คุณกำลังตกร่องรีไซเคิ้ลความจำเก่าๆบูดๆของคุณ
คุณหมอสันต์ครับ
ผมวางความคิดไม่ได้ ทำอย่างไรก็วางไม่ได้ ผมอยากถามคุณหมอว่า
1. ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมจึงอยู่ภายใต้การกำกับของความคิดตลอดเวลาโดยที่ผมไม่มีหนทางออกจากมันไปได้ คนอื่นเขาก็เป็นแบบเดียวกับผม เวลาประชุมกันเรื่องงาน เพื่อนร่วมงานบางคนเขาก็เถียงคำไม่ตกฟากแสดงว่าเขาก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลความคิดของเขาโดยเขาไม่รู้ตัว (ซึ่งเผอิญเป็นความคิดไร้เหตุผลเสียด้วย)
2. ทำอย่างไรคนเราจึงจะประชุมกันแล้วพูดกันรู้เรื่องได้ข้อสรุปที่ดี นอกจากการบอกว่าให้ตั้งใจฟังคนอื่นแบบ deep listening ซึ่งเป็นแค่คำบอกแต่การปฏิบัติจริงนั้นไม่มีแก่นสารอะไร
3. คนเรานี้จะสามารถทำการงานโดยไม่ต้องคิดได้ไหม
4. ช่วยบอกวิธีวางความคิดแบบลัดที่ปฏิบัติได้
5. เมื่อวางความคิดได้แล้ว รู้ตัวแล้ว ลึกลงไปกว่านั้นมีอะไรอีกไหม
..............................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าทำไมคนเราจึงเผลอตัวเป็นทาสของความคิดตลอดเวลา ตอบว่าเพราะความคิดเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์เรารู้จัก เมื่อเรารู้จักอะไร เราก็อยู่กับสิ่งนั้น อวยกับสิ่งนั้น เราย่อมจะไม่ไปอวยกับอะไรอื่นที่เราไม่เคยรู้จักใช่ไหมละ
2. ถามว่าประชุมกันแล้วพูดกันไม่รู้เรื่องจะทำอย่างไรดี ตอบว่าคุณก็แพลมออกมาในคำถามของคุณเองนะว่าที่พูดกันไม่รู้เรื่องนั้นเพราะการเป็นคนไร้เหตุผล การจะประชุมกันให้รู้เรื่องต้องตั้งต้นด้วยการยอมรับความจริงว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่เบื้องลึกจะเป็นคนไร้เหตุผล (irrational) เพราะความคิดของแต่ละคนก็คือการเคลื่อนไหวของประสบการณ์หรือความจำในอดีตของเขาในเวลา วันนี้เมื่อผมพูดถึง "เวลา" ขอให้เข้าใจตรงกันว่าผมหมายถึงเวลาที่เราวาดขึ้นในใจหรือ psychological time นะ ไม่ใช่เวลาที่เข็มนาฬิกาติ๊กตอกๆ นั่นเป็น clock time ไม่เกี่ยวกัน
พูดง่ายๆว่าความคิดก็คือการรีไซเคิ้ลความจำเก่าๆบูดๆของแต่ละคน แล้วความจำบูดๆเหล่านั้นมันมาจากไหน มันล้วนชงขึ้นมาโดยสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ของแต่ละคนซึ่งมีเป้าหมายจะปกป้องอีโก้ซึ่งเป็นความคิดตัวแม่ให้ดำรงอยู่ ในเมื่ออีโก้เป็นเพียงชุดของความคิดซึ่งไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง แล้วทุกคนมานั่งประชุมกันเพื่อปกป้องสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงของใครของมัน แค่ให้พูดกันรู้เรื่องบ้างก็บุญแล้วนะคุณ
ที่คุณว่า deep listening เป็นคำแนะนำไร้สาระ เออ ผมว่ามันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะ คือในระดับความคิดการฟังอย่างตั้งใจเป็นเครื่องมือที่ดีมากนะ เพราะ
(2.1) มันทำให้คุณเห็นหัวคนอื่น นั่นคือเมตตาธรรมถูกไหม เมตตาธรรมเป็นพลังงานเชื่อมโยงชีวิตทุกชีวิตเข้าด้วยกันนะ คุณเริ่มตรงนี้ก็เริ่มจะสื่อสารกันรู้เรื่องไปค่อนครึ่งแล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกันเลย
(2.2) เมื่อคุณล้างหูตั้งใจฟัง คุณเคลียร์ความคิดของคุณทิ้งไปจากหัวคุณก่อนถูกไหม ไม่งั้นคุณจะรับฟังความคิดใหม่เข้าหัวคุณได้ยังไง การที่คุณเคลียร์ความคิดของคุณทิ้งไปเนี่ย คุณได้วางความคิดของคุณสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว เป็นประโยชน์กับตัวคุณแล้ว เห็นไหม
(2.3) คุณตั้งใจจะเป็นคนมีเหตุมีผล (rational) นั่นหมายความว่าคุณต้องวางสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ของคุณลงไปก่อนเพื่อจะเอาเหตุผลขึ้นมานำ ถูกไหม ก็เท่ากับว่าคุณได้ลดตัวตนคุณลงไปอีกละ เป็นประโยชน์กับคุณอีกละ เห็นไหม
ดังนั้นถามว่าทำอย่างไรประชุมกันจึงจะพูดกันรู้เรื่อง คำตอบก็คือ deep listening ที่มีสามองค์ประกอบข้างต้นครบถ้วนนั่นแหละ เป็นคำตอบให้คุณ
3. ถามว่าคนเราจะทำ (act) โดยไม่ต้องคิดได้ไหม ตอบว่าได้ ถ้าคุณนิยามว่าการคิดหมายถึงการคิดในรูปแบบปกติที่เป็นการรีไซเคิลความจำบูดๆเก่าๆ
แต่ประเด็นสำคัญคือการทำโดยไม่คิดมันมีสองระดับนะ คือ
3.1 การ "ทำ" ในระดับต่ำกว่าความคิด คือทำผ่านสัญชาติญาณ (instinct) ของเซลร่างกายเลยโดยไม่ต้องรอคิด หรือโดยเป็นอิทธิพลจากฮอร์โมนหรือดีเอ็นเอ.ที่ฝังอยู่ในเซลก็แล้วแต่ ถามว่าวิธีนี้จะใช้ทำงานได้ไหม คุณก็ลองเอาหมาแมวสักตัวมานั่งโต๊ะเป็นผู้จัดการดูสิ เพราะหมาแมวมีสัญชาติญาณทุกอย่างครบเครื่องดีกว่าคนเสียอีก คุณว่ามันจะเป็นผู้จัดการได้ไหมละ
3.2 การ "ทำ" ในระดับสูงกว่าความคิด คือคุณต้องวางความคิดลงไปให้หมดก่อน เหลืออยู่แต่ความรู้ตัวที่ปราศจากความคิด ณ ที่ตรงนั้นสิ่งหนึ่งในรูปแบบของพลังงานจากภายนอกจะโผล่เข้ามา เรียกว่าเป็นปัญญาญาณ (intuition) หรือความรู้จริงแบบไม่บิดเบือน (insight) ก็ได้ มันมาจากไหนไม่รู้ แต่ว่ามันโผล่มาแน่ในภาวะที่หมดความคิดแล้ว จากเจ้าตัวปัญญาญาณนี้คุณสามารถทำ (act) ได้เลยโดยไม่ผ่านความคิดได้ หรือคุณจะให้เจ้าปัญญาญาณนี้ทำงานร่วมกับกลไกการคิดของสมองก็ได้ ซึ่งก็จะได้ความคิดอีกแบบหนึ่งขึ้นมาเป็นความคิดชนิดที่ไม่ใช่การรีไซเคิ้ลความจำเก่าๆของคุณ
