การตอบคำถามเรื่อง "บาป" เป็นเหตุให้เกิดความเห็นต่างเล็กๆขึ้น

น้ำตกสีมรกต ที่วังก้านเหลือง


    การตอบคำถามในบทความชื่อ "บาป เป็นแค่คอนเซ็พท์.." ได้เป็นเหตุให้เกิดความเห็นต่างเล็กๆขึ้นในหมู่แฟนบล็อกของหมอสันต์ ประมาณว่า

แฟน1: "  บาปคือความจริงค่ะ คนมีกรรมเป็นแดนเกิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ บาปคือส่วนหนึ่งของกรรม"

แฟน2: " บาป-บุญ เป็นความคิดที่ถูกยึดจนแน่นโดยการสอนมาแต่เล็กแต่น้อยจากความแยบยลของสังคมเพื่อให้การอยู่ร่วมกันเป็นคนหมู่มากมีความสงบ! แต่การยึดติดแบบไม่เข้าใจย่อมนำความทุกข์ที่เกินความจำเป็นมาสู่คนๆนั้นอย่างแน่นอน. และบาป-บุญก็อาจเป็นเครื่องมือให้คนที่ฉลาดนำมาใช้เพื่อสร้างความอุดมทรัพย์ให้คนบางกลุ่มอย่างเป็นล่ำเป็นสันมาอย่างช้านานดังข่าวที่ปรากฎไม่นานมานี้!! " 

แฟน1: " ทำไมคนเกิดมาต่างกันค่ะ ถ้าว่าบาปเพียงแค่สิ่งสมมุติ "

แฟน2: " มันเป็นเรื่องของพันธุกรรมซึ่งจะเป็นลักษณะทางกายภาพที่ต่างกัน ส่วนแต่ละคนก็ไม่มีใครต่างจากใครเพราะจริงๆแล้วตัวเราก็ไม่มีตัวตนหรือไม่มีเราครับมีแค่จิตและดินน้ำลมไฟมาประชุมรวมกันและบวกกับประสบการณ์ที่ผ่านไปมาสะสมทำให้เกิดความคิดและยึดติดว่าร่างกายนี้เป็นเรา " 

แฟน1: " ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปคือแบบนี้จะทำชั่วอย่างไรก็นิพพานหรือค่ะ บุญบาปไม่มีจริง แบบนี้ไม่คิดหรือค่ะว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ "

แฟน2: " ไม่เชื่อไม่ได้หมายความว่าจะไปทำสิ่งที่ไม่ดีต่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่เป็นคนหรือตัวอื่นๆ " 

แฟน1: " มันเป็นแค่สมมุติทำไปทำไม "

แฟน2: " คงเพราะบังเอิญเกิดเป็นคนไม่ใช่สัตว์และบังเอิญถูกฝึกความคิดมาดี!ชอบใช้เหตุผลและวิเคราะห์โดยไม่เชื่ออะไรง่ายๆที่เชื่อตามตามกันมา " 

แฟน1: สมมุติสัจจะตามหลักพุทธศาสนาก็ต้องเชื่อว่าจริง บาปมีจริง ตัวนี้แหละที่จะไม่มีทางถึงนิพพาน แทนที่คุณหมอจะให้เราดูความทุกข์ที่เกิด คุณหมอกลับมาบอกว่าบาปคือสมมติไปซะงั้น" 

" พุทธศาสนาไม่มีคำว่าบังเอิญ "

แฟน2: " ถ้าคุณเชื่อแบบนั้นผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรครับ "

แฟน1: " ว่าไม่ได้เพราะทุกอย่างเป็นสมมุติ บนโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นจริงสักอย่างนะคะ " 

แฟน2: " คุณหมอสันต์ไม่เกี่ยวนะครับและไม่ควรไปอ้างเพราะเราอาจตีความผิดไปเอง สิ่งที่ผมเขียนผมคิดเอาเองครับ "

แฟน1: " บทความเขา " 

แฟน2: "อันนั้นต้องไปคุยกับเค้าเองครับจะได้กระจ่าง"

แฟน1: "  เขาคงอ่านอยู่มั้งค่ะ แต่เหมือนรู้ แต่ไม่รู้ก็มาก"

แฟน2: "ทุกอย่างที่มีอยู่ มีจริง เพียงแต่เรามอง เราเห็น เราคิดให้เป็นอย่างนี้อย่างนั้น....นี่แหละคือสิ่งสมมุติ"

.....................................................................


ตอบครับ

    ท่านประธานครับ ผมขอใช้สิทธิ์ถูกพาดพิง (หิ..หิ)

    ก่อนอื่น ผมรู้สึกปลื้มกับตัวเองมากที่มีแฟนบล็อกแบบท่านทั้งสอง ทั้งคุณแฟน1 และคุณแฟน2 ซึ่งต่างก็เป็นคนระดับที่ตระหนักดีแล้วว่าสังคมจะอยู่ได้ดีหากคนไม่ทำร้ายกัน ถ้าเมืองไทยมีคนอย่างแฟนทั้งสองท่านนี้แยะๆมันก็จะเจ๋งใช่ไหมครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมปลื้มใจ ส่วนที่ท่านทั้งสองได้ "แชร์" ความเห็นต่างให้กันและกันฟังนั้น ผมเห็นว่ามันเป็นประเด็นการเรียนรู้ที่แหลมคมที่น่าจะมีประโยชน์สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปในระดับเดียวกัน (คือระดับที่ตระหนักดีแล้วว่าสังคมจะดีหากคนไม่ทำร้ายกัน) จึงนำมาพูดต่อความยาวในวันนี้  

    1.  ก่อนอื่น คำว่า "บาป" นี้มีความหมายที่ค่อนข้างสากลใช้กันทั่วไป แม้ในทางศาสนาก็มีใช้กันทุกศาสนา เช่นศาสนาคริสต์ คำว่า "คนบาป" มีเกลื่อนอยู่ทั่วไปในหนังสือพระคัมภีร์เก่าซึ่งเขียนไว้นานราวสามพันปีและในไบเบิ้ลซึ่งเขียนมานานราวสองพันปี (50 CE)  ในศาสนาฮินดูที่เขียนไว้เป็นหนังสือมานานกว่าสามพันปีก็มีคำสอนพื้นฐานไฮไลท์เรื่องกฎแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดจึงใช้คำนี้มาก ในศาสนาพุทธซึ่งถูกบันทึกเป็นตัวหนังสือมาราว 2118 ปี (พ.ศ. 450) ก็ใช้คำนี้มากเช่นกัน ดังนั้นเรามาตกลงกันก่อนนะว่าคำว่าบาปนี้ไม่ใช่คำ "ลิขสิทธิ์" ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ในที่นี้เราจะใช้มันเพื่อสื่อความเข้าใจตามภาษาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่แบบสงบเย็นและเบิกบานในเชิงจิตวิญญาณ (spirituality) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเป็นการ "แชร์" ประสบการณ์ โดยไม่เกี่ยว ไม่ข้อง กับคำสอนของศาสนาใดๆเลย 

    2. ก่อนเจาะลึกลงไป ผมขอแยกสองอย่างออกจากกันก่อน คือการใช้ชีวิตแบบทำตัวเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมให้ตัวเองอยู่กับคนอื่นได้ หรือพูดง่ายๆว่าการเป็นคนดี นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการจะใช้ความคิดวินิจฉัยอย่างอิสระของตนเองและการจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องอะไรก็ตามที่คนอื่นเขาเล่าให้ฟัง นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเราเริ่มต้นด้วยการเอาสองอย่างมาปนกันเช่น

    "ถ้าคุณไม่เชื่อว่าบาปเป็นความจริงแท้ แล้วคุณทำตัวเป็นคนดีทำไม"

    ถ้าเราตั้งต้นด้วยการเอาสองอย่างมาปนกันอย่างนี้ ประโยชน์ของการอ่านบทความนี้จะไม่มีเลย เผลอๆจะมีแต่โทษ คืออ่านแล้วยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ทั้งๆที่วาระของวันนี้คือ "จะใช้ชีวิตอย่างไรเราจึงจะสงบเย็นและเบิกบานมากขึ้น"

    3. ผมเคยแชร์ประสบการณ์ของผมไปแล้วบ่อยๆว่าผมพบว่าในชีวิตนี้มันมีสามอย่างที่เป็นปัจจัยช่วยให้เข้าถึงความสงบเย็นและเบิกบานได้ง่ายขึ้น คือ (1) การสามารถคิดวินิจฉัยใช้ตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างแยบยล (2) การมีเพื่อนที่ดี (3) การได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่เราพูดถึงนั้นของจริงมันเป็นอย่างไร 

    อย่างที่สาม คือประสบการณ์ส่วนตนนั้นมันเป็นเรื่องของโอกาสในชีวิตของแต่ละคนซึ่งเอามาใช้ประโยชน์กับทุกคนอาจจะไม่ได้ ผมขอตัดมันทิ้งไปก่อน 

    อย่างที่สอง คือการมีเพื่อนดีนั้น ดีแน่ แต่ในชีวิตจริงมันมีโอกาสนิดหน่อยที่เราจะเจอเพื่อนลวง คือไม่ดีจริง แต่..

    อย่างที่หนึ่ง คือการสามารถคิดวินิจฉัยใช้ตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลอย่างแยบยลนี้ มันมีแต่ดีกับดี ไม่มีที่จะเสียเลย มันยังใช้แยกเพื่อนดีกับเพื่อนลวงออกจากกันได้ด้วย ถ้าขาดความสามารถนี้ เราอาจถูกเพื่อนลวงพาเข้ารกเข้าพงไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนของเขา ถ้าความแตกหรือเรื่องแดงขึ้นก่อนเราก็อาจจะไหวตัวทัน แต่ถ้าความไม่แตกหรือเรื่องยังไม่แดงขึ้น หากเราปราศจากการสามารถคิดวินิจฉัยใช้ตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลอย่างแยบยล เราก็อาจจะถูกเพื่อนลวงพาพลัดหลงไปแบบกู่ไม่กลับ คือหมดโอกาสที่จะได้พบกับความสงบเย็นและเบิกบานในชีวิตไปเลยก็ได้  

    3. ความเชื่อระดับแท้ๆ หรือที่เรียกว่าศรัทธา (devotion) หากมันเป็นของแท้เหนียวแน่นแน่วแน่ระดับอินสุดๆ อิน 100% มันคือพลังมหาศาล และมันจะพาทะลุอุปสรรคสำคัญคือความคิดเข้าไปถึงความสงบเย็นและเบิกบานอันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตได้แบบไม่ยากเย็นด้วย

    ตัวอย่างที่ 1. เมื่อหน้าหนาวที่ผ่านมาผมไปเชียงใหม่ ได้ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนๆร่วมรุ่นที่เคยเรียนที่แม่โจ้ด้วยกันมา เพื่อนคนหนึ่งเล่าถึงชีวิตของเขา ว่าหลายสิบปีที่ผ่านไปมีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย ลุ่มๆดอนๆ ส่วนใหญ่เป็นความล้มเหลวบวกภาวะซึมเศร้า เมื่อมองย้อนกลับไปเขาสรุปว่าโมเมนต์ที่เขาพอจะมีความสุขบ้างคือเมื่อได้อยู่กับกีต้าร์คู่ใจเท่านั้น เขาจึงมีความเชื่อว่ากีตาร์นี่แหละที่จะพาเขาบรรลุความสุขที่แท้จริงในบั้นปลายของชีวิต เขาจึงใส่ใจตามติดเล่นกีตาร์แบบอินกับมันชนิดเต็มร้อย จนเขาเข้าถึงความสงบเย็นและเบิกบานจากเสียงของมันแล้วชีวิตเขาก็เต็มไปด้วยโมเมนต์ที่สุขใจ วันหนึ่งเขาเอากีต้าร์ไปนั่งเล่นให้ลูกค้าร้านอาหารของภรรยาของเขาฟัง ทำแบบนี้บ่อยๆผู้คนก็มากินอาหารก็มากขึ้น เพราะอยากจะมาซึมซับความสุขที่เขามีขณะเล่นกีต้าร์ เขายังออกปากชวนผมไปนั่งกินอะไรที่ร้านของเมียเขาเพื่อฟังเขาเล่นกีต้าร์ด้วย ซึ่งผมก็รับปากว่าในอนาคตถ้าจัดเวลาลงก็จะไปแน่

    ตัวอย่างที่ 2. ประมาณสี่สิบกว่าปีมาแล้ว ผมยังหนุ่มไปเป็นศัลยแพทย์อยู่ที่รพ.สระบุรี ได้คบหาเป็นเพื่อนกับมิชชันนารีชาวแคนาดาคนหนึ่ง ผมดูชีวิตของเขาช่างลำบากลำบนตัวเองลำบากไม่พอยังพาลูกเมียลำบากด้วย วันหนึ่งผมจึงออกปากกับเขาว่า

    "สตีฟ คุณจะมาลำบากอย่างนี้ทำไม คนจบปริญญาโทอย่างคุณ เมียคุณก็เป็นพยาบาล ทำไมคุณสองคนไม่ปักหลักอยู่ที่แคนาดา ก็จะมีความสุขสบายๆ ลูกๆก็ได้เรียนหนังสือที่ดีๆ"

    เขาตอบว่า

    "ถ้ามันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ลำบากแค่ไหนผมก็โอเคทั้งนั้น เพราะชีวิตของผมนี้มีอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า และนี่ทำให้ผมได้พบกับ peace and joy"

    วันนั้นผมกลับมานอนตาค้าง คิดเปรียบเทียบว่าระหว่างนายแพทย์นักวิทยาศาสตร์หนุ่มอย่างผมซึ่งมีความฝันมีเรื่องต้องทำมากมาย อยากจะไปทำงานเมืองนอก อยากทำวิจัย อยากทำผ่าตัดให้ได้ดี ชีวิตยุ่งขิงไม่เว้นแต่ละวันโดยที่ยังไม่ค่อยชัวร์เท่าไหร่ว่าชีวิตแบบนี้จะไปจบที่ไหน กับคนอย่างสตีฟ ซึ่งรู้แน่ชัดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและพอใจกับมันอย่างแน่วแน่ สองคนนี้ชีวิตไหนเป็นชีวิตที่ดีกว่ากัน ผมนอนคิดแล้วสรุปว่าชีวิตของสตีฟเป็นชีวิตที่ดีกว่า (แต่ แม้จะได้คิดนิดหนึ่งแล้ว ชีวิตของผมก็ยังดำเนินในร่องเดิมอีก..เหมือนเดิม)   

    ที่เล่าให้ฟังก็เพื่อประกอบให้เห็นว่า ในด้านหนึ่ง devotion หรือพลังศรัทธามีพลังมหาศาลที่จะพาเราพ้นทุกข์ไปพบกับความสงบเย็นอันเป็นปลายทางของการมีชีวิตของทุกคนได้ 

    แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็มักมีคนไม่ดี คอยดอด.. หรือแอบเอาพลังศรัทธาที่ดีๆของเราไปสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับสังคม ยกตัวอย่าง เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยหนึ่งเล่าทางโทรทัศน์ให้ประชาชนฟังอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่าเขาได้คุยกับพระเจ้า แล้วก็สั่งให้กองทัพอเมริกันบุกถล่มอิรัคเสียราบเป็นหน้ากลอง เรียกว่าปฏิบัติการพายุทะเลทราย ผู้คนบาดเจ็บล้มตายหลายแสนคน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน โดยไม่มีเหตุอันควรเลยแม้แต่น้อย และมีผลให้อิรัคเข้าสู่ยุคระส่ำเละเทะมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่สงบสุข สงครามและเรื่องเสียๆในระดับสังคมเกือบทั้งหมดผู้ก่อการมักอาศัยแอบใช้พลังศรัทธาของประชาชน ดูเมืองไทยนี้เป็นตัวอย่างก็ได้ คนหลายอาชีพ หลายกลุ่ม กำลังแอบใช้พลังศรัทธาของผู้คนทำเรื่องเสียหายให้สังคมเพื่อเอาประโยชน์เข้าตัวเขา พอเรื่องแดงขึ้นๆผู้คนก็รับไม่ได้เพราะมันสั่นคลอนศรัทธาดีๆที่มีกันมาแต่เดิม จนต้องเลิกขุดคุ้ยกันไปกลางคันดื้อๆเพราะกลัวสังคมล่มสลายหากพลังศรัทธาซึ่งเป็นเสาหลักค้ำสังคมนี้จะล้มไป แต่จนเดี๋ยวนี้เราก็ยังไม่รู้ว่าจะป้องกันคนไม่ดีที่ชอบดอดหรือแอบเอาพลังนี้ไปทำเรื่องเสียๆได้อย่างไร 

    ซึ่งตรงนี้ผมขอเสนอไว้นิดหนึ่งนะ ว่าด้านหนึ่งเรามีศรัทธากับอะไรจริงจังมุ่งมั่น นั่นก็ดีอยู่แล้ว แต่อีกด้านหนึ่งหากเราควบเอาการคิดวินิจฉัยใช้ตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลอย่างแยบยลมาเป็นเครื่องกรองไม่ให้คนไม่ดีแอบมาใช้ประโยชน์จากศรัทธาของเราซะอีกด้วย นั่นน่าจะเป็นทางออกที่เพอร์เฟ็ค

    4.    อย่าไปมองว่าการใช้ความคิดวินิจฉัยใช้ตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลเป็นปฎิปักษ์กับการมีความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างบริสุทธิ์ใจ ให้มองว่ามันเป็นของที่เสริมกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากทัศน์ที่มีปลายทางอยู่ที่เดียวกันคือความสงบเย็นและเบิกบานในชีวิต หากเราไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากการควบรวมตรงนี้เราอาจจะหลง "แบก" ความเชื่อชนิดหนักแทบตายโดยไม่จำเป็นก็ได้

