เลิกจ้างผู้กำกับเสีย ไล่เขาไปเสียให้พ้นด้วย
เรียนอาจารย์ที่เคารพ
ผม ... สมาชิก SR ... ครับ ตั้งแต่กลับจาก ST ผมก็ตั้งใจฝึกวางความคิดด้วย meditation วันละชั่วโมง ใช้วิธีของอาจารย์คือเปิดรับพลังงานจากข้างนอกเข้ามา แผ่พลังงานนั้นออกไปผ่านทุกรูขุมขน คือผมมองเป็นกิจกรรมนั่งสมาธิแบบแผ่เมตตา ก็มีความก้าวหน้าในแง่ที่จิตสงบ มีความคิดน้อยลง ชีวิตประจำวันลื่นไหลมากขึ้น ความโกรธหรือหงุดหงิดลดลงไปมาก แต่มาติดตรงที่เมื่อผมพยายามจะอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ผมกลับไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าตอนนี้ผมอยู่กับปัจจุบันแล้วหรือยัง หรือว่าผมยังอยู่กับความคิดของผม เช่นเมื่อผมนั่งสมาธิจนความคิดเรื่องต่างๆไม่โผล่มาแล้ว แต่ผมรู้สึกว่ายังมีอีกความคิดหนึ่งคอยบอกผมว่า
..ความคิดไม่มีแล้วนะ
..หายใจเข้าอยู่นะ
..รับเอาพลังเมตตาจากภายนอกเข้ามาสิ
..หายใจออกอยู่นะ
..แผ่พลังงานออกไปทุกรูขุมขนสิ
..นี่ความรู้สึกซู่ซ่านะ รับรู้ไว้
คือมันเหมือนมีความคิดบอกบทอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้คืออยู่ในความคิด ไม่ใช่อยู่ในปัจจุบันจริงใช่ไหมครับ
.......................................................................
ตอบครับ
คุณมีความก้าวหน้ามากแล้ว จากเดิมที่จมอยู่ในความคิดลบอย่างไม่รู้ตัวทั้งวัน มาถึงขั้นที่เคลียร์ความคิดลบเหล่านั้นได้เกือบหมด เหลือแต่ "ผู้กำกับ" คอยบอกบทอยู่คนเดียว นี่นับเป็นผลงานที่น่าประทับใจที่ทำได้ในเวลาไม่ถึงปี แต่ตอนนี้มาถึงด่านใหญ่ คือด่าน "ผู้กำกับ" เอาละ มาตอบคำถามของคุณ
ถามว่าการมี "ผู้กำกับ" คอยบอกบท เป็นการอยู่ในความคิดใช่ไหม ตอบว่าใช่แล้วครับ
ถามว่าการมีผู้กำกับบอกบทยังไม่ได้อยู่กับปัจจุบันใช่ไหม ตอบว่ายังไม่ได้อยู่กับปัจจุบันครับ ยังอยู่ในความคิดอยู่ เพราะผู้กำกับที่บอกบทนั่นแหละคือความคิด ชีวิตก็ยังอยู่ในมิติของเวลา ตอนนี้เป็นอย่างนี้ กำลังจะทำอย่างนั้นเพื่อจะได้ไปเป็นอย่างโน้น นี่คือกระบวนการคิด ความคิดคือการเคลื่อนไหวของความจำในมิติของเวลาในใจ (psychological time) จากที่เป็นอยู่อย่างนี้ขณะนี้จะไปเป็นอย่างนั้นในตอนโน้น เรียกว่าเป็น process of becoming คือ Now I am this จะไปสู่ I will become that นี่เป็นปัจจุบันเก๊ ไม่ใช่การอยู่กับปัจจุบันจริงๆอย่างที่เราตั้งใจจะอยู่ดอก
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ คือสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ของคุณนี้ เขาขยัน เขาพยายามจะทำหน้าที่ช่วยคุณ เพราะเขากลัวตัวเขาเองจะตกงาน บทบาทของเขาก็เช่น
"โอ้ จะปฏิบัติสู่ความหลุดพ้นหรือ ดี ดี ดี หลุดพ้นจากความคิดหรือ ดี ดี ดี มา ผมช่วยนะ ผมช่วยดูต้นทางให้ ตอนนี้มีความคิดหรือเปล่า ย้อนแอบมองดูซิ ไม่มีนะ ตอนนี้ไม่มีความคิด ตอนนี้ว่างอยู่หรือเปล่า ว่างอยู่นะ ตรงนี้แหละ ใช่แล้ว ตรงนี้แหละคือความรู้ตัว ไม่มีความคิดแล้ว เห็นไหม"
คุณจะไม่ไปไหนหรอกหากยังปล่อยให้ผู้กำกับทำหน้าที่พากย์สดประกบชีวิตคุณอยู่อย่างนี้ คุณต้องเลิกจ้างผู้กำกับเสีย ไล่เขาไปให้พ้นเสียด้วย ไล่แรงๆ ไป๊.. บอกว่าไปให้พ้น ไล่แบบไม่ต้องเกรงใจกันเลย แล้วก็เผื่อใจไว้เลยนะ ไล่ออกไปทางประตูเดี๋ยวพี่แกก็จะค่อยๆโผล่หัวมาพากย์ทางหน้าต่าง แต่ว่าคุณอย่าไปสนใจคำพูดของผู้กำกับ พูดก็พูดไป ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง แต่ไม่สนใจ ให้สนใจความรู้สึก (feeling) สดๆที่กำลังเกิดขึ้น อย่าเอาคำพูดเข้าไปตั้งชื่อเรียก แต่ให้รับรู้ฟีลลิ่งด้วยการรู้สึกเอาแทน ไม่ใช่ด้วยการเข้าใจมันผ่านภาษา เรียกว่ารับรู้ด้วยวิธี "รู้" ไม่ใช่ด้วยวิธี "คิด" พูดอย่างนี้จะงงไหมเนี่ย ให้ลองทำ แล้วจะค่อยๆเก็ทเอง เรากำลังหายใจเข้า อย่าให้มีคำพูดว่า "หายใจเข้า" เกิดขึ้นในหัว แต่สนใจความรู้สึกว่าหน้าอกกำลังกระเพือมขึ้น รอบๆรู้จมูกรับรู้ว่าลมกำลังวิ่งผ่านเข้ามา สนใจ feeling บนร่างกาย ไม่สนใจคำพูดในหัว หายใจออกรู้สึกซู่ซ่าไปทั่วตามขุมขน อย่าให้มีคำว่าซู่ซ่าเกิดขึ้นในหัว แต่ให้รู้สึกเอาจากรูขุมขนว่ามันมีความซู่ซ่าเกิดขึ้น ่เพราะปัจจุบันที่แท้จริงนั้นไม่มีเรื่องราวใดๆ ไม่มีภาษาแม้แต่คำเดียว มีแต่การรับรู้ความรู้สึก (ไม่ใช่ความคิด) ทีเกิดขึ้นใหม่ๆซิงๆที่เดี๋ยวนี้ ทีละขณะ ทีละขณะ ใหม่ๆจะรู้สึกว่าประดักประเดิดมากเพราะนักพากย์ไม่ยอมไปไหน จะต้องคอยพากย์อยู่นั่นแหละ แต่ให้เพิกเฉยต่อเขาเสีย สมมุติเองง่ายๆว่าเรานั่งอยู่นี้นั่งอยู่แบบคนหัวขาด จินตนาการตัดส่วนศีรษะหรือสมองทิ้งไปเสียก่อน ร่างกายเหลือแต่มือ เท้า แขน ลำตัว ขา เข่า เท้า สนใจรับรู้ความรู้สึกตรงจากร่างกายส่วนที่เหลือโดยไม่ยุ่งกับหัวหรือสมอง เพราะนักพากย์นั่งทำงานที่หัวหรือที่สมอง การสมมุติแบบนี้จะได้หลบเขาพ้น
การอยู่กับปัจจุบันคือการไม่มีความคิดเลย เป็นการอยู่กับความรู้สึก (feeling หรือ sensation) ที่เกิดขึ้น ณ เดี๋ยวนี้ล้วนๆ เป็นการรับรู้ตามที่มันเป็น ไม่มีภาษามาเกี่ยวข้องเลย ไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียวเข้ามายุ่งด้วย ไม่มีเรื่องราว ไม่อยากได้อะไร อยากจะหนีอะไร ไม่มีทั้งสิ้น ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้หมดแบบยอมรับยอมแพ้ไม่มีเงื่อนไข หากมีคำพูดแม้แต่คำเดียวโผล่เข้ามาในหัว นั่นเราถูกดูดเข้าไปอยู่ในความคิดซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในมิติของเวลาไปเสียแล้ว เราหลุดจากปัจจุบันไปแล้ว การอยู่กับปัจจุบันเป็นการอยู่กับสิ่งที่มีปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้วที่เดี๋ยวนี้ (What is) ไม่มีเรื่องราวประกอบ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับว่าสิ่งนี้มันควรจะเป็นอย่างไรต่อไป (What should be?)
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คืออย่าไปทำอะไรโดยหวังผล เช่นทำเพื่อจะเอาความหลุดพ้น จะเอารางวัลชีวิต เพราะการทำอะไรโดยมีความหวังในผลนั่นคือกระบวนการคิด ให้เปลี่ยนเป็นการทำอะไรแบบการทดลองแค่อยากรู้แต่ไม่คาดการณ์ ออกหัวหรือออกก้อยก็ช่างแต่ขอลองดูเพราะอยากรู้อยากสำรวจ ออกหัวหรือออกก้อยก็ได้ทั้งนั้น ไม่สนใจด้วย สนใจแค่จะลองทำดู การย้ายความสนใจมาที่การลองทำดูแทนการสนใจว่าผลลัพท์จะออกหัวหรือออกก้อย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะอยู่กับปัจจุบัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผม ... สมาชิก SR ... ครับ ตั้งแต่กลับจาก ST ผมก็ตั้งใจฝึกวางความคิดด้วย meditation วันละชั่วโมง ใช้วิธีของอาจารย์คือเปิดรับพลังงานจากข้างนอกเข้ามา แผ่พลังงานนั้นออกไปผ่านทุกรูขุมขน คือผมมองเป็นกิจกรรมนั่งสมาธิแบบแผ่เมตตา ก็มีความก้าวหน้าในแง่ที่จิตสงบ มีความคิดน้อยลง ชีวิตประจำวันลื่นไหลมากขึ้น ความโกรธหรือหงุดหงิดลดลงไปมาก แต่มาติดตรงที่เมื่อผมพยายามจะอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ผมกลับไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าตอนนี้ผมอยู่กับปัจจุบันแล้วหรือยัง หรือว่าผมยังอยู่กับความคิดของผม เช่นเมื่อผมนั่งสมาธิจนความคิดเรื่องต่างๆไม่โผล่มาแล้ว แต่ผมรู้สึกว่ายังมีอีกความคิดหนึ่งคอยบอกผมว่า
..ความคิดไม่มีแล้วนะ
..หายใจเข้าอยู่นะ
..รับเอาพลังเมตตาจากภายนอกเข้ามาสิ
..หายใจออกอยู่นะ
..แผ่พลังงานออกไปทุกรูขุมขนสิ
..นี่ความรู้สึกซู่ซ่านะ รับรู้ไว้
คือมันเหมือนมีความคิดบอกบทอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้คืออยู่ในความคิด ไม่ใช่อยู่ในปัจจุบันจริงใช่ไหมครับ
.......................................................................
ตอบครับ
คุณมีความก้าวหน้ามากแล้ว จากเดิมที่จมอยู่ในความคิดลบอย่างไม่รู้ตัวทั้งวัน มาถึงขั้นที่เคลียร์ความคิดลบเหล่านั้นได้เกือบหมด เหลือแต่ "ผู้กำกับ" คอยบอกบทอยู่คนเดียว นี่นับเป็นผลงานที่น่าประทับใจที่ทำได้ในเวลาไม่ถึงปี แต่ตอนนี้มาถึงด่านใหญ่ คือด่าน "ผู้กำกับ" เอาละ มาตอบคำถามของคุณ
ถามว่าการมี "ผู้กำกับ" คอยบอกบท เป็นการอยู่ในความคิดใช่ไหม ตอบว่าใช่แล้วครับ
ถามว่าการมีผู้กำกับบอกบทยังไม่ได้อยู่กับปัจจุบันใช่ไหม ตอบว่ายังไม่ได้อยู่กับปัจจุบันครับ ยังอยู่ในความคิดอยู่ เพราะผู้กำกับที่บอกบทนั่นแหละคือความคิด ชีวิตก็ยังอยู่ในมิติของเวลา ตอนนี้เป็นอย่างนี้ กำลังจะทำอย่างนั้นเพื่อจะได้ไปเป็นอย่างโน้น นี่คือกระบวนการคิด ความคิดคือการเคลื่อนไหวของความจำในมิติของเวลาในใจ (psychological time) จากที่เป็นอยู่อย่างนี้ขณะนี้จะไปเป็นอย่างนั้นในตอนโน้น เรียกว่าเป็น process of becoming คือ Now I am this จะไปสู่ I will become that นี่เป็นปัจจุบันเก๊ ไม่ใช่การอยู่กับปัจจุบันจริงๆอย่างที่เราตั้งใจจะอยู่ดอก
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ คือสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ของคุณนี้ เขาขยัน เขาพยายามจะทำหน้าที่ช่วยคุณ เพราะเขากลัวตัวเขาเองจะตกงาน บทบาทของเขาก็เช่น
"โอ้ จะปฏิบัติสู่ความหลุดพ้นหรือ ดี ดี ดี หลุดพ้นจากความคิดหรือ ดี ดี ดี มา ผมช่วยนะ ผมช่วยดูต้นทางให้ ตอนนี้มีความคิดหรือเปล่า ย้อนแอบมองดูซิ ไม่มีนะ ตอนนี้ไม่มีความคิด ตอนนี้ว่างอยู่หรือเปล่า ว่างอยู่นะ ตรงนี้แหละ ใช่แล้ว ตรงนี้แหละคือความรู้ตัว ไม่มีความคิดแล้ว เห็นไหม"
คุณจะไม่ไปไหนหรอกหากยังปล่อยให้ผู้กำกับทำหน้าที่พากย์สดประกบชีวิตคุณอยู่อย่างนี้ คุณต้องเลิกจ้างผู้กำกับเสีย ไล่เขาไปให้พ้นเสียด้วย ไล่แรงๆ ไป๊.. บอกว่าไปให้พ้น ไล่แบบไม่ต้องเกรงใจกันเลย แล้วก็เผื่อใจไว้เลยนะ ไล่ออกไปทางประตูเดี๋ยวพี่แกก็จะค่อยๆโผล่หัวมาพากย์ทางหน้าต่าง แต่ว่าคุณอย่าไปสนใจคำพูดของผู้กำกับ พูดก็พูดไป ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง แต่ไม่สนใจ ให้สนใจความรู้สึก (feeling) สดๆที่กำลังเกิดขึ้น อย่าเอาคำพูดเข้าไปตั้งชื่อเรียก แต่ให้รับรู้ฟีลลิ่งด้วยการรู้สึกเอาแทน ไม่ใช่ด้วยการเข้าใจมันผ่านภาษา เรียกว่ารับรู้ด้วยวิธี "รู้" ไม่ใช่ด้วยวิธี "คิด" พูดอย่างนี้จะงงไหมเนี่ย ให้ลองทำ แล้วจะค่อยๆเก็ทเอง เรากำลังหายใจเข้า อย่าให้มีคำพูดว่า "หายใจเข้า" เกิดขึ้นในหัว แต่สนใจความรู้สึกว่าหน้าอกกำลังกระเพือมขึ้น รอบๆรู้จมูกรับรู้ว่าลมกำลังวิ่งผ่านเข้ามา สนใจ feeling บนร่างกาย ไม่สนใจคำพูดในหัว หายใจออกรู้สึกซู่ซ่าไปทั่วตามขุมขน อย่าให้มีคำว่าซู่ซ่าเกิดขึ้นในหัว แต่ให้รู้สึกเอาจากรูขุมขนว่ามันมีความซู่ซ่าเกิดขึ้น ่เพราะปัจจุบันที่แท้จริงนั้นไม่มีเรื่องราวใดๆ ไม่มีภาษาแม้แต่คำเดียว มีแต่การรับรู้ความรู้สึก (ไม่ใช่ความคิด) ทีเกิดขึ้นใหม่ๆซิงๆที่เดี๋ยวนี้ ทีละขณะ ทีละขณะ ใหม่ๆจะรู้สึกว่าประดักประเดิดมากเพราะนักพากย์ไม่ยอมไปไหน จะต้องคอยพากย์อยู่นั่นแหละ แต่ให้เพิกเฉยต่อเขาเสีย สมมุติเองง่ายๆว่าเรานั่งอยู่นี้นั่งอยู่แบบคนหัวขาด จินตนาการตัดส่วนศีรษะหรือสมองทิ้งไปเสียก่อน ร่างกายเหลือแต่มือ เท้า แขน ลำตัว ขา เข่า เท้า สนใจรับรู้ความรู้สึกตรงจากร่างกายส่วนที่เหลือโดยไม่ยุ่งกับหัวหรือสมอง เพราะนักพากย์นั่งทำงานที่หัวหรือที่สมอง การสมมุติแบบนี้จะได้หลบเขาพ้น
การอยู่กับปัจจุบันคือการไม่มีความคิดเลย เป็นการอยู่กับความรู้สึก (feeling หรือ sensation) ที่เกิดขึ้น ณ เดี๋ยวนี้ล้วนๆ เป็นการรับรู้ตามที่มันเป็น ไม่มีภาษามาเกี่ยวข้องเลย ไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียวเข้ามายุ่งด้วย ไม่มีเรื่องราว ไม่อยากได้อะไร อยากจะหนีอะไร ไม่มีทั้งสิ้น ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้หมดแบบยอมรับยอมแพ้ไม่มีเงื่อนไข หากมีคำพูดแม้แต่คำเดียวโผล่เข้ามาในหัว นั่นเราถูกดูดเข้าไปอยู่ในความคิดซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในมิติของเวลาไปเสียแล้ว เราหลุดจากปัจจุบันไปแล้ว การอยู่กับปัจจุบันเป็นการอยู่กับสิ่งที่มีปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้วที่เดี๋ยวนี้ (What is) ไม่มีเรื่องราวประกอบ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับว่าสิ่งนี้มันควรจะเป็นอย่างไรต่อไป (What should be?)
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คืออย่าไปทำอะไรโดยหวังผล เช่นทำเพื่อจะเอาความหลุดพ้น จะเอารางวัลชีวิต เพราะการทำอะไรโดยมีความหวังในผลนั่นคือกระบวนการคิด ให้เปลี่ยนเป็นการทำอะไรแบบการทดลองแค่อยากรู้แต่ไม่คาดการณ์ ออกหัวหรือออกก้อยก็ช่างแต่ขอลองดูเพราะอยากรู้อยากสำรวจ ออกหัวหรือออกก้อยก็ได้ทั้งนั้น ไม่สนใจด้วย สนใจแค่จะลองทำดู การย้ายความสนใจมาที่การลองทำดูแทนการสนใจว่าผลลัพท์จะออกหัวหรือออกก้อย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะอยู่กับปัจจุบัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์