดูก็พบว่าโต๊ะผุเกือบจะขาดเป็นสองท่อน ต้องตัดท่อนกลางทิ้ง และขาทั้งสามที่เหลืออยู่ก็ผุไปหมดแล้ว ขณะที่ในพงไม้เดียวกันนี้มีชิงช้าแบบบ้านนอกทำจากเกวียนและคันไถถูกนำมาทิ้งไว้ด้วยเหตุชราภาพเช่นกัน จึงนำไปสู่ความคิดสร้างโต๊ะขึ้นมาใหม่โดยเอาชิ้นส่วนชิงช้ามาเป็นขา

พอเริ่มเลื่อยไม้ก็พบว่าเลื่อยลันดาที่ผมมีอยู่นั้นสนิมขึ้นเขรอะ ไม่มีความคมเลย เลื่อยไปแกรก แกรก แกรก จนเมื่อยแขนแต่คืบหน้าไปน้อยมาก ไปหายืมตะไบจากเพื่อนที่เป็นช่างไม้ผู้ชำนาญการในสายอุปกรณ์ เขาก็ไม่มีตะไบ แต่ก็ให้ยืมเลื่อยวงเดือนซึ่งเป็นเลื่อยไฟฟ้ามาแทน แถมตัวเจ้าของเลื่อยและท่านผู้ชมอีกหนึ่งท่านแวะมาเยี่ยมจึงได้ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้โต๊ะยาวกลางสนามที่นั่งกินข้าวได้ทีละเป็นสิบคนเสร็จในเวลาครึ่งวัน นี่นับรวมทั้งเวลาล้างขี้โคลนและขัดแปรงทองเหลืองแล้วนะ

การได้เลื่อยวงเดือนมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ จะตัดอะไรก็ตัดได้ดั่งใจ คราวนี้สายตาจึงสอดส่ายหาเศษไม้เก่าๆที่ซุกไว้ตามที่ต่างในบริเวณบ้าน เอามาสร้างสรรค์เป็นผลงานในวันหยุดปีใหม่นับรวมทั้งโต๊ะยาวแล้วสรุปยอดว่าได้โต๊ะแบบต่างๆมา 5 ตัว เก้าอี้สำหรับใช้เท้าเหยียบเลื่อยไม้อีก 2 ตัว แต่ละตัวก็มีความเท่ไปคนละแบบตามวัตถุดิบที่ถูกเลือกมาทำ บางตัวความเท่เกิดขึ้นจากความผิดพลาด เช่นม้านั่งตัวหนึ่งมีสีขาแต่ไม่ได้วางสี่มุม เป็นการวางแบบขาม้าเวลาย่างเหยาะ เหตุเป็นเพราะลุงดอนเจาะช่องเสียบขาผิดที่ ผมก็ถือว่าดีเหมือนกัน เลยตามเลย กลายเป็น creativity ใหม่

ขณะทำงานได้แวะเข้าไปคุ้ยหาของในห้องเก็บของก็พบว่าขื่อและแปหลังคาถูกปลวกกินผุห้อยร่องแร่งจวนเจียนจะหล่นลงมาทับหัว จึงชวนลุงดอนซ่อมโดยการเอาไม้หน้าสามเก่าๆที่รวบรวมมาได้ขึ้นไปเสียบแทนแปไม้เก่า พอเสร็จกำลังจะภาคภูมิใจกับผลงานก็ปรากฎว่าลมหนาวพัดมา พาเอาสังกะสีที่มุงหลังคาอยู่ปลิวพะเยิบขึ้นจวนเจียนจะหลุดบินว่อน ต้องเพิ่มขั้นตอนการปีนขึนหลังคาไปยิงตะปูเกลียวยึดสังกะสีไว้กับแปไม้ โดยลุงดอนอาสาเป็นผู้ยิง แต่ว่าลุงแกมีตาที่ใช้การได้ข้างเดียว เพราะอีกข้างหนึ่งเป็นต้อกระจกไปผ่าไปแล้วแต่ก็ยังเห็นไม่ชัด จึงเล็งแนวตะปูไม่ได้ จึงใช้เทคนิคเคาะลงไปบนสังกะสีแล้วเดาเอาว่าแปไม้หน้าสามอยู่ตรงไหนแล้วยิงตะปูลงมา แต่บางครั้งยิงครั้งที่หนึ่งพลาด ครั้งที่สองพลาดอีก ครั้งที่สามก็พลาดอีก ต้องครั้งที่สี่จึงจะเจอแป มองจากข้างล่างจึงเห็นท้องฟ้าผ่านรูขาวๆสามรู หิ หิ แล้วมันจะกันฝนได้ไหมเนี่ย อย่างไรก็ตาม ในที่สุดงานซ่อมขื่อและแปห้องเก็บของก็สำเร็จลงได้อย่างเรียบร้อยแต่มีรูแถม