    ขอยกตัวอย่างนิทานเซ็นที่เล่าสืบต่อกันมาว่าสมภารกับพระลูกศิษย์ไปเดินธุดงค์ด้วยกัน ถึงธารน้ำมีหญิงสาวอยากจะเดินลุยข้ามธารไปแต่ก็ลังเลๆกลัวกิโมโนเปียก สมภารเห็นเป็นโอกาสดีที่จะสอนศิษย์ที่กำลังบ้าดีอยู่ จึงรี่เข้าไปอุ้มหญิงสาวขึ้นแล้วเดินลุยข้ามลำธารจนส่งเธอที่อีกฝั่งหนึ่งสำเร็จ จากนั้นครูกับศิษย์ก็ธุดงค์กันต่อไปจนค่ำมืดจึงปักหลักก่อไฟเตรียมเข้านอน พระลูกศิษย์ซึ่งอดรนทนรอมาตลอดวันก็โพล่งขึ้นมาว่า

    "หลวงพ่อครับ การถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิงมันเป็นบาปไม่ใช่หรือ แล้วทำไมหลวงพ่อ.."

    หลวงพ่อได้ทีจึงสวนขึ้นทันควันว่า

    "อ๊าว..ว ข้าวางผู้หญิงคนนั้นไว้ตั้งแต่เราอยู่ข้างลำธารแล้ว นี่เอ็งยังแบกเธอมาจนถึงนี่เลยหรือ"

    คือความยึดถือในบาปบุญคุณโทษดีเลว หากเราไม่ระวังให้ดี บางครั้งก็เกิดภาวะแทรกซ้อนคือกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายคือความสงบเย็นและเบิกบานไม่ได้

    5. ในอีกด้านหนึ่ง "ความเชื่อ" เป็นคำเดียวกัน (synonym) กับการ "คิดว่าตัวเองรู้" มันเป็นคนละอย่างกับการที่เรารู้แล้วนะ หมายความว่าเราจะ "เชื่อ" สิ่งไหนก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นเรายังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยประสบการณ์ของเราเองดอกว่าของจริงมันเป็นอย่างไร เช่นคนเราตายแล้วจะไปเกิดใหม่หรือว่าตายแล้วหายจ้อยกลายเป็นลมไปเลย เรายังไม่เคยตายแล้วเราจะไปรู้ได้อย่างไร เราจึงเป็นได้แค่ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" หรือทิ้งไว้เป็นความ "ไม่รู้" ตร้งนี้แหละที่ผมบอกว่าความเชื่อเป็นสิ่งเดียวกับการ "คิดว่าตัวเองรู้" 

    ความเชื่อว่าตัวเองรู้นี้จะก่อให้เกิดการเปรียบเทียบขึ้นในใจ ขึ้นชื่อว่าการเปรียบเทียบก็ต้องมีการอ้างอิง (reference) ซึ่งแกนอ้างอิงนั้นก็คือ "ตัวตน" ของเรานี่เอง เช่น คนนั้นยังไม่รู้ คนนี้รู้บ้างแต่ยังรู้ไม่หมด เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนใช้ส่วนที่เรา "คิดว่าเรารู้" เป็นแกนอ้างอิงเปรียบเทียบ ยิ่งเปรียบเทียบตัวตนของเราก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ซึ่งการขุนตัวตนให้ใหญ่ขึ้นๆโดยไม่ได้ตั้งใจนี้เป็นการเดินในทิศทางที่สวนกับทางบรรลุความสงบเย็นและเบิกบานในใจ

    ดังนั้น ในการจะบรรลุความสงบเย็นเบิกบานในใจนี้ มันจึงสำคัญมากที่เราจะต้องปักหลักมั่นอยู่กับความจริงที่ว่าเราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้แบบไม่รู้เลยจริงๆไม่ได้ดัดจริต เพราะถ้าเรารู้แล้วเราก็คงจะสงบเย็นและเบิกบานไปเรียบร้อยนานแล้วไม่ต้องมาเสาะหาอะไรกันอีก ต่อเมื่อเราปักหลักว่าเราไม่รู้อะไรเลยนั่นแหละ การเรียนรู้และทดลองปฏิบัติสิ่งใหม่ๆที่เราไม่เคยปฏิบัติจึงจะเกิดขึ้น โอกาสที่จะเข้าถึงความสงบเย็นและเบิกบานได้จริงจึงจะมีตามมา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

เสพย์ติดหนังโป๊และการช่วยตัวเอง (masturbation)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)