ถามว่าแล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าปัญญาญาณนี้จะโผล่มา ตอบว่าคุณก็วางความคิดให้ได้หมดก่อนสิครับ แล้วคุณก็จะได้เห็นประจักษ์ด้วยตัวเอง วิธีอื่นไม่มี
แต่ผมชี้เบาะแสล่วงหน้าไว้ให้ก่อนนะ ว่าหากคุณตั้งใจ๊ ตั้งใจ วางความคิดด้วยความมุ่งมั่นจะให้ปัญญาญาณโผล่ขึ้นมา แบบทำอะไรเพื่อจะให้จบด้วยรางวัลหรือการลงโทษ ปัญญาญาณมันไม่โผล่นะ เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นเป็นกลไกการก่อความคิดในมิติของเวลาครั้งใหม่ขึ้นในใจคุณ คือตอนนี้ฉันเป็นนี่ ฉันกำลังจะเปลี่ยนไปเป็นนั่น I am this ไปสู่ I am becoming that นี่เป็นการสร้างความคิดใหม่ เรียกว่าเป็นกระบวนการ becoming เป็นการปลูกมิติของเวลาขึ้นในใจครั้งใหม่ เมื่อมีเวลา ความจำเก่าๆก็จะเคลื่อนไหวได้ เพราะอย่าลืมว่าความคิดก็คือการเคลื่อนไหวของความจำในเวลา นั่นคือกลไกการรีไซเคิลความคิดจะถูกกุขึ้นมาใหม่ วิธีนี้ปัญญาญาณจะไม่เกิด ปัญญาญาณมันจะเกิดได้ก็เฉพาะในที่ที่ไม่มีความคิด ไม่มีสำนึกว่าเป็นบุคคล ไม่มีเวลา คือมีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ดังนั้นมันต้องเป็นการสำรวจสืบค้นแบบสังเกตเอาโดยไม่มีความพยายามจะให้มันเกิดและไม่เกี่ยวกับเป้าหมายที่เป็นรางวัลหรือการลงโทษ
4. ถามว่าทำอย่างไรจึงจะวางความคิดได้แบบลัด ตอบว่าคุณก็แค่วางมันลงแบบวางกระบุงวางตะกร้า นั่นแหละลัดที่สุด แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณก็ต้องฝึกสมาธิ (meditation) ซึ่งมีหลายวิธี ฝึกจนคุณวางความคิดในขณะนั่งสมาธิได้แล้วก็ขยายผลไปวางความคิดในขณะทำกิจประจำวัน
วิธีที่ผมแนะนำให้ลองใช้คือการตามดูลมหายใจ (breathing meditation) โดยใช้เครื่องมือ 7 อย่างสลับกันไปตามจังหวะเวลาอันควร ได้แก่
(1) ความสนใจ (attention)
(2) ลมหายใจ (breathing)
(3) ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan)
(4) การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (relaxation)
(5) การกระตุ้นตัวเองให้ตื่น (alertness)
(6) การสังเกตความคิด (aware of a though)
(7) การจดจ่อซ้ำซาก (concentration)
วิธีใช้เครื่องมือเหล่านี้ผมเขียนไปบ่อยมาก คุณหาอ่านย้อนหลังเอาในบล็อกนี้ได้
5. ถามว่าเมื่อวางความคิดได้แล้ว รู้ตัวแล้ว ลึกลงไปกว่านั้นมีอะไรอีกไหม ตอบว่านี่คุณกำลังตกร่องรีไซเคิลความจำบูดๆของคุณอีกละนะ คือตกไปอยู่ในเวลา จากตรงนี้ซึ่งกำลังเป็นนี่อยู่จะไปเป็นนั่น คุณจะไปไหนไม่รอดหรอก ถ้าคุณทิ้งเวลาออกไปจากใจคุณไม่ได้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ให้ได้ก่อน แล้วมีอะไรอยู่หลังกอไผ่นั้นไหม คุณก็จะได้เห็นเอง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมวางความคิดไม่ได้ ทำอย่างไรก็วางไม่ได้ ผมอยากถามคุณหมอว่า
1. ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมจึงอยู่ภายใต้การกำกับของความคิดตลอดเวลาโดยที่ผมไม่มีหนทางออกจากมันไปได้ คนอื่นเขาก็เป็นแบบเดียวกับผม เวลาประชุมกันเรื่องงาน เพื่อนร่วมงานบางคนเขาก็เถียงคำไม่ตกฟากแสดงว่าเขาก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลความคิดของเขาโดยเขาไม่รู้ตัว (ซึ่งเผอิญเป็นความคิดไร้เหตุผลเสียด้วย)
2. ทำอย่างไรคนเราจึงจะประชุมกันแล้วพูดกันรู้เรื่องได้ข้อสรุปที่ดี นอกจากการบอกว่าให้ตั้งใจฟังคนอื่นแบบ deep listening ซึ่งเป็นแค่คำบอกแต่การปฏิบัติจริงนั้นไม่มีแก่นสารอะไร
3. คนเรานี้จะสามารถทำการงานโดยไม่ต้องคิดได้ไหม
4. ช่วยบอกวิธีวางความคิดแบบลัดที่ปฏิบัติได้
5. เมื่อวางความคิดได้แล้ว รู้ตัวแล้ว ลึกลงไปกว่านั้นมีอะไรอีกไหม
..............................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าทำไมคนเราจึงเผลอตัวเป็นทาสของความคิดตลอดเวลา ตอบว่าเพราะความคิดเป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์เรารู้จัก เมื่อเรารู้จักอะไร เราก็อยู่กับสิ่งนั้น อวยกับสิ่งนั้น เราย่อมจะไม่ไปอวยกับอะไรอื่นที่เราไม่เคยรู้จักใช่ไหมละ
2. ถามว่าประชุมกันแล้วพูดกันไม่รู้เรื่องจะทำอย่างไรดี ตอบว่าคุณก็แพลมออกมาในคำถามของคุณเองนะว่าที่พูดกันไม่รู้เรื่องนั้นเพราะการเป็นคนไร้เหตุผล การจะประชุมกันให้รู้เรื่องต้องตั้งต้นด้วยการยอมรับความจริงว่ามันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่เบื้องลึกจะเป็นคนไร้เหตุผล (irrational) เพราะความคิดของแต่ละคนก็คือการเคลื่อนไหวของประสบการณ์หรือความจำในอดีตของเขาในเวลา วันนี้เมื่อผมพูดถึง "เวลา" ขอให้เข้าใจตรงกันว่าผมหมายถึงเวลาที่เราวาดขึ้นในใจหรือ psychological time นะ ไม่ใช่เวลาที่เข็มนาฬิกาติ๊กตอกๆ นั่นเป็น clock time ไม่เกี่ยวกัน
พูดง่ายๆว่าความคิดก็คือการรีไซเคิ้ลความจำเก่าๆบูดๆของแต่ละคน แล้วความจำบูดๆเหล่านั้นมันมาจากไหน มันล้วนชงขึ้นมาโดยสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ของแต่ละคนซึ่งมีเป้าหมายจะปกป้องอีโก้ซึ่งเป็นความคิดตัวแม่ให้ดำรงอยู่ ในเมื่ออีโก้เป็นเพียงชุดของความคิดซึ่งไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง แล้วทุกคนมานั่งประชุมกันเพื่อปกป้องสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงของใครของมัน แค่ให้พูดกันรู้เรื่องบ้างก็บุญแล้วนะคุณ
