จดหมายจากนางสาวผู้ยังไม่ทันได้เจนจัดอะไรในชีวิต
เรียน คุณหมอที่เคารพ
หนูตกตะกอนข้อคิดจากคำแนะนำที่คุณหมอเขียนเรื่อง ขอความรักบ้างได้ไหม เมื่อหลายเดือนก่อน หนูอ่านหลายรอบมากค่ะ และพยายามทำความเข้าใจ จนคิดว่าพอเข้าใจตามสมควร
หนูทิ้งระยะเวลาหลายเดือน เพื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง แม้หนูจะสามารถจำเนื้อหาทั้งหมดได้ แต่หนูก็ขอยอมรับว่าหนูยังปฏิบัติไม่ได้ทั้งหมด แต่หนูพยายามอย่างมากในการรู้ตัวอยู่กับชีวิตตรงหน้า หนูเคยเรียนการละครค่ะ ได้ acting เกรด A หนูคิดว่าพอจะเข้าใจประเด็นที่คุณหมอแนะนำให้หนูสวมบทบาทเป็นเจ้าหญิงให้กับความคิดที่เกิดในโลกทัศน์ของความรัก หนูคิดว่าหนูพอทำได้ด้วยนะคะในเรื่องความรัก รวมถึงเรื่องงานและเรื่องชีวิตในมิติอื่น
หนูรู้สึกดีใจค่ะที่หนูได้เข้าใจเรื่องการรู้ตัวในวันนี้ ณ เดี๋ยวนี้ หนูดีใจและอยากขอบพระคุณคุณหมอที่แนะนำหนู เมื่อนึกถึงคำว่าความรักในแบบที่คุณหมอเขียนให้หนูเข้าใจ หนูก็นึกถึงแต่รักที่แม่มอบให้หนู หนูก็คิดว่าหนูเจอความรักอยู่แล้ว เจอมาตั้งแต่เกิดด้วย รวมถึงพ่อด้วย แม้อาจไม่เท่าแม่ แต่หนูคิดว่าก็คงเป็นชนิดเดียวกัน
หนูเลยคิดว่าความรักเป็นของที่หนูควรมอบให้คนอื่นบ้าง ทุกวันนี้หนูก็พยายามลดความเห็นแก่ตัวลงไปเท่าที่จะทำได้ มอบความรักให้คนที่อยู่ในแต่ละมิติของชีวิตหนูตามสมควร จากที่เคยรำคาญน้องสาวน้องชาย ก็รับฟังน้องและอยากใช้เวลาอยู่กับน้องให้มากที่สุด จากที่เคยคิดว่านิสิตและเพื่อนร่วมงานเป็นแค่ทางผ่าน ก็พยายามจริงใจและช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ รับฟังและมีมิตรภาพที่ดีให้ จากที่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทเป็นคนที่ต้องช่วยเรา หนูก็พยายามเต็มที่กับเพื่อนในทุกเรื่อง ใส่ใจและไม่เอาเปรียบ
จากที่เคยคิดว่าคนหนุ่มที่คุยด้วยต้องเป็นดั่งใจหนู ก็ลดละความคิดนั้นไป บางครั้งที่หนูคิดถึงเฉพาะความต้องการของหนู หนูจะยั้งความคิดไว้ แล้วชอบจินตนาการวางมันไว้ข้างตัวค่ะ หนูไม่อยากจะเชื่อว่าหนูหยุดความคิดนั้นได้ หนูคิดว่าเรื่องการรู้ตัวนั้น เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้หนูวางความคิดก้อนนั้นไว้ข้างตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบทบาทสมมติที่หนูมักนึกถึงเพื่อเตือนตัวเอง
หนูเพียงแต่อยากส่งข้อความมาขอบพระคุณคุณหมอที่แนะนำหนู หนูอ่านทุกบรรทัดและซ้ำหลายรอบ รวมถึงเรื่องของบุคคลอื่นด้วย ที่หนูประทับใจอย่างมากอีกเรื่องและมีผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนปริญญาเอกของหนู ก็คือเรื่องที่คุณหมอแนะนำคุณหมอท่านหนึ่งเรื่องการเรียนต่อที่ให้เอาความสงบในใจมาเป็นเป้าหมายในชีวิต หนูเข้าใจสิ่งนั้น และใช้มันลดความสะเปะสะปะในการเลือกเส้นทางเรียนต่อได้มาก หนูกำลังจะสมัครเรียนต่อทั้งในไทยและต่างประเทศโดยไร้ความกดดันค่ะ หนูตั้งใจว่าจะเรียนต่อทาง Health Informatics ค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
.....................................................