แล้วก็เกิดความคิดอีกว่าไหนๆก็ซ่อมหลังคาแล้ว ถือโอกาสสังคายนาของที่เก็บไว้เสียเลย แต่..โอ้โฮ หารู้ไม่ว่าอันสมบัติบ้าต่างๆที่คนเราเก็บๆๆๆไว้ในห้องเก็บของท้ายสวนอย่างนี้ หากทะลึ่งไปรื้อมันเข้าแล้วมันเป็นงานใหญ่ยิ่งกว่างานช้างจังหวัดสุรินทร์เสียอีก ของที่เก็บใส่ลังกระดาษตั้งเรียงกันไว้เป็นแถวๆนั้นอย่าไปคิดว่ามันจะเรียบร้อยตลอดชีวิตอย่างที่เห็น เพราะในชีวิตจริงมันคือคอนโดสำหรับพวกหนูๆทั้งหลาย มันเจาะรูเข้าออกด้านหลังกล่องแล้วเข้าไปสร้างบ้านอยู่ในกล่อง แล้วกินของในกล่องเป็นอาหาร อะไรกินได้กินหมด เช่นกล่องเก็บระบบกลไกชักโครกทองเหลือง(ซึ่งผมซื้อสำรองไว้กลัวหมดรุ่นแล้วจะหาซื้ออะไหล่ไม่ได้) ปรากฎว่าหนูกินส่วนที่เป็นยางเป็นท่อเสียเรียบ เหลือแต่ทองเหลืองล้วนๆซึ่งใช้การอะไรไม่ได้ อีกกล่องหนึ่งเป็นเซ็ททำระบบพ่นหมอกซึ่งผมซื้อไว้ตั้งใจจะทำสวนมอสเมื่อราวสิบปีก่อน เปิดออกมาพบว่าหนูกินส่วนที่เป็นสายพ่นเสียเรียบ เหลือแต่ข้อต่อโลหะ มีคอนโดอีกหลังหนึ่งเป็นกล่องเซ็ททำระบบปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกขนาดใหญ่น้องๆตู้เย็น ผมซื้อไว้ด้วยความโลภเมื่อไปเที่ยวงานบ้านและสวนหลายปีมาแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสเปิดกล่องใช้เลย พอเปิดออกมาพบว่ามันเป็นนิคมอุตสาหกรรมหรือสหกรณ์การเกษตรแบบคิบบุตซ์ไปเสียแล้ว คือมีหนูต่างเพศต่างวัยอาศัยอยู่ด้วยกันยั้วเยี้ย ฮ่าย..ย คิดถึงแล้วขนลุก ผมกับลุงดอนช่วยกัน รื้อ ล้าง ขนทิ้ง ปั่นกันอยู่ข้ามวันกว่าจะจัดระเบียบห้องเก็บของเสร็จ คิดปลอบตัวเองในใจว่านี่น่าจะเป็นการรื้อห้องเก็บของครั้งสุดท้ายของชีวิตนี้แล้ว

