Atmabodha งานเขียนระดับลึกซึ้ง โดย Shankaracharya
ชังคาราจารยา (Adi Shankaracharya) เป็นโยคีและครูทางจิตวิญญาณชาวอินเดียที่มีชีวิตอยู่ประมาณ ค.ศ. 800 หรือประมาณ 1300 ปีหลังพระพุทธเจ้า จะเรียกว่าถ้าจะเรียนรู้ฮินดูให้ได้ลึกซึ้งในเวลาจำกัดต้องเรียนผ่านชังคาราจารยาก็ว่าได้ วันนี้ผมแปลงานเขียนขนาดสั้นที่ชื่อ Atmabodha หรือ “ความรู้จักตัวเอง” ซึ่งมีคนแปลไว้เป็นภาษาอังกฤษหลายฉบับ แต่ผมเลือกแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษฉบับที่แปลไว้อย่างสละสลวยโดย Swami Nikhilananda ซึ่งพิมพ์ไว้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1947 เนื่องจากงานเขียนชิ้นนี้เขียนไปทีละโฉลกไม่ต่อเนื่องกัน ผมจึงใส่ตัวเลขนำหน้าแต่ละโฉลกไว้ เผื่อให้ท่านที่สนใจเฉพาะแต่ละประเด็นไปค้นคว้าเพิ่มเติมเอาจากต้นฉบับจริงได้ บางโฉลกผมขออนุญาตใส่ขยายความของผมเองไว้เป็นตัวเอียงในวงเล็บ
ก่อนอ่านโปรดอย่าลืมว่าฮินดูมีอย่างน้อยๆก็สี่หรือห้านิกายย่อยที่ล้วนมีคอนเซ็พท์ต่างกัน แต่ว่ามีคอนเซ็พท์หลักเหมือนกัน คอนเซ็พท์หลักนี้แตกต่างจากพุทธอย่างจังๆจะๆ คือฮินดูพูดถึงตัวตนที่สูงกว่าความเป็นบุคคล (อาตมัน และบราห์มัน) ซึ่งเผอิญเป็นสาระหลักของงานเขียนชิ้นนี้ ดังนั้นขณะอ่านอย่าพยายามเทียบเคียงกับคำสอนของพุทธ เพราะท่านกำลังอ่านสิ่งที่ไม่เหมือนกันเลย และอย่าพยายามเทียบเคียงกับงานเขียนของปตัญชลีที่ผมเคยแปลไปก่อนหน้านี้ เพราะของปตัญชลีคือโยคะ ซึ่งเป็นอีกนิกายหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละนิกายกับเวดันติก (vedantic) ที่ชังคาราจารยาสอนนี้
- ตัวฉันนี้ประกอบขึ้นมาจาก Atmabodha หรือ “ความรู้จักตัวเอง” เพื่อมาช่วยคนที่ประสงค์จะหลุดพ้นผ่านการปฏิบัติตนจริงจังให้หลุดพ้นไปสู่การเป็นผู้มีใจสงบเย็นเป็นอิสระจากความอยากใดๆ
- เปรียบประหนึ่งไฟเป็นปัจจัยตรงให้อาหารสุกฉันใด ความรู้ก็เป็นปัจจัยตรงให้บรรลุความหลุดพ้นฉันนั้น ไม่มีปัจจัยอื่นเสมอเหมือน
- โลกซึ่งเต็มไปด้วยความยึดถือเกี่ยวพันและการต่อสู้ทำลายล้างต่างๆนาๆนี้ มันเป็นเป็นเหมือนความฝัน ซึ่งจะดูเป็นจริงเป็นจังเฉพาะสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดอยู่ในความฝันนั้น แต่จะเรื่องไร้สาระสำหรับผู้ที่ตื่นแล้ว
- ความไม่รู้จริง (Avidya)ซึ่งอธิบายไม่ถูก มาต้นรากจากไหนไม่รู้นี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุ เป็นเหมือนม่านเมฆที่ปกคลุมภูเขาคืออาตมัน (Atman) ซึ่งเป็นตัวเราจริงๆไว้ ทั้งๆที่ภูเขาตัวจริงนั้นเป็นคนละส่วนคนละอันกับม่านทั้งสามนี้ (ร่างกาย, ความคิด, และพลังชีวิต)
- อาตมัน (ฉันที่แท้จริง) นี้มีธรรมชาติเป็นความสามารถตื่นและรับรู้ เป็นความจริงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดรไม่มีเกิดไม่มีตาย เป็นความบริสุทธิ์ที่ไม่แปดเปื้อนด้วยอะไรก็ตามที่มันคลุกเคล้าด้วย และเป็นความเบิกบาน ประหนึ่งแสงอาทิตย์มีธรรมชาติเป็นความสว่าง น้ำมีธรรมชาติเป็นความเย็น ไฟมีธรรมชาติเป็นความร้อน ฉันนั้น
- อาตมัน (ฉันที่แท้จริง) ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความรู้ที่รับรู้มาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความสามารถรับรู้ได้ แต่คนก็ยังหลงไปเชื่อว่าอาตมันเป็นสิ่งเดียวกับความรู้ที่รับรู้มา ทำให้เข้าใจผิดว่าตนเองเป็นผู้รู้ ตนเองเป็นผู้เห็น (ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่รู้เห็น)
- วิญญาณ (individual soul) ที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง จะถูกครอบด้วยความกลัว เหมือนคนที่เข้าใจว่าเชือกที่เห็นนั้นเป็นงู วิญญาณจะหลุดพ้นจากความกลัวก็ต่อเมื่อได้เข้าใจว่าตัวมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง แต่เป็นสิ่งสูงสุดสิ่งเดียวที่อยู่เหนือความเกิดความตาย (supreme soul)
- คนสามารถตระหนักรู้ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างปัจเจกวิญญาณ (individual soul) กับสิ่งสูงสุดสิ่งเดียวที่อยู่เหนือความเกิดความตาย (supreme soul) ได้ ด้วยการศึกษาปฏิบัติตามสุภาษิตคำสอนในตำราโบราณ (Vedic) วินิจฉัยแยกแยะเอาม่านเมฆที่ปกคลุมฉันที่แท้จริงออกไป ว่าฉันไม่ใช่สิ่งนี้ ฉันไม่ใช่สิ่งนั้น
- ตัวฉันที่แท้จริงนี้แน่นอนว่าเป็นสิ่งสูงสุดสิ่งเดียว (supreme Brahman) นั่นเองแหละ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความเป็นนิรันดร ไม่แปดเปื้อนด้วยอะไร และเป็นอิสระ แบ่งแยกไม่ได้ เป็นหนึ่งเดียว ไม่เป็นสอง (non-dual) มีธรรมชาติเป็นความเบิกบาน ตื่นรู้ จริงแท้
- ความตระหนักรู้ว่าฉันเป็นสิ่งสูงสุดสิ่งเดียว (supreme Brahman) นี้ เกิดขึ้นได้ด้วยการมุ่งมั่นไตร่ตรอง และทำลายความไม่รู้และสิ่งชักนำให้หักเหใดๆให้หมดสิ้นไป ประหนึ่งยาดีทำลายโรคให้สิ้นไปฉันนั้น
- ตัวฉันที่เป็นฉันที่สูงสุดสิ่งเดียว (supreme self) นี้ เนื่องจากมีธรรมชาติเบิกบานอย่างยิ่งอยู่เป็นนิจ จึงเป็นทุกอย่างเสียเองไม่ว่าจะเป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็น เป็นความรู้ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่ถูกเห็น โดยไม่มีการแยกแยะออกเป็นส่วนๆ และตัวมันเองนี้แหละที่เป็นผู้ฉายแสงเปล่งประกายออกมา
- การตระหนักรู้ธรรมชาติที่แท้จริงว่าตัวฉันที่เป็นฉันสูงสุดสิ่งเดียว (supreme self) จะทำลายความไม่รู้ทั้งปวงที่เกิดจากการหลงเข้าใจว่าฉันนี้เป็นบุคคลคนหนึ่งที่มีอะไรเป็นของฉันเป็นการส่วนตัวได้โดยพลัน ประหนึ่งเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาก็จะนำทางให้แก่คนที่กำลังหลงทางอยู่ในความมืดได้ทันที
- โยคีที่หลุดพ้นจากความหลงคิดว่าฉันเป็นบุคคลคนหนึ่งไปแล้ว จะมองเห็นจักรวาลนี้ผ่านตาแห่งปัญญาในตัวเขาเอง และมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นคือตัวเขาเอง ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย
- จักรวาลที่สัมผัสรับรู้มองเห็นได้นี้ก็คืออาตมัน (ฉันที่แท้จริง) อย่างแน่นอน ไม่มีอะไรดำรงอยู่นอกเหนือไปจากอาตมัน ประหนึ่งที่หม้อและไหไม่ได้เป็นอะไรอื่นเลยนอกจากการเป็นดินเหนียว สิ่งใดๆที่ผู้หลุดพ้นแล้วมองเห็นสัมผัสได้ก็มีแต่ฉันที่แท้จริงฉันนั้น
- การตระหนักรู้สถานะความเป็นสิ่งเดียวสูงสุด (Brahman) ก็คือเมื่อเห็นแล้วก็ไม่เหลืออะไรให้เห็นเพิ่มอีก เมื่อรู้แล้วก็ไม่เหลืออะไรให้รู้เพิ่มอีก เมื่อเกิดมาเป็นนั่นเป็นนี่แล้วก็ไม่เหลืออะไรให้เกิดมาเป็นอีก
- การตระหนักรู้สถานะความเป็นสิ่งเดียวสูงสุด (Brahman) ก็คือการเป็นทุกอย่างเบ็ดเสร็จไม่เป็นสอง (non-dual) (ทั้งผู้เห็นและสิ่งที่ถูกเห็นเป็นสิ่งที่เกิดจากเนื้อเดียวกันเหมือนหม้อกับไหต่างเกิดจากดินเหนียว) เป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยก และมีความเบิกบาน ซึ่งตำราโบราณเรียกว่าเป็นชั้นในสุดที่ปอกเปลือกทิ้งต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
- การตระหนักรู้สถานะความเป็นสิ่งเดียวสูงสุด (Brahman) ก็คือการเป็นตัวเปล่งประกายส่องสว่างเหมือนดวงอาทิตย์เปล่งแสงสว่าง แต่มันไม่อาจส่องสว่างตัวมันเองได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกส่องสว่างขึ้นได้ด้วยแสงของมัน
- สถานะความเป็นสิ่งเดียวสูงสุด (Brahman) เป็นอะไรที่ยิ่งไปกว่าจักรวาล ถ้าไม่มีสิ่งเดียวสูงสุดนี้ จักรวาลก็ไม่มี ไม่มีอะไรอยู่ได้เลยถ้าไม่มีสิ่งเดียวสูงสุดนี้ ถ้าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นดำรงอยู่นอกสิ่งเดียวสูงสุดนี้ สิ่งนั้นไม่ใช่ของจริงและจะหายไปในเวลาไม่นานดุจพยับแดด
- แม้ว่าฉันที่แท้จริง (อาตมัน) นี้จะเป็นความจริงแท้ เป็นความตื่นและสามารถรับรู้ มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง แต่ผู้จะมองเห็นได้ก็มีแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้น ผู้ที่ปัญญาถูกความไม่รู้บดบังก็จะมองไม่เห็นแสงสว่างของอาตมัน ประหนึ่งคนตาบอดไม่เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ฉันนั้น
- แก่นของชีวิต (Jiva) เอง แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ถูกแปดเปื้อนด้วยมลทินใดๆในการใช้ชีวิต มันถูกอบมาร่ำด้วยไฟแห่งปัญญาความรู้ เมื่อถูกอบร่ำถึงจุดหนึ่งมันก็จะส่องสว่างด้วยตัวมันเองได้ประหนึ่งดั่งทองคำ
- ผู้ใดก็ตามที่สละเลิกกิจกรรมทางโลกทั้งหลาย หันมาปฏิบัติบูชาอยู่ในวิหารศักดิสิทธิ์และบริสุทธิ์แห่งอาตมัน ซึ่งเป็นสถานะที่เป็นอิสระจากเวลา ปราศจากสถานที่ ไม่มีระยะทางที่จะต้องไปมา แต่มีปรากฎอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เป็นสถานะที่สลายทั้งฝั่งร้อนและฝั่งเย็น ทั้งฝั่งมืดฝั่งสว่าง หรือสองฝั่งใดๆที่ตรงข้ามกัน เป็นสถานะที่ให้ความสุขเบิกบานเป็นนิรันดร ผู้นั้นจะกลายกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ได้ แทรกซึมได้ บรรลุได้ และจะเป็นอมตะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์