คุณจะตายอย่างรู้ตัวตลอดได้ ก็ต่อเมื่อคุณใช้ชีวิตขณะตื่นตอนนี้อย่างรู้ตัวตลอดได้
หนูเขียนมาวันนี้เพราะยังมีเรื่องติดใจซึ่งถามอาจารย์ในหลักสูตรเตรียมตัวตายก็แล้ว ถามอาจารย์ … ก็แล้ว ก็ยังไม่ได้คำตอบเพราะท่านก็พูดแต่ว่าให้หม้่นคิดถึงแต่สิ่งดีๆ คิดถึงพระ คิดถึงการทำบุญซึ่งทั้งหนูและครอบครัวของหนูก็ช่วยหนูให้ทำอย่างนั้นก่อนหน้านั้นแล้วแต่มันไม่เวอร์คดอก คือวันนั้น วันที่หนูกำลังโคม่าและกำลังจะตายในไอซียูเมื่อสองปีก่อน เรื่องเก่าๆที่หายหน้าไปนานจนจำไม่ได้แล้วถูกฉายขึ้นมาแบบเร็วมากเหมือนหนังที่ถูก speed up ส่วนใหญ่เป็นเรื่องแย่ๆที่หนูไม่ชอบเลย แต่ไม่มีอำนาจอะไรไปหยุดยั้งมันได้ หนูรู้ว่าถ้าหนูตายไปพร้อมกับความคิดแย่ๆเหล่านี้หนูจะไปที่ไหน แต่หนูไม่รู้ว่าหนูจะต้องทำอย่างไรหนูจึงจะตายโดยไม่มีความคิดแย่ๆเหล่านั้นมารบกวนอีก
……………………………………………………………
ตอบครับ
ถามว่าทำอย่างไรจึงจะตายอย่างมีความรู้ตัวหรือปลอดความคิดได้ ตอบอย่างหมอสันต์นะ ว่าคุณก็ต้องอยู่ที่เดี๋ยวนี้อย่างมีความรู้ตัวให้ได้ก่อน ทำทุกอย่างทุกโมเมนต์ในชีวิตอย่างมีความรู้ตัวให้ได้ก่อน เพราะการเกิดมาก็ดี การเติบโตของร่างกายนี้ก็ดี การตายก็ดี มันเกิดขึ้นภายใต้การรับรู้ของใจเราทั้งสิ้น ร่างกายนี้เติบโตมาได้เพราะเราหยิบอาหารและน้ำใส่ปาก หากการหยิบอาหารใส่ปากก็เป็นไปอย่างรู้ตัว การดื่มน้ำก็เป็นไปอย่างรู้ตัว การหายใจก็เป็นไปอย่างรู้ตัว การออกกำลังกายก็เป็นไปอย่างรู้ตัว ทุกกิจกรรมเกี่ยวกับร่างกายเป็นไปอย่างรู้ตัว การเข้านอนและการหลับไปก็เป็นไปอย่างรู้ตัวจนถึงวินาทีที่หลับไป การตายซึ่งเป็นเพียงอีกกิจกรรมหนึ่งของร่างกายก็ย่อมเป็นไปอย่างรู้ตัวได้ ทำไมจะไม่ได้ ดังนั้นแทนที่จะไปพะวงถึงว่าเมื่อตอนตายจะตายอย่างรู้ตัวหรือเปล่า ให้ตั้งใจเหลือบมองดูเดี๋ยวนี้ดีกว่า ว่าตอนนี้คุณรู้ตัวอยู่หรือเปล่า
ถามว่าหมอสันต์รู้ได้ยังไง
“หมอสันต์เคยตายมาแล้วหรือ”
หิ หิ ยังไม่เคยตายหรอก แต่อาศัยเดาเอา
ทั้งนี้ผมเดาเอาจากประสบการณ์ของตัวเองที่พยายามจะรู้การหลับของตัวเองให้ได้ หมายความว่าผมพยายามจะหลับอย่างมีความรู้ตัวจนถึงวินาทีสุดท้ายที่หลับไปโดยรุ่งเช้าขึ้นมานึกย้อนดูแล้วนึกออกด้วยว่าหลับไปตอนไหน ฝึกอยู่หลายปี พยายามอยู่หลายปี จึงสรุปได้ว่าทางเดียวที่จะหลับไปอย่างรู้ตัวได้ก็คือต้องตื่นอย่างรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาทุกอริยาบทให้ได้เสียก่อน วิธีรู้ตัวของผมก็แค่หมั่นเหลือบมองดูใจตัวเองให้บ่อยๆเนืองๆ แล้วธำรงความรู้ตัวนั้นให้เบิ้ลซ้ำๆๆๆต่อๆกันไปจนชนวินาทีสุดท้ายที่หลับไป ซึ่งทำให้ผมได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่งว่าบางวันฟลุ้คๆผมรู้ตัวต่อเนื่องไปถึงในความฝันด้วยนะ หิ หิ เปล่าโม้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อทำได้ก็เลยเดาเอาว่าการจะตายอย่างรู้ตัวก็น่าจะทำได้ด้วยการฝึกแบบเดียวกัน
พูดถึงเรื่องนี้ขอเล่านอกเรื่องหน่อย เมื่อสองสามปีก่อนมีพระอาจารย์ (ภิกษุ) ที่ผู้คนเคารพเลื่อมใสท่านหนึ่งมาหาผมที่มวกเหล็กเพื่อหารือเรื่องท่านมีแผนจะทำวิจัยตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือต้องการทำวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) เพื่อพิสูจน์ว่าการเตรียมตัวผู้ป่วยก่อนตายให้วางความคิดให้เป็นก่อนแล้วพอถึงเวลาตายก็จะตายอย่างสงบได้ โดยท่านจะทำวิจัยในหลายโรงพยาบาลที่ท่านไปอบรมธรรมะให้พวกหมอพวกพยาบาลและไปเทศน์ให้คนไข้ใกล้ตายเป็นประจำอยู่แล้ว ผมก็ได้ให้ความอนุเคราะห์ไปเท่าที่ตัวเองทำได้ คือช่วยให้การฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้องถึงกระบวนการวิจัยแบบ RCT ว่าต้องทำอย่างไร แล้วท่านและคณะก็ไปทำวิจัยของท่าน ผ่านไปพักใหญ่จึงได้ข่าวแว่วๆมาว่างานวิจัยของท่านท่าทางจะติดขัด เพราะผลเบื้องต้นที่ออกมาคนไข้ใกล้ตายที่อยู่กลุ่มได้รับการสอนให้เตรียมตัววางความคิดล่วงหน้า พอถึงเวลาตายจริงก็สติแตกทุรนทุรายไม่แพ้กลุ่มที่ไม่ได้รับการสอน ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะเวลาสอนล่วงหน้าที่มีจำกัดแค่ไม่กี่วัน สูงสุดไม่เกิน 3 สัปดาห์นั้นสั้นเกินไปหนึ่ง (ท่านทำวิจัยในโรงพยาบาล ต้องรอให้ผู้ป่วยถูกรับเข้าไว้ในโรงพยาบาลก่อนจึงจะเอาเข้ากลุ่มวิจัยได้) อีกทั้งการมาสอนเอาตอนป่วยใกล้ตายแล้วพลังชีวิตกำลังจะมอดอยู่แล้วคงจะไม่ใช่เวลาที่จะเรียนหรือฝึกตั้งสติวางความคิด งานวิจัยของพระอาจารย์ท่านนี้ถึงแม้จะไปไม่ถึงขั้นได้ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์แต่อย่างน้อยก็ให้ข้อคิดแก่ท่านผู้อ่านได้ว่าหากคิดจะฝึกวางความคิดเพื่อให้ได้ตายดีๆ ให้ฝึกล่วงหน้านานๆขณะที่สุขภาพยังดีและจิตประสาทยังดีอยู่ คือฝึกตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อย่ารอไปถึงพะงาบใกล้ตายแล้วค่อยมาฝึก มันไม่ทันดอก
ไหนๆก็นอกเรื่องไปหนึ่งเรื่องแล้ว ขอนอกเรื่องอีกหนึ่งเรื่องนะ ครูของผมเคยเล่าให้ผมฟังว่าหลายสิบปีมาแล้วตอนท่านยังหนุ่ม ที่อินเดียใต้มีโยคีตนหนึ่งชื่อนิมาลาฮันดา (ขออภัยถ้าเขียนชื่อผิด) เขาใช้ชีวิดอยู่ในวัดเล็กๆส่วนตัวแบบปิดวาจาตลอดชีพไม่พูดไม่จากับใคร ใช้แต่วิธีเขียนจดหมายเอา ใครไปหาเขาเขาก็เขียนจดหมายติดต่อด้วย จนมีการติดต่อทางจดหมายกับคนเป็นร้อยทั่วโลก วันหนึ่งเขาก็ร่อนจนหมายไปให้แฟนคลับของเขาว่าเขาจะจากโลกนี้ไปแล้วนะ กำหนดวันเวลาและวิธีไว้เสร็จโดยบอกว่าเขาจะไปด้วยวิธีที่เรียกว่ามหาสมาธิ คือนั่งสมาธิตาย จดหมายของเขาทำให้สมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายส่งตำรวจสองคนไปเฝ้าเขาไว้ไม่ให้เขาฆ่าตัวตายซึ่งทำให้เขาเสียใจมากจนร้องห่มร้องไห้ที่ถูกปฏิบัติต่อเหมือนคนทำอะไรผิดกฎหมาย แต่เมื่อวันเวลาที่เขากำหนดมาถึงเขาก็นั่งสมาธิต่อหน้าตำรวจและคนอื่นอีกราวห้าสิบคนแล้วก็ตายไปดื้อๆ ที่เล่าให้ฟังนี้ก็เพื่อจะบอกว่าวิธีตายแบบเท่ๆอย่างนี้ก็มีด้วยนะ แต่หากคุณคิดจะตายแบบนี้ผมแนะนำเพิ่มเติมหน่อยว่าอย่าเผลอเขียนอีเมลไปบอกใครเข้า ไม่งั้นหากตำรวจมาเอาตัวคุณไปคุณก็จะได้ตายแบบนักโทษแทนที่จะได้ตายแบบเท่ๆนะ..ฮิ ฮิ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์