นักศึกษาแพทย์ กับการทุจริตในห้องสอบ

สวัสดีค่ะคุณหมอ หนูมีเรื่องอัดอั้นใจเรื่องอยากมาปรึกษาคุณหมอค่ะหวังว่าคุณหมอคงไม่เบื่อนะคะ แหะๆ
เรื่องมีอยู่ว่า หนูรู้สึกไม่โอเคกับการทุจริตในการสอบอย่างมากค่ะ ขอบอกก่อนว่า หนูเป็นคนรักความยุติธรรมมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว และไม่เคยคิดจะลอกหรือโกงข้อสอบเลยค่ะ อย่างที่หนูบอกว่าหนูเรียนจบแล้ว ตอนเรียนสมัยนั้นยังเรียนกับหนังสือ กับชีท ทำให้เวลาสอบไม่ค่อยเห็นคนทุจริตค่ะ อาจเพราะตรวจเข้มด้วย แล้วก็ไม่มีข้อสอบเก่าด้วยค่ะ  แต่พอหนูมาเข้าเรียนแพทย์ แล้วต้องเรียนกับไอแพดทุกคน (ซึ่งหนูไม่ถนัด หนูชอบอ่านหนังสือมากกว่า) หนูก็พบว่ามีคนทุจริตในการสอบเยอะเลยค่ะหากต้องสอบในไอแพด เช่น สอบย่อย ทำควิซอะไรแบบนี้ อ.ชอบส่งมาให้ทำผ่านแอปค่ะ มันเลยเปิดดูชีทในไอแพดได้ พอคนนึงทำอีกคนก็ทำตามกันหมดแล้วอ.ก็ไม่รู้ด้วย หรือไม่ใส่ใจก็ไม่ทราบ หลายคนอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับหนูมองว่ามันอึดอัดใจมาก หนูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย จะมีการสอบไปเพื่ออะไร ถ้าเราทำด้วยความสามารถของเราจริงๆแต่เพื่อนแค่เปิดก็ได้คะแนนเต็มแล้ว พอหนูเริ่มเห็นบ่อยๆหนูก็เริ่มเถียงกับตัวเองว่าเราจะซื่อสัตย์ไปทำไม สังคมก็ดูเราจากภายนอก จากเกรดอยู่แล้ว เปิดดูชีทแล้วได้คะแนนเต็มไปก่อนแล้วค่อยไปอ่านทีหลังไม่ดีกว่าหรอ อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ แล้วอีกอย่างคือเรื่องข้อสอบเก่าที่ไม่เท่าเทียมกัน บางคนได้จากรุ่นพี่เยอะ บางคนไม่ได้ ถ้าเพื่อนไม่ส่งต่อให้ก็จะไม่รู้เรื่อง และที่สำคัญอ.หลายคนก็ไม่ค่อยเปลี่ยนข้อสอบ ใครได้ข้อสอบเก่าที่รุ่นพี่จดก็ได้คะแนนเยอะไป หนูมองว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ถ้าได้ก็ต้องได้กันหมด ตอนเรียนที่เก่าไม่เป็นแบบนี้ อาจเพราะเป็นคณะที่ต้องเขียนเยอะเลยไม่ค่อยมีข้อสอบเก่าค่ะ  ปล.ช่วงโควิดนี้ก็ให้สอบออนไลน์กันเยอะ ถึงแม้จะให้ตั้งกล้องยังไงก็ตามมันก็ทุจริตกันได้อยู่ดี บางทีเห็นเพื่อนหลายๆคนได้คะแนนเต็ม ก็มองมาที่ตัวเองว่านี่ชั้นโง่ที่ทำได้แค่ไหนหรอ หรือเพื่อนโกง นี่สับสนไปหมดแล้วค่ะ
สรุปคือ หนูอยากถามหมอสันต์ว่า หมอสันต์คิดเห็นยังไงกับเรื่องทุจริตในการสอบ แล้วหนูควรจะไม่ทำตามเพื่อน หรือ ทำไปก่อนแล้วค่อยไปอ่านเอาอีกทีดีคะ เพราะยังไงคนก็ตัดสินเราที่คะแนนอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ? หนูควรวางใจยังไงดีกับเรื่องนี้คะ
ยาวหน่อยค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ :)

...........................................................................

ตอบครับ

     1. ถามว่าจะโกงการสอบย่อยไปกับเพื่อนๆดีไหม เพราะไหนๆเขาก็เปิดให้โกงได้แล้ว ตอบว่าคุณต้องดูก่อนว่าการที่คุณมานั่งสอบย่อยนี้มีวัตถุประสงค์อะไร การสอบในการเรียนแพทย์มีเป้าหมายสองอย่างนะ คือ

     1.1 เพื่อประมวลการเรียนการสอนว่าสอนๆไปมันเวอร์คหรือเปล่า (formative examination) จะได้เอาผลมาปรับปรุงแก้ไขวิธีการเรียนการสอน

     1.2 เพื่อประเมินความรู้ของนักศึกษาว่าได้ครบตามวัตถุประสงค์หรือยัง หรือพูดง่ายๆว่าสอบเลื่อนชั้น (summative examination)

     การสอบเล็กๆน้อยที่คุณเล่ามาเป็นการสอบด้วยวัตถุประสงค์ formative evaluation ครูได้ประโยชน์ในแง่ว่าการสอนของตัวเองใช้ได้ไหม นักศึกษาได้ประโยชน์ในแง่จะได้ใช้เวลาที่นั่งสอบอ่านโจทย์คิดตอบคำถามนั้นประมวลความรู้ของตัวเองว่าตัวเองรู้อะไรไม่รู้อะไรแค่ไหน ถ้าเราไปมัวหลบๆซ่อนๆเพื่อคัดลอกคำตอบเอาคะแนนดีๆ เราก็พลาดโอกาสที่จะได้อาศัยการเสียเวลาที่มานั่งสอบเป็นการประมวลความรู้ของเราไป ส่วนคะแนนเก็บนั้นมันเป็นแค่น้ำจิ้มที่ครูใช้เป็นเครื่องมือบีบให้นักศึกษามานั่งสอบ มันไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของการสอบหรอก

     เพราะการสอบในรูปแบบ summative ที่แท้จริงคือการสอบใบประกอบโรคศิลป์เมื่อจบแพทย์แล้วซึ่งเป็นการสอบในระดับประเทศและต้องไปนั่งสอบนอกสถาบันของเรานะ การขยันโกงคะแนนเก็บในการสอบย่อยไม่ได้มีประโยชน์อะไรในการเตรียมตัวเราไปสู่การสอบใหญ่นี้ เพราะการสอบใหญ่นี้ไม่เอาคะแนนเก็บมายุ่ง ผมเชื่อคุณว่านักศึกษาแพทย์จำนวนหนึ่งโกงคะแนนเก็บถ้าโกงได้ แต่นักศึกษาแพทย์แบบนี้แหละที่ไปสอบตกตอนสอบใบประกอบโรคศิลป์แบบตกแล้วตกอีก บางคนสอบตั้งสิบกว่าครั้งก็ยังไม่ผ่าน คือสอบกันตั้งแต่หนุ่มจนแก่ก็ยังไม่ผ่าน ก็เพราะไม่มีความรู้จริงทำให้โอกาสสอบผ่านมีน้อย

