หนูอยากค้นหาตัวเองให้เจอค่ะ

เรียน คุณหมอสันต์ค่ะ
           สวัสดีค่ะ หนูชื่อ ... นะคะ อายุ 29 ปี จบป.ตรีสาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพค่ะ ปัจุบันหนูทำงานอยู่ในบ.เอกชนแห่งหนึ่งมาประมาณ 5 ปี ทั้งนี้หนูได้ศึกษา ป.โท ไปด้วยค่ะ ซึ่งขณะนี้ใกล้สำเร็จการศึกษาแล้ว
ปัญหา :  หนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนชอบเรียน ชอบศึกษาหาความรู้อยู่เสมอค่ะ หนูชอบไปแสวงหาอะไรใหม่ๆ ชอบไปเที่ยวตามสถานที่ใหม่ๆ โดยเฉพาะต่างประเทศ ชอบดูผู้คน วิถีชีวิต แต่หนูกลับไม่รู้เลยว่าตัวตนของเราหรือความสุขของเราจริงๆคืออะไร ทั้งๆที่ในวัยเด็กจนถึงมหาวิทยาลัยหนูเป็นคนที่มีผลการเรียนดีมากนะคะ อยู่ในเกณฑ์ 3.00 - 4.00 ตลอด
         หนูสังเกตตัวเองว่าเป็นคนมีความจำดีค่ะ หนูจึงชอบเรียนภาษา เวลาหนูอ่านหนังสือเพียงหนึ่งรอบ หนูจะสามารถจำชื่อคน จำข้อความ หรือจำนวนเกี่ยวกับตัวเลขได้ทันทีค่ะ
         ขณะนี้หนูพบว่างานที่ทำเป็นงานลักษณะ routine ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือพัฒนาทักษะอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาตามจำนวนปีที่ล่วงเลยไปเลย
        ในบางครั้งหนูเป็นคนบ้าเงินด้วยค่ะ หนูคิดเพียงว่าอยากมีเงินเยอะๆ หนูจึงชอบหางานพิเศษทำ เช่น เป็นติวเตอร์สอนหนังสือเด็ก, ไปเปิดท้ายขายของ แต่ในระยะหลังมานี้หนูกลับรู้สึกว่าหนูชอบเรียนรู้มากกว่า และอยากค้นพบตัวเองสักทีว่าเราชอบอะไรกันแน่ ที่ผ่านมาหนูจึงคิดเพียงว่าอยากมีวุฒิสูงๆ จึงตัดสินใจเรียนป.โทไว้ก่อน บวกกับเรียนภาษาเพิ่มเติม
        เคยมีคนบอกหนูว่าถ้าอยากรู้ว่าเราชอบอะไรจริงๆ ให้ลองตัดเรื่องเงินออกไป เช่นอาจจะลาอออกจากงานไปพักเบรคชีวิต ดูอะไรใหม่ๆ เจอคนใหม่ๆ หรือไปตามสถานที่ใหม่ดู แต่หนูก็ยังตัดสินใจไม่ได้เลยค่ะ ว่าจะเป็นไปในแนวทางไหนดี
ความหวัง :  หนูอยากขอให้คุณหมอช่วยชี้แนะหนูทีนะคะ อยากค้นหาตัวเองให้เจอค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
จาก นางสาว ... (โทรศัพท์ ...)

...............................................................

ตอบครับ

ประเด็นที่ 1. จะตามหาพาสชั่น (passion) พบได้อย่างไร

     คนสมัยใหม่พากันตามหาพาสชั่น เหมือนอย่างคำพูดที่ติดหูว่า follow your passion ถ้าตามหาเจอแล้วก็โอเค. ทำสิ่งที่คุณชอบ ทำไปเถอะ แต่สำหรับคนที่ยังหาพาสชั่นของตัวเองไม่เจออย่างคุณ ผมจะบอกว่าในความเป็นจริงพาสชั่นคือความรู้สึกอิ่มเอิบเมื่อได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักชอบหรือเสน่หา ดังนั้นพาสชั่นนี้เป็น feeling หรือภาษาบาลีเรียกว่าเวทนา มันไม่ใช่ความคิด มันไม่ใช่งานอาชีพหรืองานอดิเรก แต่มันเป็นพลังงานซู่ซ่าฟู่ฟ่าที่เกิดจากแรงความสนใจของคุณต่ออะไรก็ได้ที่อยู่ตรงหน้าคุณ การตามหาพาสชั่นจึงไม่มีทางหาพบหากไปหาในความคิด แต่ต้องหาเอาจากกิจกรรมที่ก่อความรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานเมื่อได้ทำ นั่นหมายความว่าจะหาพาสชั่นเจอก็ต้องมีกิจกรรมทำ กิจกรรมที่เริ่มหาทำได้ง่ายที่สุดก็คือกิจกรรมที่ขยายออกไปจากงานประจำในชีวิตประจำวันนั่นแหละ ดังนั้นผมแนะนำให้คุณไม่ต้องไปวิ่งตามหาพาสชั่นที่ไหนไกล ให้คุณใช้เวลาและความสนใจพุ่งไปที่การทดลองแก้ปัญหาใดๆใกล้ๆในงานหรือในชีวิตส่วนตัวในแบบหรือในแง่มุมที่คุณชอบทำ มองหาปัญหาที่คุณจะช่วยแก้ไขได้ แล้วทำตัวเป็นคนใจกว้าง เที่ยวไปช่วยใครๆทำโน่นนี่นั่นโดยไม่หวังอะไรตอบแทน คนเขาก็จะมาขอบคุณมาชื่นชม คุณอาจเกิดความรู้สึกดีๆขึ้น นั่นแหละ พาสชั่นมันอยู่ตรงนั้น ตรงที่เมื่อคุณรู้สึกฟู่ฟ่าซู่ซ่าเมื่อความพยายามหรือพลังงานของคุณช่วยใครบางคนที่กำลังต้องการมันได้ ในการทำอย่างนี้ถ้าคนใกล้ชิดเขาข้องใจว่าคุณมัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปวิ่งตามหาพาสชั่นของตัวเองให้พบอย่างคนอื่นเขา คุณก็ตอบเขาไปง่ายๆก่อนว่าพาสชั่นของคุณคือการได้ช่วยคนอื่น แล้วคุณก็กำลังทำมันอยู่นี่ไง

ประเด็นที่ 2. การใช้ชีวิตไม่ใช่การวิ่งตามหาพาสชั่น แต่คือการที่พาสชั่นวิ่งตามคุณมา

     สมัยผมเป็นเด็กนักเรียน ผมเลี้ยงไก่เก็บไข่ขาย ผมจึงเป็นคนชอบไก่ หมายถึงไก่เจี๊ยบๆ ทุกวันนี้เวลาขับรถไปทางไหนมีไก่อยู่ข้างถนนหรือเดินข้ามถนนผมจะจอดรถดู เรียกว่าผมมีพาสชั่นกับการเลี้ยงไก่ปลูกผัก แต่เมื่อจบมัธยมแล้วก็ไม่เคยมีโอกาสได้เลี้ยงไก่ปลูกผัก ผมตั้งต้นด้วยการไปเรียนเกษตรแม่โจ้ แล้วก็มาเรียนม.เกษตรบางเขน แต่อยู่ๆน้องสาวก็ป่วย ผมต้องพักการเรียนมาพาน้องสาวกลับไปดูแลที่บ้าน พอน้องหายแล้วผมก็ลืมเรื่องเลี้ยงไก่ไปเลย ผมอยากเป็นหมอ เพราะพลังงานที่เกิดขึ้นในใจเมื่อผมได้ดูแลน้องสาว พาสชั่นผมเปลี่ยนไปแล้วเห็นไหม พาสชั่นมันเป็นของที่เปลี่ยนได้เพราะมันเป็นแค่ feeling พอผมเรียนจบแพทย์ผมชอบความกว้างขวางผสานเชื่อมโยงกันไปทุกทิศทุกทางของวิชาแพทย์จึงตั้งใจจะไปเป็นหมอจับฉ่ายอยู่บ้านนอกรักษามันหมดทุกโรคหรือไม่ก็เป็นหมออายุรกรรมซึ่งเป็นเวทีเรียนรู้กว้างขวางที่สุดในอาชีพนี้ แต่ขณะเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ก็ได้พบกับหมอฝรั่งที่มาทำงานที่รพ.ที่ผมฝึกงานอยู่ก็เกิดความประทับใจในลีลาวิธีคิดวิธีตัดสินใจของหมอฝรั่ง จึงอยากไปทำงานเมืองนอกบ้าง อ้าว พาสชั่นของผมเปลี่ยนไปอีกละ บ้านนอกไม่เอาแล้วจะไปเมืองนอกแทน อะไรก็ได้ขอให้ได้ไปเมืองนอก แล้วโอกาสที่โผล่มาก็คือถ้าจะไปเมืองนอกต้องทำสาขาที่ไม่มีใครทำจึงจะไปได้ง่าย นั่นคือต้องทำสาขาศัลยกรรมทรวงอก ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสนุกกับการเป็นหมอผ่าตัดก็ต้องมาเป็นหมอผ่าตัดเพราะอยากไปเมืองนอก ไปเมืองนอกให้ได้ก่อน กลับมาแล้วค่อยไปเป็นหมอจับฉ่ายอยู่บ้านนอกก็ได้ เมื่อได้ไปทำงานเมืองนอกสมใจแล้วจึงได้พบว่าการฝึกผ่าตัดหัวใจมันต้องฝึกทักษะการใช้มืออย่างมาก เพราะผมเป็นคนมือสั่น เนื่องจากในใจมันมีความคิดฟุ้งสร้านแยะ ทุกเย็นผมต้องเอาอุปกรณ์เย็บไหมไปฝึกเย็บหลอดเลือดหัวใจหมูที่ใส่ตู้เย็นไว้ที่บ้าน ทำอย่างนี้ทุกวัน น่าเบื่อก็ต้องทน เพราะถ้าทักษะไม่ดีก็จะทำงานผ่าตัดหัวใจไม่สำเร็จ แต่การทำอย่างนี้ก็ทำให้ผมต้องจดจ่อเวลาฝึกเย็บแล้วเกิดความรู้สึกซู่ซ่ามีพลังขึ้นมาจากการได้จดจ่อทำอะไรจนลืมเวลา อ้าว ผมมีพาสชั่นใหม่อีกละ คือการผ่าตัด ซึ่งเป็นพาสชั่นที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผมมีทักษะจนทำสิ่งนั้นได้ดีแล้ว แสดงว่าพาสชั่นนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการฝึกฝนทักษะจนทำเรื่องที่ทำอยู่ได้ดี ที่เล่าให้ฟังนี้จะชี้ประเด็นว่าพาสชั่นของเราไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วรอให้เราไปค้นพบ ไม่ใช่เลย การวิ่งตามพาสชั่นโดยคาดหมายว่าเรามีพาสชั่นอยู่แล้วมันหายไปหรือเราลืมแล้วเราไปตามหามันจะไม่พบนะ เพราะในชีวิตจริงพาสชั่นของจริงเกิดขึ้นเมื่อเราทำอะไรที่เรากำลังทำอยู่อย่างจริงจังจนทำได้ดี นึกภาพถ้าผมมัวแต่วิ่งตามหาไก่ซึ่งเป็นพาสชั่นขนานแท้และดั้งเดิมของผม ผมก็จะพลาดโอกาสที่จะมีความสุขซู่ซ่าฟู่ฟ่ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมในหลายๆโอกาส หลายๆขณะ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับไก่เลย

ประเด็นที่ 3. พาสชั่นควรสมยอมกับการทำมาหากิน ไม่ใช่ต่อต้าน

      พาสชั่นกับความสามารถเป็นคนละเรื่องกันนะ ถ้าเป็นงานอดิเรก โอเค. ให้พาสชั่นนำทางคุณได้ แต่ถ้าเป็นงานทำมาหาเลี้ยงชีพ ใครจะมาขอยืมเงินผมไปทำอาชีพที่เป็นพาสชั่นของเขาเองผมไม่ให้ยืมหรอกนะ เพราะผมกลัวเขาเจ๊งผมจะไม่ได้เงินคืน ในการจะทำมาหากิน คุณต้องใช้ชีวิตให้ไหลไปตามโอกาสที่โผล่มาหา ไม่ใช่จะเอาแต่ไปตามพาสชั่นของคุณท่าเดียว คุณถามเด็กนักเรียนสิว่าอะไรเป็นพาสชั่นของพวกเขา เกือบทั้งหมดเป็นเรื่อง ร้อง รำ เต้น ศิลปะ วาดรูป กีฬา ดนตรี ทำหนัง เล่นละเม็งละคร แต่ในตลาดแรงงานมีงานอาชีพพวกนี้ให้ทำกี่เปอร์เซ็นต์ คนส่วนใหญ่เฮโลไปหางานในฝันแต่ไม่มีงานให้ทำ ส่วนงานที่นายจ้างประกาศหาแล้วประกาศหาอีกกลับไม่มีคนทำ เพราะไม่มีใครทำเป็นหรือรังเกียจที่จะทำด้วยอ้างว่ามันไม่ใช่พาสชั่นของตัวเอง งานต่ำๆที่คนอื่นไม่ยอมทำจึงกลายเป็นทางเปิดโล่งโจ้งให้คนฉลาดได้ฉวยโอกาสเข้าไปทำ ทำแล้วก็ได้เงินแน่นอนแถมยังจะเกิดทักษะใหม่ๆ เกิดทักษะแล้วก็จะเกิดความชอบหรือพาสชั่นกับงานนั้นตามมา ดังนั้นถ้าคุณไม่ใช่ลูกเศรษฐีคาบช้อนทองมาระดับมีเงินใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด ผมแนะนำว่าให้เริ่มเสาะหาพาสชั่นของคุณผ่านงานง่ายๆต่ำๆที่มีแต่คนอยากจ้างแต่ไม่มีใครยอมทำ มันไม่สำคัญที่คุณจะเริ่มทำอะไร แต่มันสำคัญที่ทำแล้วคุณจะไปต่ออย่างไร

ประเด็นที่ 4. ถ้าคุณยืนยันจะไปวิ่งตามหาพาสชั่น

     ผมแนะนำคุณดังนี้

     1. อย่ามองหาความคิด แต่ให้มองหาพลังงาน มองหาความรู้สึกซู่ซ่าฟู่ฟ่า ถูกจริต ถูกใจจนเนื้อเต้น ใจเต้นตูมตาม อะไรที่ทำแล้วเกิดไฟชาร์ตขึ้นในตัวคุณ มัน energize คุณ นั่นแหละ ใช่เลย

     2. อย่าเอาพาสชั่นไปปะปนกับสัญชาติญาณ (instinct) สัญชาติญาณเป็นธรรมชาติของร่างกายในฐานะที่เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง อยู่ใต้อิทธิพลของฮอร์โมนและสารเคมี เช่นความหิว การอยากมีเซ็กซ์ เป็นต้น อย่าไปวิ่งตามสัญชาติญาณด้วยความเข้าใจผิดว่ากำลังวิ่งตามพาสชั่น

     3. อย่าไปรับแรงกดดันจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ญาติมิตรเพื่อนฝูงซึ่งต่างก็มีพาสชั่นที่ดีในเวอร์ชั่นของเขาเอง แต่มันไม่ใช่พาสชั่นของคุณ ให้คุณปลีกวิเวกหลีกเร้นผู้คนสักสามวันเจ็ดวัน ถามตัวเองว่าอะไรที่คุณทำแล้วคุณจะละอายตัวเองในยี่สิบสามสิบปีข้างหน้าให้คุณตัดทิ้งไปก่อน อย่าแม้แต่จะคิดทำ เพราะหากวันหน้าคุณปฏิเสธไม่ยอมรับตัวเองขึ้นมาเมื่อใดเท่ากับว่าคุณเป็นศัตรูของตัวคุณเองไปเสียแล้ว อนาคตของคุณก็มีทางไปทางเดียว คือ..ฆ่าตัวตาย อะไรที่คุณเห็นว่าถ้าคุณทำแล้วคุณน่าจะสนุก และไปภายหน้าคุณจะไม่มานั่งตำหนิตัวเองด้วยการทำสิ่งนี้ คุณลงมือทำเลย ถ้ามีหลายอย่างก็ลองลงมือทำไปทีละอย่าง ยังทำได้ไม่ดีก็สร้างทักษะขึ้นมาจนทำได้ดี มันสนุกไหม ถ้าสนุกก็ทำต่อ ถ้าไม่สนุกก็ไปลองอันถัดไป

     4. การจะหยิบฉวยสิ่งที่ก่อพาสชั่น อย่าไปรอตรวจสอบหรือปรึกษาสมองอันขี้ขลาดของตัวเอง เมื่อเกิดความคิดจะทำอะไรที่กระตุ้นพลังงานความตื่นตัวของคุณได้ รีบลงมือทำเลย ใช้หลักการจุดบั้งไฟสมัยที่ผมเป็นเด็ก คือเมื่อจะจุดบั้งไฟ ไม่ต้องคิดมาก รีบจ่อไฟเข้ากับสายชะนวนแล้วเอามืออุดหูกระโดดหลบหมอบแนบกับคันนา แล้วนับเสียงดัง หนึ่ง สอง สาม เฟี้ยว..ว อย่าทิ้งเวลาให้สมองผู้ขี้ขลาดของคุณได้ทันคิดไตร่ตรอง เพราะถ้าให้เวลาสมองของคุณไตร่ตรอง คุณไม่มีวันได้ทำ เพราะสมองของเราคือความคิดวินิจฉัย มันมีธรรมชาติขี้ขลาดกับอะไรที่มันไม่เคยทำเสมอ แต่พาสชั่นเป็นพลังงาน มันซิงค์หรือเชื่อมโยงกับปัญญาญาณ ซึ่งรู้ว่าคุณควรทำอะไรใหม่ที่คุณไม่เคยทำ สมัยนี้การจะทำอะไรทำอย่างไรไม่ยากแล้วเพราะแค่กูเกิ้ลหาคุณก็รู้แล้ว แต่มันยากที่การชิงลงมือทำก่อนที่สมองอันขี้ขลาดของคุณจะเข้ามาเทคโอเวอร์

     5. มองย้อนไปดูกิจกรรมในอดีตของตัวเองก็ได้ มีกิจกรรมอะไรบ้างที่คุณยอมเสียเงินไปทำโดยไม่ได้เงินตอบแทนเลย หรือมีกิจกรรมอะไรบ้างที่ว่างจากงานภาคบังคับแล้วคุณเป็นต้องแว้บไปทำ หรืออะไรที่คุณทำแล้วเพลินลืมวันลืมเวลา หรือมองย้อนไปถึงวัยเด็กโน่นว่าอะไรบ้างที่คุณทำแล้วมันสนุก นั่นแหละจุดเริ่มต้น นี่เป็นสูตรของฝรั่ง

     6. จะเอาสูตรของหมอสันต์เพียวๆก็ได้นะ คือผมมองว่าสิ่งที่ควรค่าแก่การเสาะแสวงหามากที่สุดในชีวิตนี้มีอยู่อย่างเดียวคือการกลับไปเป็น "ความรู้ตัว" ชีวิตประกอบด้วย (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) ความรู้ตัว ทั้งหมดสามส่วนอยู่ในตัวคุณนี่แหละ คุณแสวงหาในนี้พอ ไม่ต้องไปเสาะหาอะไรที่ไหนอื่นอีกแล้ว ค้นหาให้รู้ว่าทั้งสามส่วนของชีวิตนี้มันมีกลไกการทำงานอย่างไร มันก่อความสุขความทุกข์ให้คุณได้อย่างไร ทำอย่างไรคุณจึงจะอยู่กับมันและใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มศักยภาพและมีความสุขด้วย ซึ่งแน่นอนคุณต้องแยกให้ออกว่าความคิดก็เป็นส่วนหนึ่ง ร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่ง ตัวคุณอันหมายถึงความรู้ตัวก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะถอยความสนใจออกจากความคิดมาจอดนิ่งอยู่ในความรู้ตัวเฝ้าสังเกตยอมรับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวตามที่มันเป็นโดยไม่พิพากษาหรือใส่สีตีไข่ใส่อารมณ์หรือคาดหวังว่ามันควรเป็นอย่างไร แล้วคุณก็จะได้สัมผัสกับความสงบเย็นของความรู้ตัว นั่นแหละ พาสชั่นของแท้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี