ความสัมพันธ์ (relationship) ก็ดีถ้ามีได้ แต่การรู้จักมีชีวิตอยู่ (existence) ต่างหากที่เป็นของจริง
(ภาพวันนี้: ดอกกระทิง)
หนูอายุ -35 อยู่กับแม่ พ่อแยกทางไปแล้ว หนูมีแฟน แต่แม่เข้ามาสอดแทรก หนูเครียด จนบางครั้งกลายเป็นความรู้สึกเกลียดแม่ อยากจะกรี๊ดใส่หน้าแม่ดังๆว่าหนูเกลียดแม่ แล้วก็มานั่งรู้สึกผิด ชีวิตเจอแต่สิ่งที่ไม่พอเหมาะพอดี รู้สึกว่าชีวิตจะไปต่ออย่างนี้ไม่ได้
หนูหวังคำแนะนำจากคุณหมอ
……………………………………………………………………………
ตอบครับ
ก่อนอื่นผมจะสอนให้คุณแยกแยะระหว่างสองสิ่ง คือความสัมพันธ์ (relationship) กับการมีชีวิตอยู่ (existence) ว่ามันไม่เหมือนกัน
การที่คุณเติบโตมา ตั้งแต่วัยช่วยตัวเองไม่ได้ แค่ร้องแอะเดียวคุณแม่ก็มาช่วยบำบัดบรรเทาความไม่สบายทั้งหลายให้ คุณเริ่มเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับคุณแม่ บ่มเพาะความรู้สึกอบอุ่น พึ่งพา นี่เรียกว่าความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูก
การที่คุณเติบโตเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่ พบกับชายหนุ่ม ได้อยู่ใกล้ชิดกัน ฮอร์โมนในร่างกายสร้างความรู้สึกดีๆขึ้นในร่างกายและในจิตใจ คุณกับเพื่อนชายเริ่มคิดฝันอะไรร่วมกันนั่นดีนี่ไม่ดีนั่นจะทำนี่จะไม่ทำ นี่เรียกว่าความสัมพันธ์ฉันท์หญิงชาย
ความสัมพันธ์ (relationship) ไม่ว่าจะเป็นกับแม่หรือกับแฟน ล้วนเป็นความคิด (thought) หรือเป็นชุดของความคิด (concept) หรือเป็นเรื่องราว (story) ที่บอกกล่าวออกมาเป็นภาษาได้ โหลงโจ้งแล้วทั้งหมดนั้นคือความคิด
อย่างที่ผมเคยพูดบ่อยๆว่าความคิดมีธรรมชาติสองด้าน ด้านหนึ่งปรากฎเป็นเนื้อหาเรื่องราวในภาษา อีกด้านหนึ่งปรากฎเป็นความรู้สึก (feeling) บนร่างกายหรือในใจ ความคิดที่มีความโดดเด่นในส่วนหลังนี้เรียกว่าง่ายๆว่าเป็นอารมณ์ (emotion) ซึ่งเป็นที่เชื่อมโยงระหว่างความคิดกับพลังชีวิต
ส่วนการมีชีวิตอยู่ หรือการใช้ชีวิต หรือ existence นั้นมันเป็นอย่างไรเล่า มันคือการที่คุณตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ตรงนี้ รับรู้สิ่งเร้าต่างๆที่เข้ามาได้อยู่ ณ ขณะนี้ ทีละขณะ ทีละขณะ ซึ่งเป็นเรื่องพ้นภาษา พ้นความคิดออกไป คุณอยู่ตรงนี้ได้สองแบบ คือแบบสงบเย็นและสร้างสรรค์ถ้าคุณอยู่แบบพ้นจากอิทธิพลความคิดของคุณเองได้ หรือไม่ก็อยู่แบบเร่าร้อนกระวนกระวายหากคุณจมอยู่ใต้อิทธิพลของความคิดของคุณเอง จะอยู่แบบไหน คุณเลือกได้
การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ตัว เป็นสิ่งที่ดี ผมไม่ได้ต่อต้าน งานวิจัยทางการแพทย์ร้อยทั้งร้อยบ่งชี้ว่าคนที่มีความสัมพันธ์กับคนรอบตัวดี จะมีสุขภาพดี มีอายุยืนยาวกว่าคนที่มีความสัมพันธ์กับคนรอบตัวไม่ดี
แต่ประเด็นของผมคือความสัมพันธ์กับคนรอบตัวไม่ใช่สารัตถะที่แท้จริงของชีวิต การมีชีวิตอยู่ หรือ existence ต่างหากที่เป็นสารัตถะที่แท้จริงของชีวิต
การจะเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ยิ่งๆขึ้นไปนั้นให้คุณตั้งต้นโดยการนึกย้อนหลังไปในชีวิตแต่อดีตว่ามีโมเมนต์ไหนในชีวิตบ้างที่คุณสงบเย็น ปลอดความคิดแต่สงบเย็น ให้คุณจำโมเมนต์นั้นไว้ ให้เริ่มเอาโมเมนต์แบบนั้นมาเป็นจุดตั้งต้น หรือเป็น “ตรงกลาง” สำหรับคุณ แล้วหัดอยู่ตรงนั้นไปทีละขณะ ทีละขณะ เวลาที่เผลอแกว่งไปกอดรัดเกี่ยวพันสิ่งที่ชอบ หรือเผลอแกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ นั่นก็คือคุณหลุดจากตรงกลางไปแล้ว พอรู้ตัวก็ให้กลับมาอยู่ตรงกลางนี้อีก
ณ ที่ตรงนี้ ให้คุณเปิดรับให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาทางทุกอยาตนะ รวมทั้งความคิดด้วย ให้มันผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป ยอมรับมันตามที่มันเป็น โดยที่คุณต้อง position ตัวเองไว้ที่ “ตรงกลาง” อย่างมั่นคง หัดทำอย่างนี้แล้วความสงบเย็นที่ตรงกลางนั้นมันจะมากขึ้นๆ จนถึงจุดหนึ่งสิ่งที่ผมเรียกว่าความสร้างสรรค์หรือ creativity มันจะโผล่ขึ้นมาเอง แล้วชีวิตของคุณก็จะเป็นชีวิตที่สงบเย็นและสร้างสรรค์ ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป นี่คือวิธีใช้ชีวิตที่ผมแนะนำ ไม่ต้องห่วงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะเมื่อคุณอยู่ตรงกลางและสงบเย็นได้ คนรอบข้างเขาจะได้ใบบุญจากคุณกันทั่วหน้าเอง
ที่ผมสอนคุณนี่มันฟังดูเหมือนเป็นนามธรรมมากเลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ผ่านมาแต่ในโลกของความคิด แต่คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจที่ผมพูดทั้งหมดดอก ไม่ต้องคิดอ่านเอาเหตุผลเชิงตรรกะสนับสนุนหรือหักล้างด้วย เพราะนั่นเป็นโลกของความคิดที่รังแต่จะทำให้คุณเสียเวลายิ่งขึ้น แค่คุณลองทำดู วันละนิดวันละหน่อย สักวันหนึ่ง คุณจะเข้าถึง “ตรงกลาง” ที่ผมพูดถึงเอง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์