ลูกสาวนอนร้องไห้ไม่เลิกแม้แต่คืนเดียว

สวัสดีค่ะคุณหมอ

หนูมีความเครียดที่เกี่ยวกับอาการของลูกสาวมาถามค่ะอายุ1ปี7เดือนพอดีค่ะ ตอนนี้ ตั้งแต่เกิดน้องร้องไห้เก่งมากแม่เครียดแต่พอไปพบหมอหมอบอกไม่เป็นไรเป็นเรื่องปกติ จนตอนนี้ลูกสาวก้อยังไม่หลับสนิท นอนร้องไห้กรี๊ดไปทุกคืน น้อยมากที่ไม่ร้องค่ะ เพลียจิตใจค่ะ นอนเฉลี่ยต่อวัน13-14ชั่วโมงเวลานอน00:00-12:00นอนกลางวัน16:00-18:00กลางวันไม่งอแงร่าเริง กินเก่ง ข้าวผลไม้นอนกลางคืนหลังหลับไป1-2ชั่วโมงจะร้องกรี๊ดๆ ไม่ลืมหูลืมตา เปิดไฟเรียกก้อไม่ตื่นไม่เล่น ไม่นม ไม่น้ำ ไม่กอดแต่จะร้องดังขึ้นไปจนแม่อยากจะร้องตาม ร้องกรี๊ดๆยุ5-10นาทีก้อเหนื่อยและหลับไปค่ะ ยาวยันเที่ยงวันค่ะตื่นมาอารมดีทุกวัน

ปกติมั้ยค่ะหมอ

………………………………………………………………….

ตอบครับ

ถามว่าเด็กนอนฝันร้ายร้องกรี๊ดทุกคืนแบบจริงจังมากเป็นปกติไหม ตอบว่าเป็นความผันแปรในย่านปกติ (normal variation) หมายความว่าเด็กส่วนใหญ่เขาไม่ได้เป็นอย่างนี้กัน แต่มีเด็กส่วนน้อยเป็น ซึ่ง normal variation นี้ในทางการแพทย์ไม่ถือว่าเป็นโรคที่ต้องรักษา เว้นเสียแต่จะมีผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ

คุยกันเรื่องนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ ประมาณสามปีมาแล้ว ตอนนั้นผมก็แก่พอสมควรแล้ว ได้ไปเดินเที่ยวขึ้นภูกระดึงเพราะตอนหนุ่มๆไม่เคยไป มีเพื่อนของเพื่อนคู่หนึ่งซึ่งแก่กว่าผมคือทั้งคู่อายุราว 76 ปีไปเดินด้วย หญิงเป็นญี่ปุ่นอยู่อเมริกามานานหลายสิบปี ชายเป็นอเมริกัน ถึงจะแก่แต่ทั้งสองคนแข็งแรงกว่าผมและปีนเขาได้เร็วกว่าผมเสียอีก พอตกกลางคืน เราพักในบ้านพักอุทยาน บ้านหลังเดียวกันห้องติดกันมีฝาไม้ไผ่ขัดแตะกั้น กลางดึกก็ได้ยินเสียงเพื่อนผู้หญิงคนญี่ปุ่นร้องกรี๊ดโหยหวนผมตกใจตื่นร้องตะโกนถามว่า

“โนริโกะ คุณโอเค.หรือเปล่า” ก็ได้ยินเสียงแฟนของเธอตอบมาแบบนิ่งๆไม่ตื่นเต้นตกใจว่า

“เราโอเค. ไม่มีอะไร ขอบคุณมาก”

พอรุ่งเช้า เพื่อนผู้ชายก็พูดเล่นเชิงตลกในโต๊ะกินข้าวว่า

“คุณได้ข่าวเมื่อคืนมีการฆาตกรรมในหมู่บ้านไหม”

แล้วโนริโกะก็เล่าให้ผมฟังว่าแทบทุกคืนเธอจะต้องฝันเห็นการฆาตกรรมตัดหัวกันสยดสยองและร้องกรี๊ดลั่น เธอพยายามรักษาทำจิตบำบัดกับหมอที่ว่าดังๆในอเมริกามาหมดแล้วก็ไม่หาย จนเธอปรับตัวได้แล้วและใช้ชีวิตตอนตื่นได้อย่างคนปกติแต่เมื่อฝันทีไรเธอก็กลัวหวีดร้องทุกที เธอเล่าว่าแม่ของเธอก็เป็นแบบเดียวกันตั้งแต่เด็กจนแก่คือเรียกว่าเป็นโรคฝันร้ายตลอดชีพ แสดงว่าความฝันนี้ถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ด้วยนะ

ความจำ ความคิด พฤติกรรม นี้ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด ไม่รู้ว่ามันมาทางไหน บางส่วนก็ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้แน่นอนอย่างน้อยก็ในสัตว์ทดลอง มีงานทดลองหนึ่งทำในหนูโดยให้หนูดมกลิ่นกุหลาบแล้วตามด้วยการช็อคไฟฟ้าให้หนูได้รับความเจ็บปวด ทุกครั้งที่ได้ดมกลิ่นกุหลาบจะตามมาด้วยการช็อคไฟฟ้า จนเมื่อใดก็ตามที่ได้กลิ่นกุหลาบหนูจะวิ่งหนีห้วซุกหัวซุนเพราะรู้ว่าความเจ็บปวดกำลังจะตามมา เมื่อเลี้ยงหนูมาในบรรยากาศกุหลาบฆาตกรรมนี้จนหนูโตเป็นหนุ่มสาวก็เอาหนูพวกนี้ไปแต่งงานมีลูก แล้วแยกเอาลูกของหนูไปเลี้ยงต่างหากโดยไม่ให้ได้รู้จักหรือได้กลิ่นกุหลาบ พอโตได้ที่แล้วก็ทดลองปล่อยกลิ่นกุหลาบเข้าไปในกรงลูกหนูเหล่านั้นก็พบว่าพวกหนูรุ่นลูกวิ่งหนีกลิ่นกุหลาบกันหัวซุกหัวซุนทั้งๆที่มันไม่เคยรู้จักกลิ่นกุหลาบมาก่อนเลยในชีวิต และเมื่อหนูรุ่นลูกโตเป็นหนุ่มสาวแล้วก็เอาไปแต่งงานกับหนูที่อยู่นอกสังคมกุหลาบฆาตกรรม ก็พบว่าหนูรุ่นหลานบางตัวยังได้รับการถ่ายทอดความกลัวกลิ่นกุหลาบมาด้วย คือได้กลิ่นกุหลาบเมื่อใดก็ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อนั้น

เราเรียนรู้จากงานวิจัยกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกง่ายๆว่า “งานวิจัยระลึกชาติ” ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยที่ทำทางอังกฤษหรือทำทางอเมริกาก็พบแบบเดียวกันว่าสิ่งที่ติดตัวเด็กมาตั้งแต่เกิด ในกรณีที่เป็นความจำ ความคิด พฤติกรรมซึ่งเด็กทำได้ทั้งที่ยังไม่เคยเรียนรู้ มักจะอยู่กับเด็กเฉพาะวัยต้นๆ จะมีผลมากที่สุดตอนสองสามขวบ แล้วก็จะแผ่วหายไปเมื่ออายุหกเจ็ดขวบ ในงานวิจัยเหล่านั้น (บางงานตามดูคนมากถึง 25,000 คน) ไม่มีเลยที่ความจำเก่าๆ (ที่เชื่อกันว่ามาจากชาติก่อน) จะอยู่ได้ต่อเนื่องไปถึงวัยผู้ใหญ่ นี่พูดถึงตอนตื่นนะ แต่ในความฝันไม่มีงานวิจัยไหนสำรวจไปถึง

ผมอาจจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมนิดหน่อยจากมุมมองทางด้านจิตวิญญาณ สิ่งที่โผล่มาในความฝันก็คือความคิดนั่นเอง ความคิดก่อตัวขึ้นในใจโดยการตกกระทบหรือการพบกัน (contact) ของสี่อย่างคือ (1) มีความรู้ตัวอยู่ (2) มีสิ่งกระตุ้นซึ่งอยู่ในรูปของคลื่น เช่น ความร้อน แสง เสียง สัมผัส (3) มีอายตนะทั้งหกเป็นตัวรับสิ่งกระตุ้น คือตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและใจ (4) มีความจำที่จะเปลี่ยนสิ่งกระตุ้นนั้นให้มาอยู่ในรูปของรูปร่างที่มองเห็น (forms) หรือภาษาเรื่องราว (names) ที่เข้าใจได้ทันที เมื่อทั้งสี่อย่างนี้มาตกกระทบคลุกเคล้ากัน ความคิดก็เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเซลร่างกายทันทีผ่านกลไกการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งสมองรับรู้ได้ (feeling) เช่นหัวใจเต้นเร็ว เหงื่อแตก กล้ามเนื้อเกร็ง ขนลุก เป็นต้น แล้วกลไกการสนองตอบต่อสิ่งเร้าแบบอัตโนมัติก็จะทำให้เกิดความคิดตีความต่อยอดว่านี่เป็นดีหรือร้าย เป็นมิตรหรือศัตรู ต้องหนีหรือต้องสู้ ซึ่ง ณ จุดที่เกิดความคิดต่อยอดนี่แหละ ที่ความกลัวซึ่งเป็นความคิดต่อยอดชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ความกลัวจะทำตัวเป็นสิ่งเร้าใหม่ไปตั้งต้นวงจรการก่อความคิดใหม่อีก ไม่รู้จบ การจะลดความกลัวนี้ ทำได้โดยการฝึกวางความคิดในขณะตื่น พูดง่ายๆว่าฝึกสติในขณะตื่น ฝึกสอนให้เด็กชำเลืองมองความคิด (ความกลัว) ของตัวเองให้เป็น ให้เด็กแยกให้ออกระหว่างตัวเองซึ่งเป็นความรู้ตัว กับความกลัวซึ่งเป็นความคิด ว่าเป็นคนละอันกัน เมื่อฝึกความรู้ตัวได้ดีถึงระดับหนึ่งแล้ว มันจะเอาไปใช้ได้ในความฝันด้วย เรื่องการฝึกสติแล้วเอาไปใช้ในฝันได้นี้ไม่มีงานวิจัยอะไรรองรับหรอกนะ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง

สิ่งเร้าที่เข้ามาตกกระทบให้เกิดความคิดล้วนเป็นคลื่น คลื่นนี้อย่าว่าแต่ทำให้เกิดความคิดเลย คลื่นจะทำให้ร่างกายเนื้อตันๆนี้กระโดดโลดเต้นอย่างไรก็ยังทำได้ งานวิจัยผลของคลื่นต่อน้ำพบว่าคลื่นเสียงทำให้น้ำเปลี่ยนตัวเป็นรูปต่างๆได้อย่างพิศดารตามความถี่และความกว้างของคลื่นที่เปลี่ยนไป เมื่อเปลี่ยนน้ำให้เป็นของเหลวที่หนืดขึ้นเช่นเป็นแป้งข้าวโพดกึ่งเหลวกึ่งหนืด คลื่นเสียงสามารถทำให้แป้งข้าวโพดเคลื่อนไหวแบบตุ๊กตาลุกขึ้นมาเต้นระบำได้เลยโดยท่าเต้นของตุ๊กตาเปลี่ยนไปตามความถี่และช่วงกว้างของคลื่นที่ใช้ ทั้งนี้อย่าลืมว่าร่างกายของคนเรานี้เป็นน้ำเสีย 70% นะ จึงไม่แปลกที่เวลาน้ำขึ้นเช่นคืนพระจันทร์เต็มดวงคนบางคนก็ทำท่าจะเพี้ยนๆเอา หิ หิ พูดเล่นนะ เปล่าทบเทียบใคร

เขียนมาถึงตรงนี้ขอเล่านอกเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ครูของผมซึ่งเป็นโยคีอินเดียเล่าว่าสมัยท่านยังเด็กลูกพี่ลูกน้องของท่านซึ่งเป็นเด็กหญิงจากบ้านนอกปิดเทอมมาพักอยู่บ้านท่านโดยนอนกับพี่สาวของครู เช้าวันหนึ่งพี่สาวร้องเรียกให้คนช่วยเพราะเธอลุกจากที่นอนไม่ได้เพราะลูกพี่ลูกน้องที่นอนด้วยกันซึ่งผอมกระแด๋งตัวเล็กนิดเดียวได้นอนหลับโดยกอดเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ปลุกเธอก็ไม่ตื่น พวกผู้ใหญ่มาแกะแขนของเธอก็แกะไม่ออก ไปเรียกน้าชายบ้านข้างๆซึ่งร่างกายกำยำมาแกะแขนเด็กตัวเล็กๆคนนี้ก็แกะไม่ออก พอดีคุณแม่ของครูคิดขึ้นได้ว่าที่หิ้งพระมีกำไลที่โยคีตนหนึ่งซึ่งครอบครัวเคารพนับถือให้ไว้ จึงไปเอากำไลนั้นมาสวมใส่แขนเด็ก เด็กจึงตื่นขึ้นมาแบบปกติแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เป็นที่รู้กันดีว่าวัสดุแทบทุกชิ้นมีความสามารถปล่อยคลื่นออกมาจากตัวมันเองได้มากบ้างน้อยบ้าง จึงไม่แปลกที่ความคิดของเราบางครั้งก็เป็นไปตามอิทธิพลของชิ้นวัสดุหรือสถานที่หรือคนที่เราเข้าไปอยู่ใกล้ๆ

คุยกันเรื่องอะไรอยู่นะ อ้อ เรื่องเด็กนอนฝันร้ายแล้วร้องเสียงดังปลุกก็ไม่ตื่น สรุปว่าในกรณีลูกสาวของคุณนี้วิธีแก้ปัญหาก็คือรอให้เวลารักษาเธอ โตขึ้นเธอก็จะหายเอง คุณอาจช่วยได้โดยสอนให้เธอฝึกสติมองความคิดตัวเองให้เป็น ส่วนตัวคุณเองนั้นก็เอาสำลีหรือปลั๊กพลาสติกที่เขาทำขายให้คนงานในโรงงานเสียงดังอุดรูหูตอนนอนหลับเสีย วิชาแพทย์ไม่มีความรู้หรอกว่าจะต้องจัดการกับฝันร้ายซ้ำซากอย่างไร ส่วนวิชาไสยศาสตร์นั้นอาจจะมีวิธีอยู่ แต่ผมไม่ทราบ

นพ.ส้นต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี