จะดึงลูกกลับจากเมืองนอกมาอยู่ใกล้ตัว ก็เสียดายระบบการศึกษาของที่โน่น

เรียนคุณหมอที่เคารพ

ดิฉันเป็นพยาบาล สามีเป็นแพทย์เกษียณแล้วทั้งคู่ ลูกคนเล็ก(ตอนนี้18ปี)เรียนที่ร.ร. ... (การศึกษาทางเลือก) จนจบม.2จากนั้นขอไปเรียนที่ออสเตรเลีย ไปพักกับครอบครัวน้าชาย (น้องแท้ๆของดิฉัน)เป็นเด็กขยันและเป็นเด็กperfectionist เค้าเรียนร.ร.คาทอลิค ได้คะแนนดีอันดับต้นๆแต่ไม่ถึงกับgenius ช่วงปีที่ผ่านมาเรียนหนักมาก การบ้านเยอะสุดๆ นอนตี2-3ประจำ(ตื่น7โมง) เคยเตือนเค้าเรื่องนอนดึกเกินเค้าบอกขอเต็มที่แค่ปีนี้อีก2เดือนก็จบม.ปลาย(yr.12)แล้ว ไม่งั้นที่อุตส่าห์ทุ่มเทมาตั้งแต่yr.9มันจะเสียของ ขอเข้าประเด็นคำถามนะคะ 

1)ดิฉันกับสามีอายุค่อนข้างมาก(หกสิบกว่า)อยากมีโอกาสอยู่ใกล้ๆกับลูกในช่วงบั้นปลายของชีวิต

2)เนื่องจากปัญหาเรื่องโควิด มองว่าการเดินทางบ่อยจะเพิ่มความเสี่ยงจากเดิม(ที่มีอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุ ,Hijack)ให้มากขึ้นไปอีกเรื่องโควิดและเมืองไทยกลับน่าอยู่กว่าในเรื่องสาธารณสุขจากผลงานป้องกันการระบาดของโควิดได้ดีเยี่ยม เวลามีปัญหาเรื่องสุขภาพสามารถเข้าถึงบริการได้ดีกว่า

3)มองว่าทักษะชีวิตมีความสำคัญ การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เค้าคงเริ่มคุ้นชินกับความเป็นอยู่และculture ที่ออสเตรเลียแล้ว และมีกลุ่มเพื่อนที่นิสัยดีมีคุณภาพ รักเรียน และเรียนเก่ง ประมาณ5-6คน (ลูกค่อนข้างเริ่มมีแนวคิดแบบฝรั่ง)แต่ไม่ถึงกับติดเพื่อน

4)มองว่า เมืองไทยน่าอยู่ อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ทำไมเราถึงปล่อยให้ลูกต้องไปอดๆอยากๆ(น้องชายดูแลได้ดีระดับนึงค่ะ)ต้องทนกินขนมปังแห้งๆแข็งๆทุกวันในขณะที่พ่อแม่กินอาหารเอร็ดอร่อยทุกมื้อ

     แต่ในความคิดของลูก คือ เค้าเสียดายเพราะอยู่ในระบบการศึกษาของที่โน่นแล้ว อยู่ๆจะทิ้งไปก็น่าเสียดายและท่าทางเค้าเริ่มชินกับความมีระเบียบของสังคมทางโน้น ดิฉันคิดว่าถ้าเค้าเรียนมหาวิทยาลัยที่โน่นมีแนวโน้มว่าเค้าจะอยู่ทำงานที่โน่นต่อ โอกาสที่จะกลับมาอยู่ไทยคงน้อยลงเรื่อยๆ

    มีเพื่อน(หญิง)ที่เป็นหมอฟัน(อายุเท่ากับดิฉัน)และลูกเรียนที่ ... ห้องเดียวกัน ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ม.3เหมือนกัน เพื่อนคนนี้กลับมองว่าเราไม่ควรไปโน้มน้าวลูก เพราะจะทำให้ลูกลังเล เกิดอาการผูกติดกันระหว่างแม่ลูก ควรให้เค้าเป็นคนตัดสินใจเองอย่างอิสระ และในสายตาเด็กสมัยนี้ถ้าต้องกลับมาเรียนและทำงานกับพวกหัวโบราณไดโนเสาร์แบบที่เป็นอยู่เค้าคงไม่มีความสุข (ปกติดิฉันชวนคุยกับลูกแทบทุกวันทางวิดีโอคอล มีอะไรก็แลกเปลี่ยนกัน ไม่มีความลับต่อกัน เล่าความคิดทัศนคติที่มี ในเรื่องเรียนมหาวิทยาลัยก็พูดถึงข้อดีข้อเสียระหว่างมหาวิทยาลัยในไทยกับที่ออสเตรเลียและเคยสรุปตอนท้ายกับลูกว่า แล้วแต่เค้าตัดสินใจ ไม่ว่าลูกอยู่ไหนแม่ก็จะไปอยู่ใกล้ๆลูก แต่ก็แอบคิดว่าอายุเราไม่ใช่วัยที่จะต้องไปเริ่มปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่ๆแล้ว) 

อยากขอคำแนะนำจากคุณหมอว่าเราควรจะผลักดันลูกต่อไปดีหรือควรให้เค้ากลับมาเรียนที่ไทย หรือขอความเห็นของคุณหมอในเรื่องนี้ด้วยค่ะ สามีบอกตอนนี้เรียนที่ไหนก็ตกงานเหมือนกัน ส่วนตัวดิฉันคิดว่าเค้าอยากไปเรียนเราก็สนับสนุนเค้าเต็มที่ 4 ปีกับการผจญภัยในโลกกว้างน่าจะเพียงพอแล้ว อยากได้อยู่เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก หรือดิฉันกำลังพยายามดึงให้เค้ากลับเข้ามาอยู่ใน comfort zone ซึ่งมันไม่ใช่การใช้ชีวิตในวัยนี้ของลูก ที่กำลังเสาะหาตัวตน คือลูกก็ไม่ชัดเจนว่าอยากเป็นอะไร อยากเรียนคณะอะไร รู้แต่ถนัด คณิต วิทย์ คงเลือกแนววิศวะ ถ้ากลับมาไทยคงเข้าเรียนเทคโนโลยีธนบุรีภาคอินเตอร์เพราะใกล้บ้าน และpractice มากกว่าTheory ลูกบอกคำเดียวว่า เหตุผลเดียวที่อยากกลับมาไทยเพราะจะได้อยู่กับแม่

 สุดท้ายนี้ขอกราบขอบพระคุณคุณหมอล่วงหน้านะคะ รอคำตอบจากคุณหมอค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

.......................................................

ตอบครับ

     1. หน้าที่ของพ่อแม่คือเลี้ยงดูลูกให้เติบโตจนพ้นอกเหมือนนกเลี้ยงลูกที่มีเป้าหมายให้ลูกบินออกจากรังไปให้ได้ สามารถไปใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างมีความสุขเต็มศักยภาพที่ตนเองมี และหากเป็นประโยชน์ต่อโลกด้วยก็ยิ่งดี ไม่ใช่เลี้ยงลูกเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเรายามแก่นะครับ นั่นเป็นการเลี้ยงลูกแบบ "เลี้ยงต้อย" หรือ "ลงทุน" หวังได้กำไรคืนมา ไม่ใช่เลี้ยงแบบเมตตาธรรมซึ่งเป็นการให้โดยไม่มีเงื่อนไข คุณอยากอยู่ใกล้ลูก นั่นเป็นธรรมดาและโอเค. ถ้าลูกเขาอยากมาอยูใกล้คุณนั่นก็โอเค. แต่ถ้าเขาไปติดลมที่อื่นไม่มาอยู่ใกล้คุณ นั่นก็ควรจะโอเค.ด้วยนะ 

     2. ที่สามีคุณบอกว่าเรียนอะไรก็ตกงานเหมือนกันหมดนั่นก็เป็นเรื่องจริงเพราะต่อไปหุ่นยนต์ AI จะแทนที่ทุกอาชีพหมด แต่ประเด็นสำคัญคือคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานนะ คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้ได้เต็มศักยภาพที่ตนเองมี ดังนั้นไม่ต้องไปพะวงว่าเขาจะตกงานไม่ตกงาน ขอให้เขาได้ใช้ชีวิตเต็มศักยภาพที่เขามีก็พอแล้ว ศักยภาพนี้ผมหมายความรวมถึงศักยภาพในการใช้ชีวิตภายนอกและศักยภาพในการสำรวจค้นหาภายในว่าแท้จริงแล้วการเกิดมาเป็นคนนี้มันทำอะไรได้มากกว่านี้บ้างด้วย

     3. ที่อยากให้ลูกมาอยู่เมืองไทยเพราะโควิด19บ้างเพราะการจี้เครื่องบินบ้างนั้นเป็นความคิดกังวลไร้สาระมาก โลกจากนี้ไปจะไม่มีอะไรเหมือนเดิม จะมีแต่เรื่องบ้าๆครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนใหญ่คุณคาดไม่ถึง ส่วนที่คุณคาดถึงนั้นจิ๊บจ๊อย ความสามารถที่จะอยู่ได้ในสภาพที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยอยู่มาก่อนเรียกว่า creativity นั่นแหละเป็นสิ่งที่คนที่จะอยู่ในโลกยุคจากนี้เป็นต้นไปต้องมี รวมทั้งตัวคุณด้วย

     4. ที่อยากให้ลูกมาอยู่เมืองไทยเพราะเมืองไทยน่าอยู่ที่สุดอาหารอร่อยที่สุดนั้น นั่นเป็นความเห็นของคุณซึ่งเป็นคนไทยอยู่ที่เมืองไทยนะ ไม่นานมานี้ผมพบกับคนอินเดียคนหนึ่ง เขาบอกผมว่าอินเดียเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกและเขาจะไม่ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นเด็ดขาด คือการที่เราอยู่ที่ไหนแล้วเห็นว่าที่นั่นดีที่สุดเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะแสดงว่าเราปรับตัวเข้ากับและยอมรับสภาพรอบตัวเราได้ง่ายซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ creativity ถือเป็นคุณสมบัติที่ดี แต่ประเทศก็ดี เส้นแบ่งเขตก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง และการเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นไม่ได้เป็นพลเมืองของประเทศไหน จะพูดว่าเป็นพลเมืองของจักรวาลนี้ก็ว่าได้ คุณอย่าไปบ้าจี้ไปกับสมมุติบัญญัติไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเทศ ชาติ ศาสนา ผิวพรรณ ความบ้าแบบนั้นทำให้มนุษย์เราต้องรบราฆ่าฟันกันมาจนทุกวันนี้ ลูกเขาอยากจะอยู่ที่ไหนในจักรวาลนี้ก็ช่างเขาเถอะ ให้คุณคิดเสียใหม่ว่าเขาเป็นพลเมืองของจักรวาลนี้ เขาจะได้ไม่ identify ตัวเองกับสมมุติบัญญัติอันคับแคบใดๆแบบคนรุ่นเรา ด้วยมีพลเมืองอย่างนี้ ไปภายหน้าโลกมันอาจจะสงบยิ่งกว่ายุคสมัยของเราก็เป็นได้

     5. กล่าวโดยสรุป ตอนนี้มันเลยเวลาที่คุณจะไปตัดสินอนาคตแทนลูกแล้ว ต้องปล่อยให้เขาตัดสินเอง เว้นเสียแต่ว่าคุณเงินหมดนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ถ้าคุณยังมีเงินส่งเสีย เขาอยากอยู่ที่ไหน อยากทำอะไร ก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของคุณอีกต่อไปแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี