ทำอย่างไรถึงจะมีรักอย่างตื่นรู้
(ภาพวันนี้ : ของเล่นใหม่ตั้งไว้หน้าบ้าน)
คุณหมอสันต์ครับ
ทำอย่างไรถึงจะมีรักอย่างตื่นรู้
พอดีน้องชายวัย 41 กับหลานชายอายุ 20 มาปรึกษาผมเรื่องความรักนะครับ คนแรกต้องไปหาหมอดูเหมือนจะมีอาการซึมเศร้า คนที่สองมีอาการวิตกกังวล กลายเป็นคนเครียดสะสม แสดงว่าอายุไม่ได้มีผลกับเรื่องแบบนี้ ตัวผมเองไม่เคยมีประสบการณ์อกหัก รักคุด กลัวว่าตอบไป ไม่เข้าใจ แล้วจะเข้ารกเข้าพง จึงเขียนมาสอบถามคุณหมอเผื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นที่ตกอยู่ในภาวะแบบนี้ด้วยนะครับ
1. ที่คุณหมอบอกว่า…ความรักแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราได้ละทิ้งตัวตนดั้งเดิม 100 เปอร์เซ็นต์
แล้วเอาชนะการตอบสนองตัวตนของตัวเอง (belonging need) ตามสัญชาตญาณได้เท่านั้น ต่างจากการกระโจนเข้าสู่ความรักแบบการแลกเปลี่ยน ( barter trade) ผมเรียนถามคุณหมอนะครับ ว่าในชีวิตจริงมันเป็นไปได้ เหรอครับที่จะมีความรักแบบนั้นเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว ขอทราบวิธีการที่ทำได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง ด้วยครับ
2.. ที่คุณหมอบอกว่า…โลกทัศน์ของเราเป็นเพียงสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองจากความทรงจำแบบปะติดปะต่อกัน
บางทีการใช้ชีวิตในแบบที่เราที่คิดว่าฉันสามารถเลือกอะไรเองได้อย่างอิสระเสรีนั้นแท้ที่จริงแล้วมันก็เหมือนกับตอบสนองวงจรชีวิตซ้ำๆแบบแผ่นเสียงตกร่อง หรือขนมปังเก่าบูดขึ้นราที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความอยากและความกลัว คำถามคือ…เราควรใช้ชีวิตแบบมุ่งตื่นรู้และอยู่กับปัจจุบันให้ยอมรับกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยการเริ่มจากขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา ได้อย่างไรครับหากการคิดบวกไม่สำเร็จ
3.. ที่คนสมัยก่อนเขาพร่ำสอนกันว่าให้เลือกคู่ชีวิตโดยดูคุณสมบัติส่วนตัวที่คู่ชีวิตพึงมี เช่น ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ความประพฤติ ความเสียสละ และการพูดจากันรู้เรื่อง ที่เขาพูดมาแบบนั้นมันเป็น เพียงเรื่องในอุดมคติหรือเป็นเรื่องจริงครับ เพราะคนเราทุกคนก็มักจะมีแนวโน้มเลือกคบคนที่ตัวเองถูกใจ หรือคนที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ตัวเองขาดหายไป เช่น บางคนเรียบร้อยก็เลือกคู่ชีวิตที่สร้างความตื่นเต้น มีลูกเล่น อยู่ด้วยแล้วไม่น่าเบื่อ สร้างสีสัน ซึ่งตรงกันข้ามกับบุคลิกที่ตัวเองเป็นโดยสิ้นเชิง และทำไมคนบางคนถึงเลือกคบคนที่รู้สึกว่าคบแล้วตัวเองยังต้องมาเหนื่อยในความสัมพันธ์ เหมือนอย่างน้องชายผมบอกว่า รู้สึกเหนื่อยในความสัมพันธ์แต่ยังต้องคบเพราะกลัวว่าจะสูญเสียและทำใจไม่ได้หากใครคนนั้นต้องเดินจากไปในชีวิตจริง ส่วนหลานนี่พยายามง้อแฟนให้กลับมาทั้งๆที่ผู้หญิงเขาเปลี่ยนไปไหนต่อไหนแล้ว เพราะถูกเลี้ยงดูมาแบบทะนุทนอม ชีวิตไม่เคยผิดหวัง นี่ก็กลัวว่าถ้าเป็นหนักๆ จะย้ำคิดย้ำทำ ไม่กินข้าวกินปลา คำถามคือ…เราจะสร้างภูมิคุ้มกันให้คนพวกนี้ผ่านเรื่องราวแบบนี้ไปได้อย่างไรครับก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนเครียดเรื้อรัง โดยไม่สร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างและครอบครัว
4. เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ด้วยตัวเองก่อนที่จะมอบความรักให้แก่ผู้อื่นแล้วส่งผ่านความสุขโดยการแสดงออกให้แก่คนรอบข้างที่อยู่รอบตัวเห็น ถึงความสุขที่เรามี เราจะต้องทำอย่างไรครับ โดยที่มีความสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องมาทุกข์ร้อนเมื่อเกิดเหตุการณ์ของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง
5. เราจะสอนให้เด็กหรือผู้ใหญ่เลิกคาดหวังในเรื่องความรักได้อย่างไรครับ เหมือนที่คุณหมอ เคยบอกว่า….
ให้เรามีความรักโดยใช้ทัศนะแบบไม่ต้องจริงจังกับชีวิต เหมือนนักแสดงที่ไปจ่ายตลาด แล้วกลับมาอยู่บ้านก็เป็นเหมือนคนธรรมดา ถ้ามีความรักในทัศนะแบบนี้ได้ ชีวิตก็จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ร้อนในภายหลัง…ข้อความนี้
คุณหมอต้องการสื่อสารว่าเราควรวางใจตัวเองแบบไหนครับในเรื่องของการมีความรัก
6.. เมื่อเกิดวิกฤตในความรักเป็นไปได้หรือไม่ครับที่ผมจะแนะนำคนเหล่านั้นว่าไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลหรือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากคนอื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะยิ่งเราใช้ความคิดหาสาเหตุ
วิเคราะห์ปัญหาจากความทรงจำเก่าๆ มันคงหาทางแก้ไขไม่ได้ แต่ให้แก้โดยให้เราเข้าไป ขยันดูความคิด
ดูความรู้สึกที่เกิดจากข้างใน ซึมซับ ยอมรับ ยอมแพ้ และอยู่กับความรู้สึกเยี่ยงนี้ไปจนกว่ามันจะหายไป
ไม่ต่อยอดความคิดด้วยการสงสารตัวเอง ผมสามารถบอกพวกเขาแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ
7. หัวใจหลักในการเลือกคู่ชีวิตหรือการมีความรักตามแบบฉบับของ Dr.Sant คืออะไรครับ? เราจะสอนให้เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีอาการอกหัก รักคุดแบบเด็กๆ ที่ไม่เคยผิดหวัง ให้เลิกคาดหวัง ในความสัมพันธ์ได้อย่างไรครับ
(ผมเคยถามคนบางคนที่เปลี่ยนแฟนมาเป็น 10 คน เขาไม่เคยปรากฏอาการเศร้าโศกเสียใจนาน รวมถึงไม่เคยแม้กระทั่งกินข้าวกินปลาไม่ลง) แต่น้องชายกับหลานผมซึ่งเป็นคนที่ดู stable พอเกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ มันกลับตรงกันข้ามกัน ดูพวกเขาทุรนทุรายเกินปกติ พอมีความหวังให้พวกเขาพ้นบัวที่จมน้ำสู่ความตื่นรู้บ้างไหมครับ
ขอบคุณครับ
………………………………………………………………….
ตอบครับ
1. ถามว่าในชีวิตจริงมันเป็นไปได้หรือที่จะมีรักแท้อย่างไม่หวังผลตอบแทนบริสุทธิ์แท้ๆเพียวๆในความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว ตอบว่ามันเป็นไปได้เมื่อตอนที่หนุ่มสาวคู่นั้นได้อยู่กันมาจนแก่จวนเจียนจะเข้าโลงแล้ว กล่าวคือเมื่อแรกหนุ่มสาวที่ต่างก็ฮอร์โมนแรงมารักกัน มันเริ่มด้วยตัณหาอย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 50% บวกความปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายอย่างมากสุดก็ไม่เกิน 50% เมื่อเริ่มต้นได้แล้วมันจึงจะค่อยๆพัฒนาไป เพราะฉนั้นในวัยหนุ่มสาวมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเล่นเกมค้าขายแลกเปลี่ยนเหมือนเด็กเล่นขายของกันก่อน ซึ่งในการเล่นขายของทุกคนก็เคยเล่นมาแล้วย่อมรู้ว่าต้องทำใจว่ามันอาจมีแบบว่ากำลังเล่นกันเพลินอยู่ดีๆ อ้าว..เบื่อละ กลับบ้านหาแม่ดีกว่า วงแตกดื้อๆ
2.. ถามว่าคนเราจะใช้ชีวิตแบบมุ่งตื่นรู้และอยู่กับปัจจุบันให้ยอมรับกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยการเริ่มจากขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา ได้อย่างไร ตอบว่า ได้ด้วยการทำสองอย่างพร้อมกัน คือ
2.1 ฝึกทักษะการวางความคิด ก็คือฝึกสติสมาธินั่นแหละ ควรจะเริ่มฝึกมาตั้งแต่เป็นเด็กจำความได้แล้ว แต่มาฝึกเอาตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่สาย