ตอบครับ
คุณไม่ได้ถามอะไร ผมจึงไม่ต้องตอบ แต่ขอถือโอกาสที่คุณเขียนเข้ามาไฮไลท์ให้ท่านผู้อ่านบล็อกท่านอื่นเห็นว่าสิ่งที่นางสาวท่านนี้จับประเด็นได้และนำไปใช้ในชีวิตจริงคือ
(1) รู้จัก "ความรู้ตัว" ว่าเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ จนสามารถสังเกตเห็นความคิดของตัวเองได้ และ "วาง" ความคิดนั้นไว้ข้างตัวก่อนได้
(2) รู้จักความรักในแบบเมตตาธรรมไม่เลือกหน้า จนเปลี่ยนตัวเองมา "ให้" กับคนรอบข้างทั้งที่เป็นคนสำคัญหรือไม่สำคัญในแบบที่นอกจากจะไม่รำคาญพวกเขาอย่างเคยแล้วยังเต็มใจเต็มที่ด้วย
(3) รู้จัก "ละคอนชีวิต" ว่ามันเป็นเพียงบทบาทสมมุติ (อาศัยที่เรียนการละคอนมาก่อน) และเอามันไปใช้ใด้ในเรื่องความรัก เรื่องการเรียน และการใช้ชีวิต
(4) รู้จักมอง "ความสงบสุขที่ภายใน" ว่าเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตแทนที่จะมองแต่ความคิด ความคิด ความคิด
นี่ ภาษาเหนือเขาเรียกว่า..เน็ดขนาด เป็นแฟนบล็อกหมอสันต์ต้องให้ได้อย่างนี้นะครับ นี่ขนาดเป็นแค่นางสาวที่วัยยังไม่ทันได้มีความเจนจัดอะไรในชีวิตเลยนะ ยังได้ถึงขนาดนี้เลย
และไหนๆก็หยิบจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาแล้ว ผมขอเขียนต่อยอดในบางประเด็นที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน ดังนี้
ประเด็นที่ 1. ศิลปะการทิ้งระห่างสักนิด
เพื่อเป็นการต่อยอดเรื่องศิลปะการเล่นละคอนชีวิต มีสมาชิก SR ท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า
"โห จะให้ยอมรับยอมแพ้ทุกอย่างในปัจจุบันเลยเหรอ ผมทำไม่ได้หรอก"
ผมก็เลยบอกว่า
"ยอมรับยอมแพ้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ทิ้งระยะห่างสักนิดหนึ่งได้ไหม"
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทำอะไรแบบครึ่งใจหรือ half hearted นะ แต่ผมหมายถึงการเต็มที่เต็มร้อยกับทุกคนกับทุกอย่างในชีวิตแต่ไม่ยึดติดหากสิ่งภายนอกตัวเราเปลี่ยนไป เมื่อเรามีความรักเราก็มีความรักเต็มร้อย แต่เมื่อเขาเปลี่ยนไปทั้งๆที่เราให้เขาเต็มร้อยเราก็ยอมรับได้เพราะเราคือความรู้ตัว เราไม่ใช่ความคิดที่ปักใจว่าเขาจะต้องไม่เปลี่ยน เราทิ้งระยะนิดหนึ่งไว้เผื่อเรียบร้อยแล้ว ว่าอะไรก็ตามที่อยู่นอกตัวเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ประเด็นที่ 2. วิธีมีความสุขในชีวิตกับวิธีประสบความสำเร็จในธุรกิจการงานนั้นไม่เหมือนกัน
การจะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหรือทำหน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งการศึกษาในระบบมหาลัย คุณจะต้องทุ่มเท เอาจริงเอาจริงจัง เก็บข้อมูลไว้ในหัวเพื่อตุนเอาไว้ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด คุณจึงจะประสบความสำเร็จ แต่การจะมีความสุขในชีวิต หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าการจะหลุดพ้นหรือบรรลุธรรมนั้นตรงกันข้ามนะ ยิ่งคุณทุ่มเทจริงจังหรือยิ่งเก็บข้อมูลไว้ใช้มาก คุณยิ่งล้มเหลวไม่เป็นท่าไม่มีทางที่จะหลุดพ้นไปไหนได้ คุณจะต้องผ่อนคลาย ต้องปล่อยวาง ทิ้ง ทิ้ง ทิ้ง หรือให้ ให้ ให้ ทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากตัวให้มากที่สุดคุณจึงจะหลุดพ้น หรือจึงจะบรรลุ
ประเด็นที่ 3. หมากับคนต่างกันมากที่สุดที่ตรงไหน
ตรงนี้ผมจะขยายความเรื่องที่ท่านเจ้าของจดหมายฉบับนี้เขียนว่า
"บางครั้งที่หนูคิดถึงเฉพาะความต้องการของหนู หนูจะยั้งความคิดไว้ แล้วชอบจินตนาการวางมันไว้ข้างตัวค่ะ"
ถ้าผมถามว่า "หมากับคนใครมีความสุขมากกว่ากัน" มีบางคนอาจจะตอบว่าหมามีความสุขมากกว่า เพราะหมามีปัญหาเฉพาะเวลามันท้องหิวหรือฤดูติดสัด นอกฤดูติดสัดหรือเมื่อท้องมันอิ่มแล้วมันหลับปุ๋ยสบายไม่เคยมีปัญหาอะไร ส่วนคนนั้นเวลาท้องหิวก็มีหนึ่งปัญหาเหมือนหมา แต่เวลาท้องอิ่มแล้วคนมีร้อยปัญหา เพราะคนมีคุณสมบัติที่หมาไม่มีคือเชาวน์ปัญญาของเราเอง เชาว์ปัญญานี้แบ่งง่ายๆเป็นสองส่วนคือความจำและจินตนาการ ทั้งสองส่วนนี้แหละที่ทำให้คนเป็นทุกข์ จินตนาการนั้นเป็นที่มาของความกลัว เพราะความกลัวก็คือจินตนาการถึงสิ่งเลวๆในอนาคต นั่นเป็นเหตุทำให้คนทั่วไปล้วนมีความทุกข์ แต่ท่านผู้อ่านท่านนี้ใช้จินตนาการเป็นเครื่องมือวางความคิดแทนที่จะใช้มันเป็นเครื่องมือสร้างความกลัวให้ตัวเอง
จะเห็นว่าเชาวน์ปัญญานี้มันเหมือนกับมีดคม ไม่มีใครกล้าให้เด็กถือมีดคม เพราะเด็กยังไม่มีความสามารถที่จะถือของมีคมให้นิ่งๆและใช้ตัดหรือกรีดอะไรอย่างบรรจงได้ หากให้มีดคมๆเขาไป เขาจะเผลอตัดเนื้อตัวเองเข้า แล้วพวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วล้วนมีมีดคมอยู่ในมือ เราใช้งานมันเป็นหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีความสามารถที่จะถือของมีคมให้นิ่งๆและใช้ตัดหรือกรีดอะไรที่เมื่อสมควรใช้ได้ เราก็จะกรีดตัวเองเหวอะหวะไปทั่ว การจะพัฒนาความสามารถที่จะวางมีดเมื่อควรวาง หยิบมีดเมื่อควรหยิบขึ้นมา ก็ต้องฝึกฝน อย่างเจ้าของจดหมายท่านนี้ที่ฝึกตัวเองมาถึงขั้นที่วางมีดคมเมื่อควรจะวางได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนูตกตะกอนข้อคิดจากคำแนะนำที่คุณหมอเขียนเรื่อง ขอความรักบ้างได้ไหม เมื่อหลายเดือนก่อน หนูอ่านหลายรอบมากค่ะ และพยายามทำความเข้าใจ จนคิดว่าพอเข้าใจตามสมควร
