ในสงครามกับโรคอ้วน สนามรบใหญ่คือภาวะดื้อต่ออินสุลิน
![]() |
มะเดื่อฝรั่ง ฝีมือปลูกหมอสันต์ |
ถามคุณหมอสันต์ก่อนตัดสินใจใช้ยาฉีดลดน้ำหนัก เพราะลองมาหมดทุกอย่างแล้ว
........................................
ตอบครับ
ผมเข้าใจคุณครับ
ผลงานการรักษาโรคอ้วนเป็นประจักษ์พยานของความล้มเหลวของวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะมีอัตราสำเร็จเพียง 5% ไม่ว่าทั้งหมอทั้งคนไข้ต่างจะพยายามเพียงใดก็ตาม ยาฉีดลดน้ำหนักเป็นความหวังใหม่ที่ใครๆที่จวนเจียนจะสิ้นหวังอยู่แล้วก็ต้องรีบวิ่งเข้าหาเป็นธรรมดา ขึ้นชื่อว่ายาก็มีข้อมูลทั้งสองด้าน ผมจะตอบคำถามของคุณให้ถูกต้องเที่ยงตรงตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ให้มากที่สุดโดยไม่มีผลประโยชน์ใดๆเกี่ยวข้องเลยนะครับ
ประเด็นที่ 1. ยาฉีดลดน้ำหนักคืออะไร
ก่อนอื่นผมขออธิบายถึงสรีรวิทยาปกติของร่างกายมนุษย์ก่อนว่าเมื่ออาหารที่กินตกลงไปถึงลำไส้แล้ว ตัวลำไส้จะปล่อยฮอร์โมนตัวหนึ่งชื่อ incretin เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อบอกสมองว่า
"ได้อาหารแล้ว พอแล้ว อิ่มแล้ว"
สมองก็จะดลบันดาลให้เกิดความรู้สึกอิ่มขึ้น เพื่อจะได้หยุดกิน ฮอร์โมนตัวนี้ในสมัยต่อมาพบว่ามันมีสองตัวย่อยจึงตั้งชื่อใหม่ ตัวหนึ่งชื่อ GLP-1 (glucagon like peptide-1) อีกตัวหนึ่งชื่อ GIP (Glucose-dependent Insulinotropic Polypeptide) งานวิจัยพบว่าคนผอมลำไส้ปล่อยฮอร์โมนอินเครตินได้รวดเร็วทันใจจึงกินน้อยอิ่มเร็ว แต่คนอ้วนปล่อยฮอร์โมนอินเครตินช้าจึงกินไม่อิ่มสักที
ต่อมามีคนทำยาที่ออกฤทธิ์แทนฮอร์โมนอินครีตินนี้ได้และนำออกมาขายเป็นยาลดความอ้วน รุ่นแรกออกฤทธิ์แบบ GLP-1 ได้ตัวเดียว ชื่อยา semaglutide (Ozampic) ฉีดแล้วก็อยากอาหารน้อยลงทำให้น้ำหนักลดได้ถึงระดับ 10-13% ในเวลาปีเดียว จึงกลายเป็นยายอดนิยมอย่างรวดเร็ว
ต่อมามีคนทำยารุ่นใหม่ออกมาอีก คราวนี้ออกฤทธิ์แทนทั้ง GLP-1 และ GID สองแรงแข็งขันงานวิจัยพบว่าลดน้ำหนักได้ดียกกำลังสอง ชื่อยา Tirzepatide (Mounjaro) โดยงานวิจัยเปรียบเทียบแบบหัวต่อหัวกับยา semaglutide ในงานวิจัยชื่อ SURMOUNT-5 trial พบว่ายา Tirzepatide ลดน้ำหนักได้มากกว่าแยะ (20.2% vs 13.7% ในเวลา 72 สปด. ) ยาใหม่นี้ทำมาเป็นปากกาฉีดตัวเองอาทิตย์ละครั้งแบบใช้แล้วทิ้ง สะดวกสะบาย สบม. จึงมาแรงแซงโค้งขายดีกว่าตัวแรก ดังนั้นในการตอบคำถามวันนี้ผมจึงจะตอบเรื่องยา Tirzepatide เป็นหลัก เพราะทันสมัยดี
ประเด็นที่ 2. ข้อดีของยาฉีดลดน้ำหนัก
งานวิจัยยาฉีดลดน้ำหนัก ทั้งที่ทำโดยบริษัทยาเอง และทั้งที่เป็นข้อมูลในชีวิตจริง สรุปผลได้ตรงกันว่ายาฉีดลดน้ำหนัก ลดน้ำหนักได้ดีจริงๆ กล่าวคืองานวิจัย SURPASS trial ซึ่งทำกับคนที่เป็นเบาหวาน พบว่ายานี้ลดน้ำหนักได้เฉลี่ยคนละ 14.7% ใน 72 สปด. สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นเบาหวานนั้น ก็มีงานวิจัย SURMOUNT-5 trial ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์ก็พบว่าลดน้ำหนักได้ระดับ 20.2% ในเวลา 72 สปด.
ประเด็นที่ 3. ผลข้างเคียงของยาฉีดลดน้ำหนัก
ผมขอเลือกมาพูดแต่เรื่องสำคัญที่คุณต้องใช้ประกอบการตัดสินใจนะครับ ผลข้างเคียงได้แก่
3.1. น้ำหนักที่ลดได้เป็นลดจากไขมันประมาณ 60% และลดจาก lean mass (คือกล้ามเนื้อและกระดูก) ประมาณ 40% ข้อมูลนี้มาจากงานวิจัย SURMOUNT-5 trial ของบริษัทยาเองนะ แปลไทยเป็นไทยว่าที่หายไปกับน้ำหนักนั้น 40% เป็นกล้ามเนื้อกับกระดูก
3.2. อัตราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าในหมู่ผู้ใช้ยาเพิ่มขึ้น 200% (3 เท่า) ในขั้นละเอียดมีรายงานการเพิ่มของความอยากฆ่าตัวตายด้วย
3.3. ความอยากกินหวานซึ่งเดิมหายไปเหมือนปลิดทิ้งใน 6 เดือนแรกของการใช้ยา จะค่อยๆกลับมา งานวิจัยความอยากกินหวานพบว่ามันจะกลับมาอยากกินมากเต็มแม็กเท่าก่อนเริ่มฉีดยา หลังจากฉีดยาไปได้ราว 2 ปี
3.4. งานวิจัยในอังกฤษพบว่าคนที่ใช้ยานี้เลิกใช้ยาไปเองราว 70% ในเวลา 2 ปี ด้วยสาระพัดเหตุผล เอาเป็นว่าใช้กันไม่ค่อยยืดก็แล้วกัน และงานวิจัยติดตามดูพบว่าเมื่อเลิกยา ก็จะกลับมากินดุใหม่ แล้วก็อ้วนใหม่ ประเด็นสำคัญคือที่อ้วนกลับมาทันอกทันใจทันทีหลังเลิกยาคือส่วนที่เป็นไขมันนะ แต่ส่วนกล้ามเนื้อและกระดูกนั้นช่างกลับมาได้ช้า หรือกลับมาได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอายุมาก
เรื่องอื่นๆผมคิดว่าไม่สำคัญหรือสำคัญแต่อุบัติการเกิดต่ำ เช่น (1) ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ขาดน้ำจนมีรายงานไตวายเฉียบพลัน แต่ในประเด็นนี้การดูแลตัวเองไม่ให้ขาดน้ำสามารถป้องกันปัญหาได้ (2) เกิดตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (3) มีรายงานว่าทำให้เบาหวานลงตา (retinopathy) รุนแรงขึ้น (4) มีรายงานการเกิดกระดูกพรุนและขาดอาหารในคนที่ผอมอยู่แล้วแต่อุตริเอายาไปฉีดเพื่อให้เกิดความผอมสะใจ ซึ่งเป็นโรคทางจิตเวชที่เรียกว่า eating disorder ตรงนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องของยา เป็นเรื่องของการใช้ยาผิดที่มากกว่า
4. ถ้าไม่ฉีดยา มีอะไรจะเพิ่มฮอร์โมน GLP-1 แทนได้บ้าง ตอบว่ามี คือ
4.1 งานวิจัยจำนวนหนึ่งพบว่าน้ำตาลชนิด alulose ซึ่งพบในผลไม้เช่น มะเดื่อฝรั่ง (fig) เรซิน และขนุน สามารถเพิ่มระดับฮอร์โมน GLP-1 ได้ดี ในเชิงทฤษฎีก็อาจใช้ลดความอยากอาหารเพื่อรักษาโรคอ้วนได้ แต่ยังไม่เคยมีงานวิจัยใช้ผลไม้พวกนี้ช่วยลดน้ำหนัก ผมเดาว่ามันคงไม่แรงถึงขนาดใกล้เคียงกับยาฉีดดอก เพราะสารต่างๆในอาหารธรรมชาติมักมีอย่างละนิดอย่างละหน่อยแทรกอยู่ในกากซึ่งเป็นเนื้อหลักของผลไม้ ไม่ได้มีในปริมาณมากแบบสารที่สังเคราะห์เชิงอุตสาหกรรมแบบตั้งใจเอามาทำเป็นยา
4.2 งานวิจัยอีกจำนวนหนึ่งพบว่า ชาชนิดหนึ่งที่กินกันในอเมริกาใต้ ชื่อ Yerba Mate Tea กินแล้วจะถูกจุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนเป็นสารกระตุ้นการเพิ่มระดับฮอร์โมน GLP-1 ได้ ตัวหมอสันต์เองเกิดมายังไม่เคยเห็นชานี้ แต่หากตัวหมอสันต์เป็นโรคอ้วนเมื่อไหร่ก็จะลองหามากินดู
5. อะไรสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนัก
หากเปรียบการลดน้ำหนักเป็นสงคราม ตรงไหนคือสนามรบใหญ่ที่สุด นี่คือจุดคีมึ้งที่วงการแพทย์ไม่เคยเกาถูกที่คันเลยตลอด 100 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้มันเป็นแบบว่าร้อยหมอก็ร้อยความเห็น หมอสันต์เป็นอีกหนึ่งหมอก็มีอีกหนึ่งความเห็น คือหมอสันต์เห็นว่า
"การลดน้ำหนัก แท้จริงคือการรักษาโรคดื้อต่ออินสุลิน (insulin resistance)"
ซึ่งรายละเอียดกลไกของการดื้อต่ออินสุลินมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเยอะจนไม่อยากเซดเพราะเซดแล้วมันปวดเฮด แต่สักวันเมื่อมีเวลาผมจะคลี่คลายให้ฟัง วันนี้เอาแค่ประเด็นที่คุณจะเอาไปใช้รักษาโรคอ้วนฉุกเฉินของคุณก่อนละกันนะ ว่าการจะรักษาการดื้อต่ออินสุลินของร่างกายคุณ คุณต้องทำ 6 อย่างต่อไปนี้ คือ
5.1 เปลี่ยนอาหารที่กินอยู่ มากินอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ
ในประเด็นนี้บางหมอให้กินแบบคีโต หรือโลว์คาร์บ แต่หมอสันต์ไม่เอาแบบนั้นเพราะข้อมูลติดตามระยะยาวพบว่าแบบนั้นจะมีอัตราตายระยะยาวมากกว่ากินอาหารธรรมดาซะอีก ถ้าจะโลว์คาร์บแบบหมอสันต์ก็ทำได้เหมือนกัน คือกิน "คีโตวีแกน" แปลว่าโลว์คาร์บไม่กินเนื้อสัตว์ ไปกินไขมันเอาจากอะโวกาโด ทุเรียน ถั่ว นัท มะพร้าว อะไรไปโน่น แทน
5.2 ออกกำลังกาย เน้นหนักที่การเล่นกล้าม
5.3 นอนหลับให้ดี
5.4 กินอาหารหมัก อย่างน้อยก็ต้องกินโยเกิร์ต
5.5 ลดความเครียด เพราะฮอร์โมนเครียดทำให้ร่างกายดื้อต่ออินสุลิน
5.6 อดอาหาร เช่น
- รอให้หิวก่อนจึงค่อยกิน หรือ
- ทำ IF (งดมื้อเย็นหรือมือเช้า) หรือจะให้เจ๋งกว่านั้นก็คือ
- ทำ OMAD ย่อมาจาก one meal a day คือเอาแบบพระวัดป่าไปเลย แบบว่า..ฉันมื้อเดียว หิ..หิ ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์เพื่อรักษาระดับอินสุลินในเลือดให้ต่ำเข้าไว้
ผมคงช่วยคุณได้เท่านี้นะครับ ที่เหลือคุณไปต่อของคุณเองละกัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์