2.2 ฝึกถอยจากตัวตนที่เป็นคนๆนี้เข้าไปเป็นอะไรลึกๆข้างในที่ไม่เป็นอะไรเลยทุกครั้งที่มีโอกาส พูดง่ายๆเอาหลักที่เรียนจากพุทธศาสนาวันอาทิตย์มาใช้ซะมั่ง(กรณีเป็นชาวพุทธ) คือให้รู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วขยันเอามันมาใส่เอามาเทียบเคียงกับชีวิตประจำวัน
ทำสองอย่างแค่นี้เหละ เวอร์คชัวร์
3.. ถามว่าการเลือกคู่ควรจะเลือกตามที่คนเฒ่าคนแก่บอกว่าเลือกคนดีๆ หรือจะเลือกคนที่ถูกใจตัวเอง ตอบว่าเลือกคนที่เขาเอาเราสิครับ ที่น้องของคุณและหลานของคุณมีปัญหาก็เพราะไปเลือกคนที่เขาไม่เอาเรา ถูกแมะ
4. ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ด้วยตัวเองก่อนที่จะมอบความรักให้แก่ผู้อื่น ตอบว่าเป็นไปได้สิครับ และมันควรจะเป็นอย่างนั้นเสมอด้วย เพราะในการมีชีวิตอยู่นี้ หากลำพังตัวเราเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วไปเที่ยวควานหาคนอื่นมาให้เราเกาะ ให้ยึด ให้ดึง คุณว่าคนนั้นเขาจะทนเราได้นานแมะ เพราะลึกๆเขาก็อาจจะมาด้วยเจตนาเดียวกันก็ได้ แล้วใครจะยอมให้ใครเกาะละครับ
5.. ุถามว่าจะมีความสัมพันธ์อย่างไรจึงไม่ต้องมาทุกข์เมื่อความสัมพันธ์นั้นเปลี่ยนไป ตอบว่า ตอบไปแล้วในข้อ 1 ไงครับ ย้ำอีกที ทำสองอย่าง (1) ฝึกทักษะสติสมาธิวางความคิด (2) เอาหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าเทียบเคียงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตบ่อยๆ ทุกวันยิ่งดี
6. ถามว่าจะสอนให้เด็กหรือผู้ใหญ่เลิกคาดหวังในเรื่องความรักได้อย่างไร ตอบว่าความหวัง (expectation) คือการไม่ยอมรับสภาพการณ์ปัจจุบัน คือปัจจุบันเป็นแบบหนึ่ง ตัวเองอยากได้อีกแบบ เมื่อตั้งต้นด้วยความคาดหวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งความคาดหวังที่จะให้คนอื่นเป็นคนทำ ก็เชื่อขนมเจ๊กกินได้แล้วว่าจะจบด้วยความทุกข์ เพราะเราใช้ชีวิตไปผิดทาง คือชีวิตที่ไปถูกทางต้องใช้กันที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาซึ่งทั้งหมดนั้นมันอยู่ในใจของเราเองเราพอคุมได้ เมื่อมีแฟนเราก็คิดพูดทำในส่วนของเราเสียให้ดี ส่วนข้างเขาจะทำ จะคิด จะพูดอย่างไรมันเกินเขตอำนาจของเราจะไปกะเกณฑ์ ส่วนนั้นเรามีหน้าที่แค่รับรู้และยอมรับ อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิด จะไปทำอะไรได้ละ ถ้าแฟนเขาจะถีบเราทิ้งก็โอเค. เพราะขอโทษ..มันเป็นตีนของเขา เราจะไปทำอะไรได้เล่า
7.. ถามว่าเมื่อคนอื่นอกหักจะบอกเขาว่ามันเป็นสิ่งที่เราคุมไม่ได้ไม่ต้องพยายามหาเหตุผลได้ไหม ตอบว่าได้สิครับ เป็นวิธีบอกที่ดีด้วย
8. ถามว่าหลักในการเลือกคู่ชีวิตของหมอสันต์คืออะไร ตอบว่าสมัยหนุ่มๆหมอสันต์ไม่เคยมีหลักอะไรทั้งสิ้น เมื่อมองย้อนหลังไปจากตอนนี้ผมหากจะมีรักมีคู่ครองผมก็จะใช้หลักเหมือนกับที่ทำกับทุกกิจกรรมของชีวิตคือสำรวจเรียนรู้มันดะไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และยอมรับอะไรเซอร์ไพรส์ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งหมดไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบ
9.. ถามว่าพอจะมีความหวังให้พวกเขาที่อกหักพ้นจากสภาพบัวที่จมน้ำสู่ความตื่นรู้ได้บ้างไหม ตอบว่ามีสิ ก็สองอย่างที่พูดไปแล้วนั่นแหละ (1) ฝึกสติสมาธิวางความคิด (2) เอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาอธิบายทุกย่างก้าวของชีวิต
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
.