หนูทิ้งระยะเวลาหลายเดือน เพื่อกลับมาอ่านอีกครั้ง แม้หนูจะสามารถจำเนื้อหาทั้งหมดได้ แต่หนูก็ขอยอมรับว่าหนูยังปฏิบัติไม่ได้ทั้งหมด แต่หนูพยายามอย่างมากในการรู้ตัวอยู่กับชีวิตตรงหน้า หนูเคยเรียนการละครค่ะ ได้ acting เกรด A หนูคิดว่าพอจะเข้าใจประเด็นที่คุณหมอแนะนำให้หนูสวมบทบาทเป็นเจ้าหญิงให้กับความคิดที่เกิดในโลกทัศน์ของความรัก หนูคิดว่าหนูพอทำได้ด้วยนะคะในเรื่องความรัก รวมถึงเรื่องงานและเรื่องชีวิตในมิติอื่น
หนูรู้สึกดีใจค่ะที่หนูได้เข้าใจเรื่องการรู้ตัวในวันนี้ ณ เดี๋ยวนี้ หนูดีใจและอยากขอบพระคุณคุณหมอที่แนะนำหนู เมื่อนึกถึงคำว่าความรักในแบบที่คุณหมอเขียนให้หนูเข้าใจ หนูก็นึกถึงแต่รักที่แม่มอบให้หนู หนูก็คิดว่าหนูเจอความรักอยู่แล้ว เจอมาตั้งแต่เกิดด้วย รวมถึงพ่อด้วย แม้อาจไม่เท่าแม่ แต่หนูคิดว่าก็คงเป็นชนิดเดียวกัน
หนูเลยคิดว่าความรักเป็นของที่หนูควรมอบให้คนอื่นบ้าง ทุกวันนี้หนูก็พยายามลดความเห็นแก่ตัวลงไปเท่าที่จะทำได้ มอบความรักให้คนที่อยู่ในแต่ละมิติของชีวิตหนูตามสมควร จากที่เคยรำคาญน้องสาวน้องชาย ก็รับฟังน้องและอยากใช้เวลาอยู่กับน้องให้มากที่สุด จากที่เคยคิดว่านิสิตและเพื่อนร่วมงานเป็นแค่ทางผ่าน ก็พยายามจริงใจและช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ รับฟังและมีมิตรภาพที่ดีให้ จากที่เคยคิดว่าเพื่อนสนิทเป็นคนที่ต้องช่วยเรา หนูก็พยายามเต็มที่กับเพื่อนในทุกเรื่อง ใส่ใจและไม่เอาเปรียบ
จากที่เคยคิดว่าคนหนุ่มที่คุยด้วยต้องเป็นดั่งใจหนู ก็ลดละความคิดนั้นไป บางครั้งที่หนูคิดถึงเฉพาะความต้องการของหนู หนูจะยั้งความคิดไว้ แล้วชอบจินตนาการวางมันไว้ข้างตัวค่ะ หนูไม่อยากจะเชื่อว่าหนูหยุดความคิดนั้นได้ หนูคิดว่าเรื่องการรู้ตัวนั้น เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญที่ทำให้หนูวางความคิดก้อนนั้นไว้ข้างตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องบทบาทสมมติที่หนูมักนึกถึงเพื่อเตือนตัวเอง
หนูเพียงแต่อยากส่งข้อความมาขอบพระคุณคุณหมอที่แนะนำหนู หนูอ่านทุกบรรทัดและซ้ำหลายรอบ รวมถึงเรื่องของบุคคลอื่นด้วย ที่หนูประทับใจอย่างมากอีกเรื่องและมีผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนปริญญาเอกของหนู ก็คือเรื่องที่คุณหมอแนะนำคุณหมอท่านหนึ่งเรื่องการเรียนต่อที่ให้เอาความสงบในใจมาเป็นเป้าหมายในชีวิต หนูเข้าใจสิ่งนั้น และใช้มันลดความสะเปะสะปะในการเลือกเส้นทางเรียนต่อได้มาก หนูกำลังจะสมัครเรียนต่อทั้งในไทยและต่างประเทศโดยไร้ความกดดันค่ะ หนูตั้งใจว่าจะเรียนต่อทาง Health Informatics ค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
.....................................................
ตอบครับ
คุณไม่ได้ถามอะไร ผมจึงไม่ต้องตอบ แต่ขอถือโอกาสที่คุณเขียนเข้ามาไฮไลท์ให้ท่านผู้อ่านบล็อกท่านอื่นเห็นว่าสิ่งที่นางสาวท่านนี้จับประเด็นได้และนำไปใช้ในชีวิตจริงคือ
(1) รู้จัก "ความรู้ตัว" ว่าเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ จนสามารถสังเกตเห็นความคิดของตัวเองได้ และ "วาง" ความคิดนั้นไว้ข้างตัวก่อนได้
(2) รู้จักความรักในแบบเมตตาธรรมไม่เลือกหน้า จนเปลี่ยนตัวเองมา "ให้" กับคนรอบข้างทั้งที่เป็นคนสำคัญหรือไม่สำคัญในแบบที่นอกจากจะไม่รำคาญพวกเขาอย่างเคยแล้วยังเต็มใจเต็มที่ด้วย
(3) รู้จัก "ละคอนชีวิต" ว่ามันเป็นเพียงบทบาทสมมุติ (อาศัยที่เรียนการละคอนมาก่อน) และเอามันไปใช้ใด้ในเรื่องความรัก เรื่องการเรียน และการใช้ชีวิต
(4) รู้จักมอง "ความสงบสุขที่ภายใน" ว่าเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตแทนที่จะมองแต่ความคิด ความคิด ความคิด
นี่ ภาษาเหนือเขาเรียกว่า..เน็ดขนาด เป็นแฟนบล็อกหมอสันต์ต้องให้ได้อย่างนี้นะครับ นี่ขนาดเป็นแค่นางสาวที่วัยยังไม่ทันได้มีความเจนจัดอะไรในชีวิตเลยนะ ยังได้ถึงขนาดนี้เลย
และไหนๆก็หยิบจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาแล้ว ผมขอเขียนต่อยอดในบางประเด็นที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน ดังนี้
ประเด็นที่ 1. ศิลปะการทิ้งระห่างสักนิด
เพื่อเป็นการต่อยอดเรื่องศิลปะการเล่นละคอนชีวิต มีสมาชิก SR ท่านหนึ่งเคยบอกผมว่า
"โห จะให้ยอมรับยอมแพ้ทุกอย่างในปัจจุบันเลยเหรอ ผมทำไม่ได้หรอก"
ผมก็เลยบอกว่า
"ยอมรับยอมแพ้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ทิ้งระยะห่างสักนิดหนึ่งได้ไหม"
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะให้ทำอะไรแบบครึ่งใจหรือ half hearted นะ แต่ผมหมายถึงการเต็มที่เต็มร้อยกับทุกคนกับทุกอย่างในชีวิตแต่ไม่ยึดติดหากสิ่งภายนอกตัวเราเปลี่ยนไป เมื่อเรามีความรักเราก็มีความรักเต็มร้อย แต่เมื่อเขาเปลี่ยนไปทั้งๆที่เราให้เขาเต็มร้อยเราก็ยอมรับได้เพราะเราคือความรู้ตัว เราไม่ใช่ความคิดที่ปักใจว่าเขาจะต้องไม่เปลี่ยน เราทิ้งระยะนิดหนึ่งไว้เผื่อเรียบร้อยแล้ว ว่าอะไรก็ตามที่อยู่นอกตัวเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ประเด็นที่ 2. วิธีมีความสุขในชีวิตกับวิธีประสบความสำเร็จในธุรกิจการงานนั้นไม่เหมือนกัน
การจะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจหรือทำหน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งการศึกษาในระบบมหาลัย คุณจะต้องทุ่มเท เอาจริงเอาจริงจัง เก็บข้อมูลไว้ในหัวเพื่อตุนเอาไว้ใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด คุณจึงจะประสบความสำเร็จ แต่การจะมีความสุขในชีวิต หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่าการจะหลุดพ้นหรือบรรลุธรรมนั้นตรงกันข้ามนะ ยิ่งคุณทุ่มเทจริงจังหรือยิ่งเก็บข้อมูลไว้ใช้มาก คุณยิ่งล้มเหลวไม่เป็นท่าไม่มีทางที่จะหลุดพ้นไปไหนได้ คุณจะต้องผ่อนคลาย ต้องปล่อยวาง ทิ้ง ทิ้ง ทิ้ง หรือให้ ให้ ให้ ทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากตัวให้มากที่สุดคุณจึงจะหลุดพ้น หรือจึงจะบรรลุ
ประเด็นที่ 3. หมากับคนต่างกันมากที่สุดที่ตรงไหน
ตรงนี้ผมจะขยายความเรื่องที่ท่านเจ้าของจดหมายฉบับนี้เขียนว่า
"บางครั้งที่หนูคิดถึงเฉพาะความต้องการของหนู หนูจะยั้งความคิดไว้ แล้วชอบจินตนาการวางมันไว้ข้างตัวค่ะ"
ถ้าผมถามว่า "หมากับคนใครมีความสุขมากกว่ากัน" มีบางคนอาจจะตอบว่าหมามีความสุขมากกว่า เพราะหมามีปัญหาเฉพาะเวลามันท้องหิวหรือฤดูติดสัด นอกฤดูติดสัดหรือเมื่อท้องมันอิ่มแล้วมันหลับปุ๋ยสบายไม่เคยมีปัญหาอะไร ส่วนคนนั้นเวลาท้องหิวก็มีหนึ่งปัญหาเหมือนหมา แต่เวลาท้องอิ่มแล้วคนมีร้อยปัญหา เพราะคนมีคุณสมบัติที่หมาไม่มีคือเชาวน์ปัญญาของเราเอง เชาว์ปัญญานี้แบ่งง่ายๆเป็นสองส่วนคือความจำและจินตนาการ ทั้งสองส่วนนี้แหละที่ทำให้คนเป็นทุกข์ จินตนาการนั้นเป็นที่มาของความกลัว เพราะความกลัวก็คือจินตนาการถึงสิ่งเลวๆในอนาคต นั่นเป็นเหตุทำให้คนทั่วไปล้วนมีความทุกข์ แต่ท่านผู้อ่านท่านนี้ใช้จินตนาการเป็นเครื่องมือวางความคิดแทนที่จะใช้มันเป็นเครื่องมือสร้างความกลัวให้ตัวเอง
จะเห็นว่าเชาวน์ปัญญานี้มันเหมือนกับมีดคม ไม่มีใครกล้าให้เด็กถือมีดคม เพราะเด็กยังไม่มีความสามารถที่จะถือของมีคมให้นิ่งๆและใช้ตัดหรือกรีดอะไรอย่างบรรจงได้ หากให้มีดคมๆเขาไป เขาจะเผลอตัดเนื้อตัวเองเข้า แล้วพวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วล้วนมีมีดคมอยู่ในมือ เราใช้งานมันเป็นหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีความสามารถที่จะถือของมีคมให้นิ่งๆและใช้ตัดหรือกรีดอะไรที่เมื่อสมควรใช้ได้ เราก็จะกรีดตัวเองเหวอะหวะไปทั่ว การจะพัฒนาความสามารถที่จะวางมีดเมื่อควรวาง หยิบมีดเมื่อควรหยิบขึ้นมา ก็ต้องฝึกฝน อย่างเจ้าของจดหมายท่านนี้ที่ฝึกตัวเองมาถึงขั้นที่วางมีดคมเมื่อควรจะวางได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์