     ดังนั้นผมแนะนำให้คุณมียุทธศาสตร์ในการเรียนที่เอื้อให้คุณเรียนจบมาเป็นหมอที่ดีดีกว่า คือใช้การสอบย่อยประเมินความรู้ของตัวเองแล้วปรับปรุงความรู้เพื่อความพร้อมในการสอบใหญ่ คนอื่นเขาจะโกงกันระเบิดเถิดเทิงก็ช่างเขาเถอะ เพราะในชีวิตการทำงานจริงๆคนที่คิดแต่จะโกงกฎกติกาทุกชนิดทุกลมหายใจนั้นจะมีอยู่รอบตัวคุณเหมือนลิงที่ยั้วเยี้ยเวลาคุณไปเที่ยวศาลพระกาฬเลยทีเดียว ช่างพวกเขาเถอะ คนทุกคนล้วนมีสองด้านคือมีทั้งด้านที่เข้าท่ากับด้านที่ไม่เข้าท่า ด้านที่ไม่เข้าท่าคุณก็อย่าไปตามเขาเลย คุณไม่ต้องไปเปรียบเทียบคะแนนเก็บกับพวกเขาด้วย เหมือนเมื่อคุณจบเป็นหมอแล้วคุณก็ไม่เห็นจะต้องไปเปรียบเทียบความร่ำรวยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันเลยใช่ไหมละ และที่คิดว่าชีวิตเราต้องขึ้นกับการตัดสินใจของสังคมภายนอกนั่นก็เป็นการเข้าใจชีวิตที่ผิดไปนะ ชีวิตคุณจะดีหรือไม่ดีมีความสุขหรือไม่มีอยู่ที่ใจของคุณ ไม่ใช่อยู่ที่สังคมเขาจะมองคุณว่ายากดีมีจนอย่างไร แล้วในการเป็นคนบ้าดี ก็อย่าบ้าดีจนตัวเองเป็นบ้า คืออย่าไปฮึดฮัดกับคนอื่นที่เขาไม่บ้าดีเหมือนเรา ดังนั้น ขอแค่คุณยึดมั่นกับยุทธศาสตร์หลักในการเรียนของคุณคือทำอย่างไรให้คุณมีความรู้จริงไปสอบใบประกอบโรคศิลป์ให้ผ่านและไปเป็นหมอที่ช่วยเหลือคนเจ็บไข้ได้จริง โดยไม่ต้องหลบๆซ่อนๆเป็นหมอกำมะลอหลอกคนไปวันๆเพราะกลัวคนอื่นจะรู้ความจริงว่าเราไม่มีความรู้ความสามารถอะไรที่จะรักษาเขาได้ แค่นี้พอแล้ว คนอื่นจะเอาหัวเดินต่างตีนก็ช่างเขาเถอะ

     2. ถามว่าทำไมอาจารย์ถึงขี้เกียจออกข้อสอบใหม่ ทำให้นักศึกษาจำข้อสอบเก่ามาบอกต่อๆกันเป็นแบบความลับที่มอบให้แก่น้องเลิฟเท่านั้น นักศึกษาที่มีพี่เลิฟขยันจำข้อสอบเก่าก็ได้เปรียบ ทำให้การสอบไม่ยุติธรรม

     ทำไมอาจารย์ขี้เกียจออกข้อสอบใหม่นะหรือ หิ หิ ตอบว่าเพราะการออกข้อสอบใหม่มันยาก มันต้องใช้เวลา ต้องเอาไปทดสอบตามหลักการศึกษาว่ามันวัดผลได้จริง สู้หยิบข้อสอบเก่าๆมาใช้ใหม่ดีกว่ามันง่ายดี ตัวผมเองสมัยที่สอนอยู่ก็เป็นอาจารย์แบบนี้ คือแบบขี้เกียจ กำลังทำงานยุ่งๆ อ้าวเลขาโทรศัพท์มาว่าเขาจะเอาข้อสอบบอร์ดห้าข้อ จะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งคิดให้ละ เอาของเก่านั่นแหละ ง่ายดี

     ส่วนที่คุณท้วงติงว่าการที่ข้อสอบเก่ารั่วออกมาผ่านการจดจำมาบอกต่อทำให้เกิดความไม่ยุติธรรม อันนี้มันเป็นชีวิตจริงที่น่าขบขันของวงการแพทย์ไทย เป็นกันกับการสอบทุกระดับ แม้การสอบบอร์ดผู้เชี่ยวชาญของแต่ละสาขาซึ่งถือเป็นการสอบระดับสูงสุดก็เป็นแบบนี้ คือรุ่นพี่ของแต่ละสถาบันมีหน้าที่หลักอย่างหนึ่งคือแบ่งกันจำข้อสอบ แบ่งกันไปเลย คุณจำข้อ 1-10 ผมจำข้อ 11-20 ประมาณนี้ พอออกจากห้องสอบก็รีบจดบันทึก เพื่อเอาไปให้รุ่นน้องสถาบันของตนท่องไปเข้าสอบปีหน้า เพราะรู้อยู่แล้วว่าอาจารย์ส่วนหนึ่งที่เป็นคนขี้เกียจอย่างอาจารย์สันต์ไม่มีปัญญาออกของสอบใหม่หรอก แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วใครจะมาแก้ไขความน่าขบขันอันนี้ ตอบว่าผมไม่ทราบ เพราะผมไม่ต้องรับผิดชอบออกข้อสอบแล้ว ของผมหมดอายุความรอดตัวไปแล้ว หุ..หุ

     3. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่คุณเขียนมาก็ดีแล้ว ผมขอถือโอกาสนี้เทศน์เสียเลย เพราะอาจารย์ของคุณอาจไม่ได้พูดให้คุณฟังในประเด็นนี้เนื่องจากมันไม่มีในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต คือในการเป็นแพทย์ทุกสาขานี้พื้นฐานที่สำคัญมันมีอยู่สามอย่าง คือ

     ความรู้ (knowledge) 
     ทักษะ (skill) และ
     ดุลพินิจ (judgment)

     สิ่งที่ผมจะไฮไลท์กับคุณวันนี้คือเรื่องการเป็นคนมีดุลพินิจที่ดี มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณฝึกตัวเองมาแบบคนที่เป็นตัวของตัวเองมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่เด็ก คุณต้องฝึกทำตัวเองให้เป็นคนที่ตัวเองนับถือได้ คือเมื่อคุณมองหน้าตัวเองในกระจกแล้วคุณยกมือไหว้คนในกระจกนั้นได้อย่างเต็มใจ คุณจึงจะมาเป็นแพทย์ที่มีความสุขในชีวิตได้ เพราะในอาชีพแพทย์มันมีอะไรที่จะทำให้ดุลพินิจของคุณไขว้เขวได้มาก มากกว่าการโกงหรือไม่โกงการสอบเพื่อเอาคะแนนเก็บหลายเท่า ในชีวิตจริงของการเป็นแพทย์ คุณต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางวิธีทำการตลาดของบริษัทยา บริษัทเครื่องมือแพทย์ นโยบายยอดขายของนักธุรกิจเจ้าของโรงพยาบาลในกรณีที่คุณทำรพ.เอกชน นโยบายขายผ้าเอาหน้ารอดของเจ้านายของคุณเองกรณีคุณทำราชการ แสงวูบวาบของแหวนเพชรที่นิ้วมือของคนไข้ ความอยากได้เงินมาเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวในฐานะที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวดึงให้ดุลพินิจของคุณไขว้เขว มันเป็นตัวดึงที่แรงเสียยิ่งกว่าการอยากโกงการสอบย่อยเพื่อให้ได้คะแนนเก็บดีๆหลายเท่านัก

     นับแต่อดีตมาถึงวันนี้ น่าภาคภูมิใจที่แพทย์รุ่นพี่ๆธำรงรักษาดุลพินิจของท่านมาดี วงการแพทย์ไทยและอาชีพแพทย์จึงเป็นที่นับถือของผู้คนอย่างที่คุณเห็นทุกวันนี้ วันหนึ่งหากคนรุ่นคุณซึ่งแค่คะแนนเก็บการสอบย่อยก็ทำให้ไขว้เขวได้แล้วมาดูแลวงการแพทย์ไทยต่อจากรุ่นพี่ๆที่ทะยอยแก่ตายกันไปตามปกติ คุณอยากให้วงการแพทย์ไทยเป็นแบบไหน นั่นอยู่ที่ดุลพินิจของคุณนะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

..................................................

จดหมายจากท่านผู้อ่าน
"..หมอที่ทุจริตคือหมอโง่และชั่ว พอออกมาได้ก็จะไปได้ไม่เท่าไร พอผลกรรมดีที่เคยมีมาหมดอาจแย่ไปเลย คนที่มีพื้นฐานไม่ดี ยังไงก็เป็นหมอที่ดีได้ยากมากๆ.."

..................................................

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี