มะเร็งสมองชนิดร้ายแรง Glioblastoma
(ภาพวันนี้: ดอกหญ้าริมทางเดิน)
เรียนคุณหมอสันต์ ที่เคารพ
ดิฉันชื่อ … จะขอความกรุณาคุณหมอให้คำแนะนำแนวทางการรักษาและดูแลตัวเองของสามี ตรวจพบมะเร็งสมองคะ อาการของโรคเป็นแบบไม่มีสัญญาณของโรคมาก่อน สุขภาพเขาแข็งแรงมากคะ ถึงแม้จะมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ โดยรักษาด้วยการทำบอลลูนเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เส้นแรก และมีการทำเพิ่มมาอีก 2 เส้นในอีก 3 ปีถัดมา (รวมทำบอลลูนหัวใจทั้งหมด 3 เส้น) ประมาณ มีนาคม ดิฉันเริ่มสังเกตว่าเขาพูดสับสนบางเรื่อง และจำสิ่งที่คุยไปไม่ได้ ที่เหลือไม่มีอาการอย่างอื่นเลยคะ ไม่ปวดหัว ไม่เดินเซ พาไปพบแพทย์หัวใจ คุณหมอ … ที่รพ … ตามนัด คุณหมอจึงนัดให้ไปพบคุณหมอสมอง ยังขับรถทำงานปกติ แต่ขณะที่ทำงานเตรียมเอกสาร เขาเริ่มเครียดเพราะคิดไม่ออกและสื่อสารไม่ได้ หนูรีบพาไปรพ คิดว่าหรือจะเป็นเส้นเลือดตีบ เราไปรพ … ใกล้ที่ทำงาน คุณหมอสั่งทำ MRI CTSCAN ต่อเลยเพราะพบบางอย่างผิดปกติ และผลวินิจฉัยออกมาว่าเขาเป็นมะเร็งสมอง เป็นprimary นะคะ
คุณหมอนัดผ่าตัดเมษายน ผลชิ้นเนื้อยืนยันว่าเป็นมะเร็งสมอง ชนิดร้ายแรง “Glioblastoma “ และเริ่มฉายแสงและทานยาคีโม Temozolomide ต้องฉายแสงรวมทั้งหมด 30ครั้งคะ ข้อมูลที่คุณหมอแจ้งเพื่อให้เรารับทราบคือ มะเร็งสมองของสามี เป็นระยะที่ 4 และเป็นมะเร็งที่รักษายาก โอกาสเกิดซ้ำมีสูง ไม่ค่อยตอบสนองกับคีโมและการฉายรังสี สามีจะมีเวลาเหลือประมาณ ปีครึ่งคะ
ทางเราก็พยายามหาข้อมูลทางเลือกเพื่อการรักษา และดูแลตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง เพราะเหมือนจะมีทางเลือกเดียวคือ ธรรมชาติบำบัด ซึ่งมีโอกาสที่มะเร็งจะอยู่อย่างสงบ แต่ก็ยังไม่มั่นใจกับมะเร็งสมองชนิดนี้คะ ดิฉันติดตามfbของคุณหมอ จึงขอความกรุณามาเพื่อจะขอเข้าไปขอคำแนะนำแนวทางรักษาตัวคะ ถ้ามีโอกาสก็อยากไปเข้าค่าย
ระหว่างนี้เราก็เปลี่ยนชีวิตตามแนวทางดังนี้คะ
1.ตื่นนอน 5.00 ทำกิจวัตร ส่วนตัว ทานน้ำผักสกัด
2. ไปวิ่งออกกำลังกายเวลา 6.00 น สามีวิ่งประมาณ 6-8 กิโลเมตรได้สบายๆคะ เพราะเขาวิ่งประจำ ส่วนดิฉันเดินออกกำลังกายด้วยก็ได้ประมาณ 3.0 กิโลเมตรคะ
3.กลับบ้านทานอาหารเช้า เราปรับเปลี่ยนอาหารทานเฉพาะปลา กุ้ง ไก่ และไข่ คะ
4.สวดมนต์เวลา 21.00 และนอนไม่เกิน 21.30 น
จะฉายแสงครบ 30 ครั้ง ได้แนบภาพ MRI สมองก่อนผ่าตัด และหลังผ่าตัด มาให้คุณหมอด้วยคะ
………………………………………………………..
ตอบครับ
1.. เรื่องขอนัดหมายพบเพื่อขอปรึกษาหรือให้เป็นหมอประจำครอบครัวนั้น ปัจจุบันนี้ผมเกษียณแล้ว เลิกดูแลผู้ป่วยที่คลินิกและโรงพยาบาลไปแล้ว 100% เพราะ 70 แล้วหากไม่เลิกก็คงต้องตายคา แต่ว่ายังรับดูแลผ่าน Clinic Online ทุกวันจันทร์อยู่ ตรงนั้นอาจจะเป็นช่องทางให้ปรึกษาหารือได้ หากยังมีประเด็นอะไรนอกเหนือจากที่ผมจะแนะนำในวันนี้
2.. เรื่องจะมาเข้าแค้มป์ที่เวลเนสวีแคร์นั้น เนื่องจากผมได้หยุดแค้มป์ Cancer Retreat ไปแล้ว หลังจากทำมาได้สามสี่ครั้ง เพราะได้ประเมินแล้วพบว่าแค้มป์ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ วัตถุประสงค์นั้นก็คือให้ผู้ป่วยมะเร็งยอมรับโรคของตนเองแล้วหันมาพัฒนาคุณภาพชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าผู้มาเข้าแค้มป์มะเร็งร้อยทั้งร้อยมาด้วยความมุ่งมั่นที่จะหายจากมะเร็งและมอง Cancer Retreat ว่าจะทำให้หายจากมะเร็งได้ หากผมขืนทำต่อไปก็เท่ากับว่าผมหลอกให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความหวังลมๆแล้งๆ ซึ่งไม่ชอบด้วยหลัก จริยธรรมวิชาชีพข้อที่ว่าแพทย์ไม่พึงให้การรักษาที่ไร้ประโยชน์ (principle of futility) ผมจึงเลิกแค้มป์มะเร็งไป แต่หากอยากจะมาฟื้นฟูที่เวลเนสก็ยังทำได้ด้วยการมาเข้าโปรแกรมฟื้นฟูทั่วไป (Rehabilitation Program – RP) ของใครของมันเพื่อมาพักผ่อนกินอาหารพืชเป็นหลักและอยู่ในสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ไม่มีการสอน ไม่มีการรักษาอะไร อันนี้มาเมื่อไหร่ก็ได้
3.. ประเด็นการพยากรณ์โรค ที่หมอเขาบอกว่ามะเร็งสมองชนิด malignant glioblastoma multiforme ถ้าไม่รักษาอยู่ได้ไม่เกินปี ถ้ารักษาอยู่ได้ปีครึ่งนั้น เป็นสถิติอัตรารอดชีวิตเฉลี่ย (mean survival rate) ของผู้ป่วยโรคนี้ที่มีการบันทึกไว้จากผู้ป่วยจำนวนมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยทุกคนจะต้องเป็นแบบนี้ มันมีบวกมีลบได้ คุณใช้ข้อมูลการพยากรณ์โรคในแง่ที่ทำให้เราเตรียมตัวในเรื่องต่างๆทางสังคมเช่นพินัยกรรมหรือแบ่งทรัพย์สมบัติได้ทัน ใช้แค่นั้นพอ อย่าไปใช้ข้อมูลนี้ในแง่ที่จะบ่มความคิดลบเช่นความกลัว ความกังวล ความดิ้นรนไขว่คว้า ให้เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่า เพราะการใช้ชีวิตเราใช้กันแต่ในวันนี้เท่านั้นไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่เป็นก็ใช้ชีวิตได้แค่ในวันนี้วันเดียวเท่ากันทั้งนั้นแหละ ให้สนใจจะใช้ชีวิตในวันนี้อย่างไรให้ชีวิตมีคุณภาพ มีความสงบเย็นและสร้างสรรค์ดีกว่า
4.. ประเด็นการรักษาตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน เมื่อหลังการผ่าตัดฉายแสงและจบคอร์สเคมีบำบัดก็คือจบการรักษาแล้ว ที่เหลือเป็นการติดตาม เกิดอะไรขึ้นอีกก็ค่อยมาว่ากัน สิ่งที่เหลืออยู่นอกจากการรักษาของแพทย์ ที่คุณเรียกว่าธรรมชาติบำบัดนั้น มันมีอยู่สองแบบนะ คือ
แบบที่ 1. พยายามลองรักษาด้วยโน่นนี่นั่นที่อยู่นอกขอบเขตของวิชาแพทย์แผนปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรและการบำบัดแบบทางเลือกต่างๆ ยามด ยาหม้อ หมอผี หมอพระ ใครว่าอะไรดีก็พยายามหามาลองให้หมด กับ
แบบที่ 2. ก็คือการยอมรับว่าเป็นมะเร็ง และยอมรับว่ามะเร็งอาจจะอยู่กับเราไปจนตาย ยอมรับที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมะเร็ง และดำเนินชีวิตไปแบบเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติโดยไม่ไปแทรกแซงหรือพยายามอะไรมากไปกว่าการสัมผัสธรรมชาติตามปกติเช่นแสงแดด น้ำ ดิน และอาหารพืชที่หลากหลาย และฝึกวางความคิดให้ใจสงบเย็น โดยไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะหาย ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะตายแบบนั้นแบบนี้ แค่ใช้ชีวิตแต่ละวันไปอย่างเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ถ้าปรึกษาผม ผมก็แนะนำให้เลือกแบบที่ 2 โดยแนะนำเป็นพิเศษให้ให้น้ำหนักกับการฝึกวางความคิด เลิกอยู่กับอดีต อนาคต หันมาใช้ชีวิตที่มีแต่วันนี้ ผมไม่มีคำแนะนำอะไรที่พิศดารกว่านี้ ถ้าต้องการฝึกวางความคิดและทำเองไม่สำเร็จก็ให้มาเข้า Spiritual Retreat ได้ เพราะมีผู้ป่วยมะเร็งจำนวนไม่น้อยมาเข้า SR ในแต่ละรอบที่เปิด retreat ถ้าต้องการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติและกินอาหารที่มีแต่พืชไม่มีเนื้อสัตว์เลยก็ให้มาพักแบบฟื้นฟู (RP) ที่เวลเนสวีแคร์นี้ได้ จะอยู่กี่วันก็ได้ตามใจชอบ
ในแง่ของอาหารว่าจะกินอาหารแบบไหนดี ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์แม้แต่ชิ้นเดียวที่จะบ่งชี้ว่าเนื้องอกสมองชนิดGBM นี้จะลดขนาดลงหรือหายไปได้หรือไม่ด้วยอาหารชนิดใด แต่มีข้อมูลหลักฐานจากมะเร็งชนิดอื่นเช่นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ว่าอาหารพืชเป็นหลัก (วีแกน) สัมพันธ์กับการลดขนาดของมะเร็งและลดระดับสารชี้บ่งมะเร็งลงได้ ดังนั้นถ้าถามผม ผมก็แนะนำโดยหลักฐานเท่าที่เล่าให้ฟังนี้ว่าหากจะทำการทดลองกับตัวเองดูสัก 6-12 เดือนกินอาหารพืชแบบวีแกนโดยกินให้หลากหลาย ก็เป็นสิ่งที่ควรทำนะครับ หากจะลองจริงๆ ไม่ว่าใครที่คิดจะลองก็ลองได้ทั้งนั้นแหละ เพราะการเสพย์ติดอาหารเช่นการติดอาหารเนื้อนมไข่ไก่ปลาเมื่อหยุดกินอาการลงแดงก็จะมีอยู่อย่างมากแค่ 3-4 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นการกินอาหารวีแกนก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากไม่อยากลองก็ไม่ต้อง มันเป็นแค่การทดลอง ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้แล้วแต่ชอบ เพราะอย่างที่ผมบอกแล้ว หลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับการป่วยเป็นมะเร็งชนิดนี้ยังไม่มี
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์