ให้ชีวิตนี้เป็นการแสดงออกของความเบิกบานจากในตัวเองไปสู่ภายนอก
ปัจจุบันอายุ 58 ปี(ชาย)งานไม่ได้ทำแล้ว เงินทองมีใช้ไม่ขาดมือ ตอนนี้มีอาการเบื่อไปหมดทุกอย่างอาหารก็กินไม่ค่อยลงสิ่งที่เคยชอบก็ไม่ชอบไปทุกอย่าง กลายเป็นคนไม่มีกิจกรรมอะไรเลยในชีวิตตอนนี้คิดก็คิดลบไปหมดกลัวนี่กังวลนั่นห่วงลูกห่วงหลานไปหมด ชีวิตไม่มีความสุขเลย เรียนถามหมอสันต์ว่าผมต้องมีวิธีคิดอย่างไรดีและช่วยชี้ทางออกของชีวิตด้วยหาทางออกไม่เจอ
ขอขอบคุณคุณหมอมา ณ.โอกาศนี้มากครับ
......................................................
ตอบครับ
1. ประเด็นธรรมชาติของมนุษย์
ธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเป็นหมาแมว เมื่อท้องมันหิว มันมีหนึ่งปัญหา แล้วมันก็ดิ้นรนจนท้องอิ่ม พอท้องมันอิ่ม มันหมดป้ญหา หลับปุ๋ยสบาย
แต่มนุษย์ถ้าท้องยังหิว มนุษย์ก็มีหนึ่งปัญหาเหมือนกัน ต้องดิ้นรนหากินให้ท้องอิ่มเหมือนกัน แต่พอท้องอิ่มแล้วคราวนี้มนุษย์จะมีเป็นร้อยปัญหาเลยเชียว เหมือนอย่างที่คุณยกตัวอย่างว่ากลัวนี่กังวลนั่นห่วงลูกห่วงหลานและเหนือสิ่งอื่นใด..เบื่อ..อ...อ เพราะมนุษย์มีของดีสองอย่างที่เหนือกว่าสัตว์คือความจำและจินตนาการ แต่ใช้ไม่เป็น ของดีนี้จึงกลายเป็นของมีคมที่ทิ่มตำตัวเอง
2. ประเด็นวิธีเอาชนะความเบื่อ
ความเบื่อเป็นผลจากการปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปอย่างการขับเครื่องบินแบบ autopilot คือเมื่อคุณพกพาความทรงจำไว้ในหัวได้มากจำนวนหนึ่ง ทุกอย่างในชีวิตก็คือความซ้ำซากซ้ำแล้วซ้ำอีกของเก่าหมุนวนผลัดกันขึ้นมาในหัวไม่รู้จบ จนปิดโอกาสที่จะได้สำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆในชีวิตที่เดี๋ยวนี้ไปเสียเกลี้ยง ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ถ้าคุณรู้จักวางมันไว้ข้างๆแล้วหยิบมันมาใช้เมื่อต้องการ แต่มันจะกลายเป็นพิษต่อคุณขึ้นมาทันทีถ้าคุณปล่อยให้มันเล่นวิ่งวนซ้ำซากอยู่ในหัว เพราะเมื่อความซ้ำซากเกิดขึ้นเมื่อใด คุณก็หมดโอกาสที่จะรับรู้หรือยอมรับสิ่งใหม่ๆในชีวิตที่เดี๋ยวนี้ ความซ้ำซาก (repetitive) ทำให้เกิดความด้านชาต่อการรับรู้สิ่งใหม่ (non-receptive) เมื่อคุณเลิกรับรู้สิ่งใหม่ ความมหัศจรรย์หรือ wonder ในชีวิตก็ไม่มี คุณก็เลยเบื่อ..อ...อ
บางโมเมนต์คุณดูเหมือนจะสนใจแสวงหาความสุขขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ซึ่งเป็นการแสวงหาเอาจากสิ่งที่อยู่ข้างนอกตัว แต่แทบจะร้อยครั้งในร้อยครั้ง คุณพบว่ามันไม่ใช่ แล้วคุณก็กลับจ๋อยไปเป็นเบื่อเหมือนเดิม เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นมันเป็นความสงบเย็นเบิกบานที่เกิดขึ้นที่ข้างใน คุณไปหาข้างนอกให้ตายก็หาไม่พบ คนที่เขามีความสุขกับการทำนั่นทำนี่กับผู้คนเยอะแยะ ทำอย่างมีชีวิตชีวา ทำอย่างไม่เบื่อเสียด้วย แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาทำคือเขาแสดงออก (express) หรือแพร่ความเบิกบานในใจของตัวเขาเองออกไปสู่คนรอบตัว คนอย่างนั้นใครๆก็อยากมาอยู่ใกล้ชิดเขา ไม่ใช่เขามีชีวิตชีวาเพราะเขาหาความสุขเก่ง แต่เพราะเขาเผื่อแผ่ความสุขในใจของเขาออกไปให้ผู้อื่นรอบๆตัวเขา หากคุณอยากจะหายเบื่อ อยากจะมีชีวิตที่มีชีวิตชีวาบ้าง ให้คุณเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตในแต่ละวันเสียใหม่ ตื่นเช้ามาให้ถามตัวเองว่าวันนี้คุณจะแพร่ความสุขความเบิกบานในใจคุณออกไปให้คนอื่นอย่างไร คุณอาจจะแย้งว่าคุณกำลังเบื่ออยู่นะ คุณจะเอาความสุขที่ไหนไปเผื่อแผ่ให้คนอื่น เหอะน่า เชื่อผม ที่ส่วนลึกในใจเราทุกคน ลึกลงไปถึงตรงที่ไม่มีความคิด มันเป็นความสงบเย็นเบิกบาน มันอยู่ในตัวคุณนั่นแหละ คุณไม่เห็นเพราะความเบื่อซึ่งเป็นความคิดมันบังไว้ คุณทำอย่างที่ผมว่าไปก่อนเถอะ ถ้าคุณยังเขิน ทำกับคนตัวเป็นๆยังไม่ถนัด ก็ทำกับหมาแมวหรือแม้แต่กับต้นไม้หรือกับเสาไฟฟ้าก่อนก็ได้ วิธีทำก็คือยิ้มให้มัน ทักทายมัน แสดงให้มันเห็นว่าคุณเบิกบาน แล้วชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปทันทีเป็นคนละคน
3. ประเด็นความกังวล
ในแง่ของความกังวลกลัวนั่นกลัวนี่ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎต่อคุณที่นี่เดี๋ยวนี้ พอมีสิ่งไม่ดีเข้ามา คุณก็พยายามหนีไปอยู่ในรูปของความกังวลหรือกลัว แต่ผมแนะนำให้คุณมองชีวิตเสียใหม่ ทุกอย่างที่เข้ามาหามาสู่คุณที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นขี้หมาเป็นของน่ารังเกียจ แต่คุณโยนขี้หมาใส่ต้นกุหลาบ มันจะกลายเป็นดอกกุหลาบที่สวยงามนะ นี่คือฝีมือของพลังธรรมชาติ ในการเกิดมาในชีวิตหนึ่งนี้ คุณก็เหมือนต้นกุหลาบ ถ้าคุณรู้จักเปิดยอมรับยอมแพ้และไหลไปตามอะไรก็ตามที่ถูกโยนมาใส่คุณ มันจะทำให้คุณงอกงามส่งกลิ่นหอมเช่นดอกกุหลาบทั้งสิ้น เพราะมันเป็นกลไกของพลังธรรมชาติ คุณไม่ได้มาอยู่ที่นี่แบบมาของคุณเองและอยู่ได้ด้วยตัวคุณเองนะ คุณมาที่นี่และอยู่ที่นี่อย่างเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ซึ่งขับเคลื่อนโดยพลังธรรมชาติที่มีความลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์เสมอ
4. ประเด็นทางที่ผมชี้ให้คุณเดินไป
ขั้นต่อไป ถัดไปจากการยอมรับปัจจุบันก็คือผมจะให้คุณเรียนรู้ที่จะเสกหรือเป่ามนต์ดลบันดาลทุกอย่างขึ้นมาจากศักยภาพของความเป็นมนุษย์ของคุณเอง ผมจะแนะวิธีการขั้นเบสิกให้คุณนะ ทุกอย่างที่เป็นสิ่งใหญ่ๆในชีวิตนี้ เช่น ผืนดินผืนหญ้าที่คุณเหยียบย่างไป อากาศที่คุณหายใจ น้ำที่คุณดื่ม ความว่างอันกว้างใหญ่ที่คุณยืนอยู่ที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ให้คุณปฏิสัมพันธ์ (involve) กับมันอย่างละเอียดลึกซึ้ง ด้วยความรู้สึก (feeling) นะ ไม่ใช่ด้วยความคิด เป็นส่วนหนึ่งของมันแต่อย่าไปบิดเบือนเปลี่ยนแปลงอะไร สิ่งใหญ่ๆของชีวิตที่ผมพูดมาเหล่านี้มันมีปัญญาญาณที่ละเอียดลึกซึ้งฝังแฝงอยู่ คุณสามารถเข้าถึงและเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาญาณนั้นได้โดยไม่ต้องพยายามเอาปัญญาหิ่งห้อยที่คุณเรียนรู้มาจากความทรงจำของบุคคลสมมุติคนหนึ่งไปตีความอะไรมัน นี่เป็นการเริ่มออกเดินทางฝ่าข้ามขอบเขตคุมขังของสำนึกว่าเป็นบุคคล เสมือนการเดินทางของลมในฟองสบู่ที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ลมนั้นจะฝ่าข้ามดันผิวของฟองสบู่ให้แตกออก แล้วไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศภายนอกอันไม่มีขอบเขตสิ้นสุด ผิวของฟองสบู่ก็คือการสำคัญมั่นหมาย (identification) อย่างผิดๆว่าความเป็นบุคคลของคุณนี้เป็นของจริงๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ มนุษย์ทุกคนมีความสามารถจะฝ่าข้ามการสำคัญมั่นหมายผิดๆนี้ไปได้ และผมกำลังชี้ให้คุณเดินไปทางนี้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ขอขอบคุณคุณหมอมา ณ.โอกาศนี้มากครับ
......................................................
ตอบครับ
1. ประเด็นธรรมชาติของมนุษย์
ธรรมชาติของมนุษย์ก็เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเป็นหมาแมว เมื่อท้องมันหิว มันมีหนึ่งปัญหา แล้วมันก็ดิ้นรนจนท้องอิ่ม พอท้องมันอิ่ม มันหมดป้ญหา หลับปุ๋ยสบาย
แต่มนุษย์ถ้าท้องยังหิว มนุษย์ก็มีหนึ่งปัญหาเหมือนกัน ต้องดิ้นรนหากินให้ท้องอิ่มเหมือนกัน แต่พอท้องอิ่มแล้วคราวนี้มนุษย์จะมีเป็นร้อยปัญหาเลยเชียว เหมือนอย่างที่คุณยกตัวอย่างว่ากลัวนี่กังวลนั่นห่วงลูกห่วงหลานและเหนือสิ่งอื่นใด..เบื่อ..อ...อ เพราะมนุษย์มีของดีสองอย่างที่เหนือกว่าสัตว์คือความจำและจินตนาการ แต่ใช้ไม่เป็น ของดีนี้จึงกลายเป็นของมีคมที่ทิ่มตำตัวเอง
2. ประเด็นวิธีเอาชนะความเบื่อ
ความเบื่อเป็นผลจากการปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปอย่างการขับเครื่องบินแบบ autopilot คือเมื่อคุณพกพาความทรงจำไว้ในหัวได้มากจำนวนหนึ่ง ทุกอย่างในชีวิตก็คือความซ้ำซากซ้ำแล้วซ้ำอีกของเก่าหมุนวนผลัดกันขึ้นมาในหัวไม่รู้จบ จนปิดโอกาสที่จะได้สำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆในชีวิตที่เดี๋ยวนี้ไปเสียเกลี้ยง ความทรงจำเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ถ้าคุณรู้จักวางมันไว้ข้างๆแล้วหยิบมันมาใช้เมื่อต้องการ แต่มันจะกลายเป็นพิษต่อคุณขึ้นมาทันทีถ้าคุณปล่อยให้มันเล่นวิ่งวนซ้ำซากอยู่ในหัว เพราะเมื่อความซ้ำซากเกิดขึ้นเมื่อใด คุณก็หมดโอกาสที่จะรับรู้หรือยอมรับสิ่งใหม่ๆในชีวิตที่เดี๋ยวนี้ ความซ้ำซาก (repetitive) ทำให้เกิดความด้านชาต่อการรับรู้สิ่งใหม่ (non-receptive) เมื่อคุณเลิกรับรู้สิ่งใหม่ ความมหัศจรรย์หรือ wonder ในชีวิตก็ไม่มี คุณก็เลยเบื่อ..อ...อ
บางโมเมนต์คุณดูเหมือนจะสนใจแสวงหาความสุขขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ซึ่งเป็นการแสวงหาเอาจากสิ่งที่อยู่ข้างนอกตัว แต่แทบจะร้อยครั้งในร้อยครั้ง คุณพบว่ามันไม่ใช่ แล้วคุณก็กลับจ๋อยไปเป็นเบื่อเหมือนเดิม เพราะความสุขที่แท้จริงนั้นมันเป็นความสงบเย็นเบิกบานที่เกิดขึ้นที่ข้างใน คุณไปหาข้างนอกให้ตายก็หาไม่พบ คนที่เขามีความสุขกับการทำนั่นทำนี่กับผู้คนเยอะแยะ ทำอย่างมีชีวิตชีวา ทำอย่างไม่เบื่อเสียด้วย แท้จริงแล้วสิ่งที่เขาทำคือเขาแสดงออก (express) หรือแพร่ความเบิกบานในใจของตัวเขาเองออกไปสู่คนรอบตัว คนอย่างนั้นใครๆก็อยากมาอยู่ใกล้ชิดเขา ไม่ใช่เขามีชีวิตชีวาเพราะเขาหาความสุขเก่ง แต่เพราะเขาเผื่อแผ่ความสุขในใจของเขาออกไปให้ผู้อื่นรอบๆตัวเขา หากคุณอยากจะหายเบื่อ อยากจะมีชีวิตที่มีชีวิตชีวาบ้าง ให้คุณเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตในแต่ละวันเสียใหม่ ตื่นเช้ามาให้ถามตัวเองว่าวันนี้คุณจะแพร่ความสุขความเบิกบานในใจคุณออกไปให้คนอื่นอย่างไร คุณอาจจะแย้งว่าคุณกำลังเบื่ออยู่นะ คุณจะเอาความสุขที่ไหนไปเผื่อแผ่ให้คนอื่น เหอะน่า เชื่อผม ที่ส่วนลึกในใจเราทุกคน ลึกลงไปถึงตรงที่ไม่มีความคิด มันเป็นความสงบเย็นเบิกบาน มันอยู่ในตัวคุณนั่นแหละ คุณไม่เห็นเพราะความเบื่อซึ่งเป็นความคิดมันบังไว้ คุณทำอย่างที่ผมว่าไปก่อนเถอะ ถ้าคุณยังเขิน ทำกับคนตัวเป็นๆยังไม่ถนัด ก็ทำกับหมาแมวหรือแม้แต่กับต้นไม้หรือกับเสาไฟฟ้าก่อนก็ได้ วิธีทำก็คือยิ้มให้มัน ทักทายมัน แสดงให้มันเห็นว่าคุณเบิกบาน แล้วชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปทันทีเป็นคนละคน
3. ประเด็นความกังวล
ในแง่ของความกังวลกลัวนั่นกลัวนี่ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎต่อคุณที่นี่เดี๋ยวนี้ พอมีสิ่งไม่ดีเข้ามา คุณก็พยายามหนีไปอยู่ในรูปของความกังวลหรือกลัว แต่ผมแนะนำให้คุณมองชีวิตเสียใหม่ ทุกอย่างที่เข้ามาหามาสู่คุณที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่นขี้หมาเป็นของน่ารังเกียจ แต่คุณโยนขี้หมาใส่ต้นกุหลาบ มันจะกลายเป็นดอกกุหลาบที่สวยงามนะ นี่คือฝีมือของพลังธรรมชาติ ในการเกิดมาในชีวิตหนึ่งนี้ คุณก็เหมือนต้นกุหลาบ ถ้าคุณรู้จักเปิดยอมรับยอมแพ้และไหลไปตามอะไรก็ตามที่ถูกโยนมาใส่คุณ มันจะทำให้คุณงอกงามส่งกลิ่นหอมเช่นดอกกุหลาบทั้งสิ้น เพราะมันเป็นกลไกของพลังธรรมชาติ คุณไม่ได้มาอยู่ที่นี่แบบมาของคุณเองและอยู่ได้ด้วยตัวคุณเองนะ คุณมาที่นี่และอยู่ที่นี่อย่างเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ซึ่งขับเคลื่อนโดยพลังธรรมชาติที่มีความลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์เสมอ
4. ประเด็นทางที่ผมชี้ให้คุณเดินไป
ขั้นต่อไป ถัดไปจากการยอมรับปัจจุบันก็คือผมจะให้คุณเรียนรู้ที่จะเสกหรือเป่ามนต์ดลบันดาลทุกอย่างขึ้นมาจากศักยภาพของความเป็นมนุษย์ของคุณเอง ผมจะแนะวิธีการขั้นเบสิกให้คุณนะ ทุกอย่างที่เป็นสิ่งใหญ่ๆในชีวิตนี้ เช่น ผืนดินผืนหญ้าที่คุณเหยียบย่างไป อากาศที่คุณหายใจ น้ำที่คุณดื่ม ความว่างอันกว้างใหญ่ที่คุณยืนอยู่ที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ให้คุณปฏิสัมพันธ์ (involve) กับมันอย่างละเอียดลึกซึ้ง ด้วยความรู้สึก (feeling) นะ ไม่ใช่ด้วยความคิด เป็นส่วนหนึ่งของมันแต่อย่าไปบิดเบือนเปลี่ยนแปลงอะไร สิ่งใหญ่ๆของชีวิตที่ผมพูดมาเหล่านี้มันมีปัญญาญาณที่ละเอียดลึกซึ้งฝังแฝงอยู่ คุณสามารถเข้าถึงและเป็นหนึ่งเดียวกับปัญญาญาณนั้นได้โดยไม่ต้องพยายามเอาปัญญาหิ่งห้อยที่คุณเรียนรู้มาจากความทรงจำของบุคคลสมมุติคนหนึ่งไปตีความอะไรมัน นี่เป็นการเริ่มออกเดินทางฝ่าข้ามขอบเขตคุมขังของสำนึกว่าเป็นบุคคล เสมือนการเดินทางของลมในฟองสบู่ที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ลมนั้นจะฝ่าข้ามดันผิวของฟองสบู่ให้แตกออก แล้วไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศภายนอกอันไม่มีขอบเขตสิ้นสุด ผิวของฟองสบู่ก็คือการสำคัญมั่นหมาย (identification) อย่างผิดๆว่าความเป็นบุคคลของคุณนี้เป็นของจริงๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ มนุษย์ทุกคนมีความสามารถจะฝ่าข้ามการสำคัญมั่นหมายผิดๆนี้ไปได้ และผมกำลังชี้ให้คุณเดินไปทางนี้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์