การสั่นสะเทือน (vibration) ขณะฝึกสมาธิ
เรียนคุณหมอสันต์
หนูจะไปฝึกสมาธิกับครูฝรั่ง ซึ่งสอนให้หายใจเข้าออกลึกๆสามสิบครั้งแล้วก็กลั้นหายใจนิ่งไปให้นานที่สุด คือกลั้นไปอย่างน้อยนาทีครึ่ง หรือนานกว่านั้นถ้ากลั้นได้ เพื่อให้เกิดสมาธิ การฝึกแบบนี้จะมีอันตรายไหม
............................................................
ตอบครับ
วิชากลั้นหายใจที่ฝรั่งสอนนั้นความจริงเป็นวิชาของโยคีนะครับ เขาเรียกว่าปราณายามา คือเล่นกับลมหายใจเพื่อควบคุมพลังชีวิต ถามว่ามันอันตรายไหม ตอบว่ามันไม่อันตรายดอก อยากลองทำก็ทำไปเถอะ แล้วสมองคุณทนขาดออกซิเจนได้นานถึงสี่นาที คุณกลั้นได้นานขนาดนั้นก็กลั้นไปเถอะ
เพียงแต่ขอให้คุณเข้าใจไว้ก่อนว่าการหายใจแบบเข้าออกลึกๆแรงๆติดๆกันไปนานๆ จะทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดจะถูกชะออกไปทางลมหายใจออก (CO2 washed out) ทำให้เลือดเป็นด่างมาก ซึ่งจะทำให้แคลเซียมไหลเข้าไปอยู่ในเซลจนระดับแคลเซี่ยมในเลือดต่ำถึงขนาดเหนี่ยวนำให้เกิดความรู้สึกเหน็บๆชาๆบนผิวหนังหรือทำให้กล้ามเนื้อเป็นตะคริวหรือชักเกร็งหรือชักกระตุกได้ การรู้สึกเหน็บๆชาๆบนผิวหนังอาจช่วยการทำสมาธิในแง่ที่ทำให้รับรู้ความรู้สึกบนผิวกายได้ง่ายขึ้น ส่วนการเกร็งหรือกระตุกนั้นมันเป็นการชักเกร็งที่รู้ตัวดีอยู่ ภาวะอย่างนี้ภาษาแพทย์เรียกว่า hyperventilation syndrome มันไม่ได้มีอันตรายต่อสมอง มันไม่ใช่การชักแบบชักจนหมดสติและสมองขาดเลือดที่เรียกว่าลมบ้าหมูหรือ epilepsy มันคนละอย่างกัน
อีกเรื่องหนึ่งคือหากการชะคาร์บอนไดออกไซด์นี้เกิดขึ้นมากอาจจะเกิดภาวะหยุดหายใจ (apnea) ขึ้นชั่วคราว อาจจะหยุดนานเป็นนาที แต่เมื่อคาร์บอนได้ออกไซด์เริ่มสะสมในเลือดใหม่ กลไกการหายใจซึ่งเป็นอัตโนมัตก็จะกลับมาเอง ในวิชาแพทย์นี้ยังไม่เคยมีข้อมูลรายงานไว้แม้แต่รายเดียวว่าใครที่กลั้นหายใจแล้วจะตายไปเลย เพราะหากกลั้นหายใจแล้วตายได้คนที่อยากจะฆ่าตัวตายก็คงไม่ต้องเหนื่อยยากไปซื้อเชือกหรือซื้อยานอนหลับเป็นขวดๆมากิน การหยุดหายใจชั่วคราวนี้อาจจะมีประโยชน์ในการฝึกสมาธิก็ได้ ในแง่ที่ว่าเจ้าตัวจะได้สัมผัสกับภาวะที่ตื่นมีสติดีอยู่แต่ติดต่อกับร่างกายของตัวเองไม่ได้ ซึ่งทำให้ได้ไอเดียว่าการดำรงอยู่โดยไม่มีร่างกายนั้นมันเป็นอย่างไร
พูดถึงการสั่น (vibration) หรือชักกระตุกขณะนั่งสมาธินี้มันเกิดขึ้นได้เสมอแม้ในคนที่ไม่ได้กลั้นหายใจ พูดในภาษาสมาธิก็อาจจะอธิบายว่ามันเกิดจากเมื่อหมดความคิดแล้วจะมีพลังงานจากภายนอกไหลเข้ามา พลังงานระดับหยาบนี้ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนบนร่างกายก่อน แล้วพลังงานระดับละเอียดคือปัญญาญาณจึงจะตามมา แต่หากพูดในภาษาแพทย์ มันเป็นกลไกของระบบประสาทอัตโนมัติที่จะไม่ยอมให้ร่างกายอยู่นิ่งๆนานๆ แต่ไม่ว่ากลไกพื้นฐานของจริงมันจะเป็นอย่างไร อันตรายมันเกิดขึ้นได้เสมอจากการบาดเจ็บของศีรษะหรือแขนขาที่จะไปกระแทกเอากับของแข็งรอบๆตัว ตัวผมเองก็เคยโดนมาแล้ว นั่งสมาธิอยู่โดยไม่มีประสบการณ์จึงไม่ได้ระวังตัว วันหนึ่งร่างกายเกิดสั่นเทิ้มขึ้นมา ก็ปล่อยให้มันสั่นไป มากเข้า มากเข้า จนหัวแกว่งไปโขกเอากับผนังปูน โป๊กยักษ์ จุหนึ่งลิตร โห..เจ็บมาก เกือบจะบรรลุธรรมไปเสียแล้ว
แล้วธรรมชาติของการที่ร่างกายสั่นขณะนั่งสมาธินี้มันจะสั่นแบบดิ้นรนไปทุกทิศทุกทาง เราเบรคที่หัว มันไปสั่นที่แขน เราเบรคที่แขนมันไปสั่นที่ตัว เราเบรคที่ตัวมันไปสั่นที่ขา เราเบรคไว้ทั้งตัวทั้งแขนทั้งขามันสั่นในแนวกระดอนขึ้นจากพื้น ชนิดที่ทำให้ตัวเองเด้งสูงจากพื้นที่นอนได้ทีเป็นฟุต นี่ไม่ใช่การเหาะเหินเดินอากาศหรอกนะอย่าเข้าใจผิด แค่เป็นการสั่นอย่างแรงของร่างกาย แต่การเหาะอาจจะเกิดขึ้นได้เหมือนกันหากมันกระดอนอยู่บนเตียงแล้วไม่ตกลงที่เดิม คือกระดอน กระดอน หลายที ขยับไปทีละนิด ทีละนิด แล้วตกขอบเตียง..ป๊าบ..บ นั่นแหละการเหาะ หิ หิ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนูจะไปฝึกสมาธิกับครูฝรั่ง ซึ่งสอนให้หายใจเข้าออกลึกๆสามสิบครั้งแล้วก็กลั้นหายใจนิ่งไปให้นานที่สุด คือกลั้นไปอย่างน้อยนาทีครึ่ง หรือนานกว่านั้นถ้ากลั้นได้ เพื่อให้เกิดสมาธิ การฝึกแบบนี้จะมีอันตรายไหม
............................................................
ตอบครับ
วิชากลั้นหายใจที่ฝรั่งสอนนั้นความจริงเป็นวิชาของโยคีนะครับ เขาเรียกว่าปราณายามา คือเล่นกับลมหายใจเพื่อควบคุมพลังชีวิต ถามว่ามันอันตรายไหม ตอบว่ามันไม่อันตรายดอก อยากลองทำก็ทำไปเถอะ แล้วสมองคุณทนขาดออกซิเจนได้นานถึงสี่นาที คุณกลั้นได้นานขนาดนั้นก็กลั้นไปเถอะ
เพียงแต่ขอให้คุณเข้าใจไว้ก่อนว่าการหายใจแบบเข้าออกลึกๆแรงๆติดๆกันไปนานๆ จะทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดจะถูกชะออกไปทางลมหายใจออก (CO2 washed out) ทำให้เลือดเป็นด่างมาก ซึ่งจะทำให้แคลเซียมไหลเข้าไปอยู่ในเซลจนระดับแคลเซี่ยมในเลือดต่ำถึงขนาดเหนี่ยวนำให้เกิดความรู้สึกเหน็บๆชาๆบนผิวหนังหรือทำให้กล้ามเนื้อเป็นตะคริวหรือชักเกร็งหรือชักกระตุกได้ การรู้สึกเหน็บๆชาๆบนผิวหนังอาจช่วยการทำสมาธิในแง่ที่ทำให้รับรู้ความรู้สึกบนผิวกายได้ง่ายขึ้น ส่วนการเกร็งหรือกระตุกนั้นมันเป็นการชักเกร็งที่รู้ตัวดีอยู่ ภาวะอย่างนี้ภาษาแพทย์เรียกว่า hyperventilation syndrome มันไม่ได้มีอันตรายต่อสมอง มันไม่ใช่การชักแบบชักจนหมดสติและสมองขาดเลือดที่เรียกว่าลมบ้าหมูหรือ epilepsy มันคนละอย่างกัน
อีกเรื่องหนึ่งคือหากการชะคาร์บอนไดออกไซด์นี้เกิดขึ้นมากอาจจะเกิดภาวะหยุดหายใจ (apnea) ขึ้นชั่วคราว อาจจะหยุดนานเป็นนาที แต่เมื่อคาร์บอนได้ออกไซด์เริ่มสะสมในเลือดใหม่ กลไกการหายใจซึ่งเป็นอัตโนมัตก็จะกลับมาเอง ในวิชาแพทย์นี้ยังไม่เคยมีข้อมูลรายงานไว้แม้แต่รายเดียวว่าใครที่กลั้นหายใจแล้วจะตายไปเลย เพราะหากกลั้นหายใจแล้วตายได้คนที่อยากจะฆ่าตัวตายก็คงไม่ต้องเหนื่อยยากไปซื้อเชือกหรือซื้อยานอนหลับเป็นขวดๆมากิน การหยุดหายใจชั่วคราวนี้อาจจะมีประโยชน์ในการฝึกสมาธิก็ได้ ในแง่ที่ว่าเจ้าตัวจะได้สัมผัสกับภาวะที่ตื่นมีสติดีอยู่แต่ติดต่อกับร่างกายของตัวเองไม่ได้ ซึ่งทำให้ได้ไอเดียว่าการดำรงอยู่โดยไม่มีร่างกายนั้นมันเป็นอย่างไร
พูดถึงการสั่น (vibration) หรือชักกระตุกขณะนั่งสมาธินี้มันเกิดขึ้นได้เสมอแม้ในคนที่ไม่ได้กลั้นหายใจ พูดในภาษาสมาธิก็อาจจะอธิบายว่ามันเกิดจากเมื่อหมดความคิดแล้วจะมีพลังงานจากภายนอกไหลเข้ามา พลังงานระดับหยาบนี้ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนบนร่างกายก่อน แล้วพลังงานระดับละเอียดคือปัญญาญาณจึงจะตามมา แต่หากพูดในภาษาแพทย์ มันเป็นกลไกของระบบประสาทอัตโนมัติที่จะไม่ยอมให้ร่างกายอยู่นิ่งๆนานๆ แต่ไม่ว่ากลไกพื้นฐานของจริงมันจะเป็นอย่างไร อันตรายมันเกิดขึ้นได้เสมอจากการบาดเจ็บของศีรษะหรือแขนขาที่จะไปกระแทกเอากับของแข็งรอบๆตัว ตัวผมเองก็เคยโดนมาแล้ว นั่งสมาธิอยู่โดยไม่มีประสบการณ์จึงไม่ได้ระวังตัว วันหนึ่งร่างกายเกิดสั่นเทิ้มขึ้นมา ก็ปล่อยให้มันสั่นไป มากเข้า มากเข้า จนหัวแกว่งไปโขกเอากับผนังปูน โป๊กยักษ์ จุหนึ่งลิตร โห..เจ็บมาก เกือบจะบรรลุธรรมไปเสียแล้ว
แล้วธรรมชาติของการที่ร่างกายสั่นขณะนั่งสมาธินี้มันจะสั่นแบบดิ้นรนไปทุกทิศทุกทาง เราเบรคที่หัว มันไปสั่นที่แขน เราเบรคที่แขนมันไปสั่นที่ตัว เราเบรคที่ตัวมันไปสั่นที่ขา เราเบรคไว้ทั้งตัวทั้งแขนทั้งขามันสั่นในแนวกระดอนขึ้นจากพื้น ชนิดที่ทำให้ตัวเองเด้งสูงจากพื้นที่นอนได้ทีเป็นฟุต นี่ไม่ใช่การเหาะเหินเดินอากาศหรอกนะอย่าเข้าใจผิด แค่เป็นการสั่นอย่างแรงของร่างกาย แต่การเหาะอาจจะเกิดขึ้นได้เหมือนกันหากมันกระดอนอยู่บนเตียงแล้วไม่ตกลงที่เดิม คือกระดอน กระดอน หลายที ขยับไปทีละนิด ทีละนิด แล้วตกขอบเตียง..ป๊าบ..บ นั่นแหละการเหาะ หิ หิ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์