เย็นวันหนึ่งในช่วงวันหยุดยาวเพื่อนๆมากินข้าวด้วย พวกผู้ชายสายอุปกรณ์เขาคุยกันถึงความสุขจากการได้ซื้อของลาซาดา คุยกันไปคุยกันมาผมหวนนึกถึงความลำบากของชีวิตในการใช้เลื่อยขี้ลื่ม ก็เลยสั่งซื้อของลาซาดาตามไปกับเขาด้วยชิ้นหนึ่ง เป็นเลื่อยฉลุ (gigli saw) แบบไร้สาย คือไม่ต้องขยับแขนชักเข้าชักออก มันทำงานด้วยไฟฟ้าที่เราชารต์เข้าไปในถ่านของมัน แล้วผมก็เปรยถึงความตั้งใจอยากลับเลื่อยลันดาที่ขึ้นสนิมให้คม เพื่อนคนที่เป็นนายช่างบอกว่า

“อย่าไปเสียเวลาเลยหมอ ถ้าจะลับเลื่อยต้องไปซื้อตะไบ และต้องซื้อคีมคัดคลองเลื่อยด้วย เพราะลับแล้วหากไม่ดัดคมของมันให้เกิดคลองเลื่อยมันก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี ซื้อเลื่อยใหม่อันละร้อยกว่าบาทง่ายกว่าแยะ”

ผมฟังแล้วเงียบ เพราะในใจไม่เห็นด้วย อะไรกัน เลื่อยซื้อมายังใช้ได้ไม่กี่ครัั้งเลย ต้องซื้อใหม่อีกแล้วหรือ แล้วของเก่าจะเอาไปทิ้งที่ไหน ขยะมันล้นโลกก็เพราะเหตุนี้นี่เอง ผมจึงตั้งใจว่ายังไงก็จะทำให้เลื่อยเก่าใช้การได้ให้ได้ วันต่อมาได้จังหวะเข้ากรุงเทพฯเห็นทั้งเมืองถนนว่างโล่งดีจึงขับรถไปเที่ยวดูของสวยๆงามๆในตลาดไม้เก่าแถวโรงพยาบาลภูมิพลซึ่งเราสองตายายเคยไปซื้อของที่นั่นเมื่อราวสิบปีก่อน พอไปถึงก็พบว่าตลาดแห่งนั้นเจ๊งไปเสียแล้ว เหลือแต่กระต๊อบกุดังเก็บเศษไม้ร้างไม่กี่หลัง มีอยู่หลังหนึ่งยังมีคนงานต่างชาติสองคนนั่งล้างไม้เก่าอยู่ ผมจอดรถลงไปดู เห็นซากม้าไม้หล่นเกลื่อนอยู่บนพื้นแข้งหาหักหายหมดเหลือแต่หัวกับตัว จึงขอซื้อ เขาขายให้ในราคาสองร้อยบาท กะว่าจะเอามาฝึกทำงานซ่อมยามว่างเป็นโปรเจ็คถัดไป คนงานเห็นตาแก่น่าสงสารคนนี้ถูกหลอกให้ซื้อขยะชิ้นละสองร้อย จึงแถมหัวม้าไม้เก่าๆให้อีกหัวหนึ่ง สรุปว่าสองร้อยบาทได้ม้ามาหนึ่งตัวกับอีกหนึ่งหัว ขากลับก่อนเข้าบ้านก็แวะซื้อตะไบสามเหลี่ยมอันละ 50 บาท และคีมคัดคลองเลื่อยอีกอันหนึ่งติดมือเข้าบ้านด้วย

พอตกบ่ายวันนั้นเลื่อยจิ๊กลิซอว์ของลาซาดาก็มาถึง แหม ช่างรวดเร็วทันใจดีจัง ในคำโฆษณาขายที่อ่านในคอมพิวเตอร์บรรยายว่าเป็นเลื่อยเยอรมัน แต่แกะกล่องออกมาพบว่ามีแต่ภาษาจีน แม้แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่มีให้อ่านสักคำ หิ หิ เยอรมันนี่ถูกจีนยึดไปซะแล้วหรือนี่ ผมกำลังเห่อของใหม่จึงเอาเลื่อยออกมาทดลองตัดเศษเสาสี่นิ้วซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งท่อนหนึ่งดู ปรากฎว่าเลื่อยเดินหน้าได้ช้ามากน่าผิดหวัง นึกในใจว่า

“อะไรกัน เสียเงินไปตั้งพันสามร้อยบาท ตัดได้แค่เนี้ยะ”

ผมทดลองเอาเลื่อยลันดาของบ้านที่กรุงเทพซึ่งเป็นเลื่อยใหม่และคมออกมาตัดเปรียบเทียบ ปรากฎว่าเลื่อยลันดาซึ่งเป็นเลื่อยตัดด้วยกำลังแขนแท้ๆยังทำงานได้เร็วกว่าเสียอีก โถ..ตาแก่เอ๋ย

“ไปโดนเขาหลอกอีกแล้ว น้องแก้วไม่เข็ด”

เสียรู้เขาอีกแล้ว เออน่า ช่างมันเถอะ คิดเสียว่าทำบุญถวายอาแปะไปก็แล้วกัน ว่าแต่ผมมีตะไบแล้วนี่ ลองถอดเอาใบเลื่อยจิ๊กลิซอว์ที่ใหม่ถอดด้ามนี้ออกมาตะไบลองวิชาหน่อยซิ คิดได้แล้วก็ทำเลย ถอดใบเลื่อยออก เอาซีแคล้มป์จับหัวท้ายไว้ให้แน่น แล้วบรรจงเล็งให้ดีว่าฟันเลื่อยซี่ไหนเอียงซ้าย ซี่ไหนเอียงขวา แล้วก็ตะไบไปตามทิศของมันอย่างละเมียด ให้ความสุขทางใจขณะทำดีเชียว ต้องถนอมรักษาความเอียงของฟันเลื่อยเอาไว้ตามเดิมเพราะมันเป็นตัวก่อให้เกิดคลองเลื่อยทำให้ไม้ไม่หนีบใบเลื่อย ช่วยให้การเลื่อยลื่นไหล ผมตะไบไป แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก จากโคนถึงปลาย แล้วประกอบใบเลื่อยกลับเข้าที่ แล้วทดลองใช้เลื่อยไม้ชิ้นเดิมใหม่ ฮ้า คราวนี้คมเปี๊ยวเลย กินไม้ดีเชียว เลื่อยเยอรมันฉลากภาษาจีนเนี่ย ของเขาก็ดีนะคุณ แต่ถ้าผู้ซื้อไม่มีตะไบและไม่รู้วิธีตะไบฟันเลื่อยให้คม หากซื้อไปก็คงจะจบด้วยการสวดชยันโตอาแปะกันขรม

ม้าไม้สองร้อยบาท โปรเจ็คใหม่ในอนาคต

ตรวจคุณภาพเลื่อยใหม่เสร็จแล้วก็เอาม้าไม้สองร้อยบาทที่ซื้อมาออกมาล้างขัดสีฉวีวรรณ จนเห็นลายสลักบนเนื้อไม้สักแล้วดูเท่เชียว ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย การซ่อมม้าไม้นี่จะเป็นโปรเจ็คที่ต่อคิวรอไว้ในอนาคต จะจบเหมือนโปรเจ็คไฮโดรโปนิกหรือสวนมอสหรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป เสร็จจากล้างม้าไม้แล้วก็ยังไม่ทันมืด จึงไปหาเลื่อยเก่าๆที่มีอยู่มาตะไบ และหามีดในครัวทุกด้ามมาลับหมดเกลี้ยง จนมืดมองอะไรไม่เห็นและยุงเริ่มรุมจึงจบภาระกิจช่วงวันหยุดสิ้นปีกลับเข้าบ้าน

ทั้งหมดที่ทำไปและที่ได้มาในช่วงวันหยุดยาวนี้ ที่ภาคภูมิใจและสุขใจกว่าอะไรอื่นคือตะไบอันละ 50 บาท เพราะว่า..เวอร์คสุด หิ หิ หิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี