เป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม แต่คิดข้ามช็อตแบบ "หาเรื่องทุกข์ฟรี" ไปได้หลายทอด
![]() |
Title: Doi Saket In February 2025 (Acrylic on canvas 120 x100 cm) Artist: N. Jay (คนดอยสะเก็ดนั่นแหละ) |
เรียนคุณหมอที่เคารพ
ดิฉันอายุ 51 ปี มีโรคประจำตัว ไขมัน ความดัน ภูมิแพ้อากาศ เหงื่อ ล่าสุดเป็นโรครูมาตอยค่ะ อ่านเจอว่าคนเป็นรูมาตอย จะเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่ อมน้ำเหลือง (เป็นคนเครียด คิดมากด้วยค่ะ) เลยนึกขึ้นมาว่าถ้าเกิดกับตั วเอง จะทำอย่างไร (ประกันสังคม รพ.เลิดสิน) ได้อ่านเจอหลายคนที่ป่วยเป็ นมะเร็ง และต้องใช้ยามุ่งเป้าเท่านั้น ยาตัวอื่นไม่ตอบสนอง บางคนเปิดรับบริจาคเงิน เพื่อค่ายามุ่งเป้า เข็มละ 30,000 ก็มี คุณหมอท่านนึงบอกว่ายามุ่งเป้ าที่ปกส.ให้ได้ จะเป็นยาตัวเก่า ทีประสิทธิภาพไม่ดี
ส่วนตัวดิฉันไม่มีรายได้ใดๆ มีเงินเก็บเล็กน้อยใช้กินอยู่ แต่ละเดือนเท่านั้น ถ้าป่วยเป็นมะเร็งขึ้นมา จะทำยังไง หรือต้องทำใจรักษาได้แค่ไหนก็ แค่นั้น เพราะไม่มีเงิน! แล้วเราควรจะคิดแบบไหน ทำใจอย่างไรถึงจะเป็นวิธีคิดที่ ถูกต้องคะ รบกวนคุณหมอแนะนำด้วยค่ะ
ด้วยความเคารพ
..................................................
ตอบครับ
ผมขอสรุปเรียงปัญหา (problems list) ของคุณก่อนนะ ว่าคุณมีปัญหาสุขภาพดังนี้ (1) ความดันเลือดสูง (2) ไขมันในเลือดสูง (3) ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (4) ผื่นผิวหนังจากแพ้เหงื่อ (5) โรคกังวลเกินเหตุ (GAD)
ถ้าสรุปแบบแพทย์ เขียนแค่นี้ไว้ในเวชระเบียนก็ถือว่าวินิจฉัยได้ละเอียดครบถ้วนแล้ว แต่ผมขอนอกเรื่องในเรื่องความกังวลของคุณหน่อย ว่ามันช่างเป็นความกังวลแบบเบิ้ลกังวล เบิ้ลกังวล เบิ้ลกังวล เช่น
เบิ้ลครั้งที่ 1. คุณเป็นความดันสูงและไขมันสูงอยู่แล้ว พอหมอบอกว่าเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ก็กังวลว่านี่ฉันได้โรคใหม่มาอีกโรคหนึ่งแร้ว..ว
เบิ้ลครั้งที่ 2. เป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์อยู่ดีๆ พอได้ข่าวว่าคนเป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมากขึ้นก็กังวลและวาดภาพว่าตัวเองคงจะได้เป็นมะเร็งอย่างนั้นกับเขาบ้าง เรียกว่ากังวลแบบผู้ปฏิบัติธรรม กล่าวคือตั้งอยู่ในความไม่ประมาทด้วยการกังวลเอาไว้ล่วงหน้าก่อน (หิ..หิ พูดเล่น)
เบิ้ลครั้งที่ 3. อยู่ดีๆแต่วาดภาพไว้แล้วว่าตัวเองอาจได้เป็นมะเร็ง พอได้ข่าว (เฟค) มาว่ามะเร็งสมัยนี้ต้องใช้ยาล็อคเป้าเท่านั้นจึงจะหาย ซึ่งยาราคาแพงมากเข็มละหลายหมื่น จนผู้ป่วยบางคนต้องเปิดเฟซหรือบล็อกเพื่อหาเงินบริจาค ก็กังวลว่าตัวเองอาจจะต้องใช้ยาล็อคเป้าอย่างแพงและต้องเดือดร้อนอย่างนั้นกับเขาบ้าง
เบิ้ลครั้งที่ 4. เป็นผู้ประกันตนประกันสังคมอยู่ดีๆ พอได้ข่าว (เฟคอีกแหละ) ว่าประกันสังคมให้เบิกแต่ยาล็อคเป้าที่หมอบอกว่าใช้ไม่ได้ผล ยาล็อคเป้าดีๆที่หมอว่าใช้ได้ผลดีนั้นข่าว (เฟค) บอกว่าปกส.เบิกไม่ได้ ผู้ป่วยต้องซื้อเอง ตัวเองซึ่งได้สมมุติว่าจะเป็นมะเร็งไว้ล่วงหน้าแล้วก็เป็นทุกข์กังวลอีกว่าแล้วจะทำยังไงดีจึงจะได้ยาล็อคเป้ามาใช้
เห็นแมะ ชำแหละความกังวลของคุณแล้วมันซ้อนกันอยู่ถึงสี่ชั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นขี้..อุ๊บ ขอโทษ เป็นเรื่องไร้สาระที่น่าขำทั้งเพ เออ..ว่าแต่คำถามของคุณคืออะไรนะ อ้อ.. นึกออกละ คุณถามว่าควรจะมีวิธีคิดอย่างไรใจจึงจะเป็นสุข
ก่อนตอบคำถามขอแก้ข่าวเฟคทั้งหลายที่คุณได้มาก่อนนะ เดี๋ยวผู้อ่านท่านอื่นจะพลอยเข้าใจชีวิตผิดไปกับคุณด้วย คือ
ข่าวเฟค 1. ที่ว่าทำไมคุณเคราะห์ร้ายป่วยหลายโรค ตั้งต้นด้วยเป็นไขมันสูง แล้วมาเป็นความดันสูง แล้วมาเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ ความจริงคือคุณเป็นโรคเดียวนั่นแหละ ภาษาหมอเขาเรียกว่า "โรคดื้อต่ออินสุลิน (insulin resistance)" แล้วมันแตกแขนงไปโผล่หลายทาง ทั้งไขมันสูง ความดันสูง ข้ออักเสบรูมาตอยด์ คุณก็เลยนึกว่าคุณเป็นหลายโรค ต่อไปมันอาจจะมีแขนงอื่นของโรคนี้โผล่มาอีก เช่น เบาหวาน อ้วน หัวใจ สมองเสื่อม ไตเรื้อรัง เป็นต้น แท้จริงแล้วทั้งหมดมันเป็นโรคเดียวกันมีสาเหตุมาจากที่เดียวคือวิถีชีวิตของคุณเอง
ข่าวเฟค 2. ที่ว่าการเป็นโรคมะเร็งสมัยนี้ต้องใช้ยาล็อคเป้าตัวใหม่ๆราคาแพงๆเข็มละหลายหมื่นเท่านั้นจึงจะหาย ความเป็นจริงคือผู้ป่วยมะเร็งเกือบทั้งหมด ผมให้ 99% ที่ดีขึ้นนั้นดีขึ้นได้ด้วยวิธีรักษามาตรฐานที่ใช้กันมานานแล้วคือ ผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัดรวมทั้งยาล็อคเป้าตัวเก่าๆที่รู้ว่าได้ผลดีอยู่แล้วด้วย ส่วนยาล็อคเป้าตัวใหม่ๆราคาแพงๆนั้นเป็นแค่มาต่อยอดการรักษามาตรฐาน ส่วนใหญ่ใช้กันในลักษณะการวิจัยติดตามดูในทางคลินิก ทั้งนี้มันมีรายละเอียดแยกย่อยไปสำหรับมะเร็งแต่ละชนิดและยาล็อคเป้าที่ออกใหม่แต่ละตัวด้วยว่ากรณีไหนยาทำทำท่าจะดีกรณีไหนยาทำท่าจะไม่ได้เรื่อง ซึ่งในภาพใหญ่สรุปรวมๆโหลงโจ้งได้ว่ายาล็อคเป้าใหม่ๆราคาแพงๆยังมีผลให้เกิดการหายของมะเร็งเพิ่มจากการรักษาแบบเดิมๆได้น้อยมาก จึงไม่เข้าท่าที่จะรีบตีอกชกหัวว่าเป็นมะเร็งแล้วหากไม่ได้ยาล็อคเป้าใหม่ๆราคาแพงๆแล้วจะไม่มีโอกาสหาย
ข่าวเฟค 3. ที่ว่าประกันสังคมให้เบิกแต่ยาล็อคเป้าเก่าๆที่หมอบอกว่าใช้ไม่ได้ผล ส่วนยาล็อคเป้าใหม่ดีๆที่หมอว่าใช้ได้ผลดีนั้นปกส.ไม่ให้เบิก ความเป็นจริงก็คือ ประกันสังคมก็ดี สามสิบบาทก็ดี สวัสดิการข้าราชการก็ดี ล้วนใช้บัญชียาหลักเดียวกัน การคัดเลือกยาเข้าบัญชียาหลักคัดตามหลักฐานวิจัยว่าจะเอาเข้าเฉพาะยาที่มีผลวิจัยยืนยันแน่ชัดแล้วว่ารักษาได้ผลดีคุ้มค่าเงินจริง ไม่ใช่ยาที่เพิ่งออกใหม่กำลังอยู่ในระหว่างเริ่มใช้กับคนจริงเพื่อรอดูผลระยะยาวกันอยู่ จึงไม่แปลกที่ยาล็อคเป้าตัวใหม่ๆราคาแพงๆจะไม่ได้เข้าในบัญชียาหลัก ไม่เข้าท่าเลยที่จะตีอกชกหัวว่ายาที่ดีๆไม่มีใช้ต้องเปิดเฟซเปิดบล็อกเพื่อให้คนสงสารบริจาคเงินให้มารักษามะเร็งด้วยตัวเอง โห..นั่นมันเป็นดรามาที่มีดาราผู้หวังประโยชน์ส่วนตนร่วมแสดงร่วมเล่นกันอยู่หลายฝ่าย ตรงนี้ผมขออนุญาตไม่พูดถึงดีกว่านะ ผมพูดได้แต่ว่าคนไทยที่ได้ใช้สิทธิสวัสดิการของราชการก็ดี สามสิบบาทก็ดี ประกันสังคมก็ดี ควรจะสบายใจเฉิบได้ 100% แล้ว..ว ว่าชีวิตนี้ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรล่วงหน้าในเรื่องการหาเงินมารักษาตัวเมื่อเจ็บป่วย เพราะของจำเป็นเขาให้ฟรีหมด มันฟรีและมันดีซะจนคนต่างชาติเฮโลมาร่วมขอแจมใช้ด้วย
เอาละ แก้ข่าวแล้วคราวนี้มาตอบคำถามของคุณ
1. ถามว่าควรจะมีวิธีคิดอย่างไรชีวิตจึงจะเป็นสุข ตอบว่า
"คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและใช้ตรรกะอย่างแยบยล เมื่อคิดจบสรุปได้แล้วก็เลิกคิดทันที เพื่อเอาผลที่สรุปได้ไปลงมือปฏิบัติในชีวิตจริง"
โปรดสังเกตว่ามันตรงกันข้ามกับการคิดแบบคิดแล้วทุกข์ฟรีนะ หมายความว่าคิดแบบกระต่ายตื่นตูม กลัวล่วงหน้า สติแตก คิดแล้ว คิดอีก วกวน ซ้ำซาก
2. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ นอกจากการรู้จักคิดด้วยเหตุผลใช้ตรรกะอย่างแยบยลแล้ว การจะมีความสุขในชีวิตคุณต้องรู้วิธีหันหลังให้ความคิด "ขี้หมา" ทั้งหลายที่โผล่ขึ้นมาในใจคุณแบบไม่ได้รับเชิญด้วย วิธีหันหลังให้ความคิดหรือวิธีวางความคิดผมพูดถึงไปแล้วบ่อยมากจะไม่พูดซ้ำอีก แต่ขอตัดเทคนิคง่ายๆมาแนะนำคุณสักสองสามเทคนิคที่คุณทำได้ทุกที่ทุกเวลา คือ
2.1 ผ่อนคลายร่างกายและยิ้ม เพราะเวลาผ่อนคลายและยิ้ม ความคิดจะฝ่อหายไปเอง
2.2 เอาความสนใจออกจากความคิดมาตามรู้ลมหายใจ เพราะความสนใจอยู่ได้ที่เดียว เมื่อความสนใจมาอยู่ที่ลมหายใจ ความคิดก็ฝ่อหายไปเพราะไม่มีความสนใจไปราดน้ำมัน
2.3 แอบมองเข้าไปในใจเป็นครั้งคราว ว่า จ๊ะเอ๋ เมื่อตะกี้คิดอะไรอยู่เอ่ย ทำแบบนี้บ่อยๆจะทำให้ความคิดหยุดกึกทันทีที่ถูกแอบดู แถมยังช่วยเตือนเราด้วยว่าเรากับความคิดเป็นคนละสิ่งอย่างกัน เราเป็นผู้สังเกต ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต เราไม่ใช่ความคิด และความคิดก็ไม่ใช่เรา
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์