ที่คุณว่า deep listening เป็นคำแนะนำไร้สาระ เออ ผมว่ามันก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะ คือในระดับความคิดการฟังอย่างตั้งใจเป็นเครื่องมือที่ดีมากนะ เพราะ
(2.1) มันทำให้คุณเห็นหัวคนอื่น นั่นคือเมตตาธรรมถูกไหม เมตตาธรรมเป็นพลังงานเชื่อมโยงชีวิตทุกชีวิตเข้าด้วยกันนะ คุณเริ่มตรงนี้ก็เริ่มจะสื่อสารกันรู้เรื่องไปค่อนครึ่งแล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรกันเลย
(2.2) เมื่อคุณล้างหูตั้งใจฟัง คุณเคลียร์ความคิดของคุณทิ้งไปจากหัวคุณก่อนถูกไหม ไม่งั้นคุณจะรับฟังความคิดใหม่เข้าหัวคุณได้ยังไง การที่คุณเคลียร์ความคิดของคุณทิ้งไปเนี่ย คุณได้วางความคิดของคุณสำเร็จขั้นหนึ่งแล้ว เป็นประโยชน์กับตัวคุณแล้ว เห็นไหม
(2.3) คุณตั้งใจจะเป็นคนมีเหตุมีผล (rational) นั่นหมายความว่าคุณต้องวางสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ของคุณลงไปก่อนเพื่อจะเอาเหตุผลขึ้นมานำ ถูกไหม ก็เท่ากับว่าคุณได้ลดตัวตนคุณลงไปอีกละ เป็นประโยชน์กับคุณอีกละ เห็นไหม
ดังนั้นถามว่าทำอย่างไรประชุมกันจึงจะพูดกันรู้เรื่อง คำตอบก็คือ deep listening ที่มีสามองค์ประกอบข้างต้นครบถ้วนนั่นแหละ เป็นคำตอบให้คุณ
3. ถามว่าคนเราจะทำ (act) โดยไม่ต้องคิดได้ไหม ตอบว่าได้ ถ้าคุณนิยามว่าการคิดหมายถึงการคิดในรูปแบบปกติที่เป็นการรีไซเคิลความจำบูดๆเก่าๆ
แต่ประเด็นสำคัญคือการทำโดยไม่คิดมันมีสองระดับนะ คือ
3.1 การ "ทำ" ในระดับต่ำกว่าความคิด คือทำผ่านสัญชาติญาณ (instinct) ของเซลร่างกายเลยโดยไม่ต้องรอคิด หรือโดยเป็นอิทธิพลจากฮอร์โมนหรือดีเอ็นเอ.ที่ฝังอยู่ในเซลก็แล้วแต่ ถามว่าวิธีนี้จะใช้ทำงานได้ไหม คุณก็ลองเอาหมาแมวสักตัวมานั่งโต๊ะเป็นผู้จัดการดูสิ เพราะหมาแมวมีสัญชาติญาณทุกอย่างครบเครื่องดีกว่าคนเสียอีก คุณว่ามันจะเป็นผู้จัดการได้ไหมละ
3.2 การ "ทำ" ในระดับสูงกว่าความคิด คือคุณต้องวางความคิดลงไปให้หมดก่อน เหลืออยู่แต่ความรู้ตัวที่ปราศจากความคิด ณ ที่ตรงนั้นสิ่งหนึ่งในรูปแบบของพลังงานจากภายนอกจะโผล่เข้ามา เรียกว่าเป็นปัญญาญาณ (intuition) หรือความรู้จริงแบบไม่บิดเบือน (insight) ก็ได้ มันมาจากไหนไม่รู้ แต่ว่ามันโผล่มาแน่ในภาวะที่หมดความคิดแล้ว จากเจ้าตัวปัญญาญาณนี้คุณสามารถทำ (act) ได้เลยโดยไม่ผ่านความคิดได้ หรือคุณจะให้เจ้าปัญญาญาณนี้ทำงานร่วมกับกลไกการคิดของสมองก็ได้ ซึ่งก็จะได้ความคิดอีกแบบหนึ่งขึ้นมาเป็นความคิดชนิดที่ไม่ใช่การรีไซเคิ้ลความจำเก่าๆของคุณ
ถามว่าแล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าปัญญาญาณนี้จะโผล่มา ตอบว่าคุณก็วางความคิดให้ได้หมดก่อนสิครับ แล้วคุณก็จะได้เห็นประจักษ์ด้วยตัวเอง วิธีอื่นไม่มี
แต่ผมชี้เบาะแสล่วงหน้าไว้ให้ก่อนนะ ว่าหากคุณตั้งใจ๊ ตั้งใจ วางความคิดด้วยความมุ่งมั่นจะให้ปัญญาญาณโผล่ขึ้นมา แบบทำอะไรเพื่อจะให้จบด้วยรางวัลหรือการลงโทษ ปัญญาญาณมันไม่โผล่นะ เพราะความมุ่งมั่นตั้งใจนั้นเป็นกลไกการก่อความคิดในมิติของเวลาครั้งใหม่ขึ้นในใจคุณ คือตอนนี้ฉันเป็นนี่ ฉันกำลังจะเปลี่ยนไปเป็นนั่น I am this ไปสู่ I am becoming that นี่เป็นการสร้างความคิดใหม่ เรียกว่าเป็นกระบวนการ becoming เป็นการปลูกมิติของเวลาขึ้นในใจครั้งใหม่ เมื่อมีเวลา ความจำเก่าๆก็จะเคลื่อนไหวได้ เพราะอย่าลืมว่าความคิดก็คือการเคลื่อนไหวของความจำในเวลา นั่นคือกลไกการรีไซเคิลความคิดจะถูกกุขึ้นมาใหม่ วิธีนี้ปัญญาญาณจะไม่เกิด ปัญญาญาณมันจะเกิดได้ก็เฉพาะในที่ที่ไม่มีความคิด ไม่มีสำนึกว่าเป็นบุคคล ไม่มีเวลา คือมีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้น ดังนั้นมันต้องเป็นการสำรวจสืบค้นแบบสังเกตเอาโดยไม่มีความพยายามจะให้มันเกิดและไม่เกี่ยวกับเป้าหมายที่เป็นรางวัลหรือการลงโทษ
4. ถามว่าทำอย่างไรจึงจะวางความคิดได้แบบลัด ตอบว่าคุณก็แค่วางมันลงแบบวางกระบุงวางตะกร้า นั่นแหละลัดที่สุด แต่ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณก็ต้องฝึกสมาธิ (meditation) ซึ่งมีหลายวิธี ฝึกจนคุณวางความคิดในขณะนั่งสมาธิได้แล้วก็ขยายผลไปวางความคิดในขณะทำกิจประจำวัน
วิธีที่ผมแนะนำให้ลองใช้คือการตามดูลมหายใจ (breathing meditation) โดยใช้เครื่องมือ 7 อย่างสลับกันไปตามจังหวะเวลาอันควร ได้แก่
(1) ความสนใจ (attention)
(2) ลมหายใจ (breathing)
(3) ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan)
(4) การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (relaxation)
(5) การกระตุ้นตัวเองให้ตื่น (alertness)
(6) การสังเกตความคิด (aware of a though)
(7) การจดจ่อซ้ำซาก (concentration)
วิธีใช้เครื่องมือเหล่านี้ผมเขียนไปบ่อยมาก คุณหาอ่านย้อนหลังเอาในบล็อกนี้ได้
5. ถามว่าเมื่อวางความคิดได้แล้ว รู้ตัวแล้ว ลึกลงไปกว่านั้นมีอะไรอีกไหม ตอบว่านี่คุณกำลังตกร่องรีไซเคิลความจำบูดๆของคุณอีกละนะ คือตกไปอยู่ในเวลา จากตรงนี้ซึ่งกำลังเป็นนี่อยู่จะไปเป็นนั่น คุณจะไปไหนไม่รอดหรอก ถ้าคุณทิ้งเวลาออกไปจากใจคุณไม่ได้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ให้ได้ก่อน แล้วมีอะไรอยู่หลังกอไผ่นั้นไหม คุณก็จะได้เห็นเอง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์