คนบ้ากับคนเพี้ยนเพราะปฏิบัติธรรมต่างกันอย่างไร
คุณหมอสันต์ครับ
คนบ้ากับคนเพี้ยนเพราะปฏิบัติธรรมต่างกันอย่างไรครับ
..............................................................
ตอบครับ
คำตอบสำหรับคำถามนี้ไม่ใช่การตอบตามหลักฐานวิทยาศาสตร์นะ เพราะคำถามของคุณวิชาวิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้
ผมนิยาม "คนเพี้ยนเพราะปฏิบัติธรรม" ของคุณว่า คือคนที่พอไปสายหลุดพ้นแล้วก็ชักจะมีพฤติกรรมและความคิดหลุดโลก พูดไม่รู้ฟัง ไม่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ค่านิยมของสังคมซึ่งเขายึดถือและใช้เกี่ยวพันกันและกันให้อยู่กันได้มานมนาน เช่นเคยรักชาติก็เลิกรักชาติ เคยรักสถาบันก็เลิกรักสถาบัน เคยรักและเป็นห่วงลูกแทบเป็นแทบตาย แต่พอไปสายหลุดพ้นแล้วก็กลายเป็นคนไม่สนใจลูกไม่สนใจเต้าอย่างเคย ลูกจะเอาหัวเดินต่างตีนก็ไม่ไปทุกข์ไปร้อนอินังขังขอบด้วยแล้ว เป็นต้น ซึ่งจะว่าไปแล้วความเพี้ยนนี้ก็คือเป้าหมายหนึ่งของการปฏิบัติธรรมนั่นแหละ เพราะเป้าหมายการปฏิบัติธรรมก็คือวางความคิดที่ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นลงให้เกลี้ยง ใครที่วางความคิดคอนเซ็พท์ต่างๆที่สังคมกำหนดขึ้นลงไปจากใจตัวเองเสียได้ คนนั้นก็ทั้งชักจะเพี้ยนและขณะเดียวกันก็ชักจะเริ่มหลุดพ้นแล้ว
ส่วนนิยาม "คนบ้า" ก็คือคนที่มีความคิด อารมณ์ การรับรู้สิ่งเร้า ที่ผิดแผกจากคนทั่วไปมากเสียจนใช้ชีวิตอยู่ในสังคมกับคนอื่นเขาไม่ได้ วิชาแพทย์แยกความบ้าออกเป็นสายความคิด สายอารมณ์ สายการรับรู้สิ่งเร้าของร่างกาย แต่รากของมันทั้งหมดมาจากความคิดทั้งสิ้น เพราะแม้กลไกการรับรู้สิ่งเร้าของร่างกายจะผิดเพี้ยนไปแต่มันก็ยังต้องถูกตีความด้วยความคิดเสียก่อนอยู่นั่นเอง ดังนั้นคนบ้าก็คือคนที่มีความคิดแหกคอกซ้ำซากมากมายจนทำให้ชีวิตของตัวเองปกติสุขไม่ได้ โดยทำอย่างไรก็ไม่สามารถวางความคิดนั้นลงได้มีแต่จะตกเป็นทาสความคิดนั้นแบบหือไม่ขึ้น
ถ้าคุณอยากวินิจฉัยแยกความบ้ากับความเพี้ยนเพราะการปฏิบัติธรรม ผมให้เกณฑ์วินิจฉัยคร่าวๆดังนี้
1. คนฝึกจิตหรือปฏิบัติธรรม ไม่ทำร้ายหรือทำลายร่างกายตัวเอง เพราะรู้ว่าร่างกายนี้เป็นเครื่องมือให้บรรลุความหลุดพ้นและมีอยู่อันเดียวแถมมีอายุใช้งานสั้นอีกต่างหาก หากทำลายไปแล้วจะเอากลับมาต่อกันให้ดีดังเดิมไม่ได้ แต่คนบ้าชอบทำร้ายร่างกายทั้งของตัวเองและของคนอื่น หรือชอบทำอะไรกับร่างกายตัวเองก็ได้ สุดแล้วแต่ความคิดบ้าจะบงการให้ทำ
2. คนฝึกจิตหรือปฏิบัติธรรมนั่งหลับตานิ่งๆนานๆได้ ไม่ว่าจะเริ่มเพี้ยนแล้วหรือยังไม่เพี้ยนก็ยังนั่งนิ่งๆนานๆได้ เพราะยิ่งนั่งนิ่งๆนานๆยิ่งความคิดน้อยลง ยิ่งมีสติเข้าถึงความรู้ตัวและเกิดความสงบเย็นมากขึ้น ส่วนคนบ้านั่งหลับตานิ่งๆนานๆไม่ได้เพราะจะยิ่งบ้าหนัก เพราะคนบ้ามีความคิดบ้าๆเข้ามาตลอดเวลา แต่ที่ทุกวันนี้ที่ยังคงอยู่ในสังคมได้เพราะมันถูกถ่วงดุลด้วยการกระตุ้นจากภายนอกให้เกิดความคิดอื่นๆแทรกหรือแข่งไม่หยุด ความคิดร้อยพ่อพันแม่จึงเบรคกันเอง ถ่วงกันเอง แต่หากนั่งหลับตานิ่งๆนานๆ สิ่งกระตุ้นจากภายนอกถูกลดลงไปมากถึงระดับหนึ่งก็จะเกิดภาวะขาดสิ่งกระตุ้น (sensory deprivation) ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าเป็นเชื้อให้ความบ้าชนิดจิตเภทยิ่งอาละวาดหนัก
ปัจจัยที่ลดสิ่งกระตุ้นหรือลดความสามารถในการรับรู้สิ่งกระตุ้นลงในชีวิตเรานี้นี้มีแยะมาก ทั้งปัจจัยในร่างกายและนอกร่างกาย ที่เห็นชัดๆก็เช่นยาและสารเสพย์ติดต่างๆ เช่นเมื่อเมาเบียร์นี่สิ่งเร้าจากทั้งภายนอกภายในรวมทั้งความคิดเองก็ลดความสำคัญลงไปจนถึงระดับแทบจะบรรลุธรรมได้ชั่วคราวเลยทีเดียว บรรยากาศธรรมชาติที่เงียบๆก็ลดสิ่งเร้าจากภายนอกลงไป การเคลื่อนไหวของน้ำและสารน้ำ (electrolyte) ในร่างกายก็มีผลต่อความสามารถในการรับรู้สิ่งเร้า อย่าลืมว่าร่างกายของเรารวมทั้งเนื้อสมองล้วนประกอบด้วยน้ำเสียสองในสาม แค่มีปัจจัยทำให้น้ำขึ้นน้ำลงนี่ก็ทำให้คนเป็นบ้ามากขึ้นได้แล้ว คำว่า lunatic ที่แปลว่าบ้านั้นมาจากคำว่า lunar ที่แปลว่าดวงจันทร์ซึ่งเป็นตัวทำให้น้ำขึ้น คุณเคยดูในหนังไหม เวลาพระจันทร์เต็มดวงเมื่อไหร่มนุษย์หมาป่าก็จะหอน โง้ว..โง้ว..โง้ว แล้วก็ออกอาละวาด เช่นเดียวกันเวลาตะวันตั้งหัวเหน่งๆร้อนๆก็กระตุ้นให้คนธรรมดาๆออกอาการบ้าได้ดีนัก (หิ หิ)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์