ผมรักคุณอนุทิน

     เมื่อวันที่ 21 ตค. 62 คุณอนุทิน (รมว.สธ.) ไปเปิดประชุมให้สป.สช.(สามสิบบาท) และได้แสดงปาฐกถา ว่า

    "..การจะทำให้เกิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนนั้น จะต้องมุ่งไปสู่เรื่องการส่งเสริมป้องกันโรค เพื่อไม่ให้ประชาชนเจ็บป่วย กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องดำเนินการเปลี่ยนความเชื่อของประชาชนที่ว่าฉันป่วยเมื่อไหร่ก็ได้เพราะรัฐให้การรักษาฟรี จึงไม่ต้องดูแลตัวเอง มีอะไรก็ไม่เดือดร้อนครอบครัว ไม่เดือดร้อนลูกหลาน.."

     "..ถึงวันนี้ต้องเปลี่ยนความเชื่อของประชาชน มิเช่นนั้นจะต้องใช้จ่ายไปเรื่อยๆแต่แทนที่จะใช้จ่ายให้ได้เต็มประสิทธิภาพ ให้ได้คุณภาพชีวิตของคนในชาติ กลับกลายเป็นการใช้จ่ายเพื่อการรักษาให้เขากลับมาป่วยใหม่ หรือ zero sum game คือใช้งบแทบตายก็กลับมาที่เดิม

     จากนี้ไปจะต้องได้ผลลัพธ์กลับมาจากเงินที่ลงทุนไปเป็นแสนๆล้านบาทในช่วงเวลาที่มีบัตรทอง ประชาชนจะต้องมีสุขภาพดีอย่างถ้วนหน้าเสียที ประชาชนต้องไม่ป่วยง่าย ประชาชนจะต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพมากกว่าเรื่องได้รับยาที่ดีที่สุดในโลก ได้ร้บการดูแลด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลก แต่จะต้องทำให้เขาคิดว่าต้องไม่ป่วย และเอาทรัพยาการจากคนไม่ป่วยไปใช้กับคนป่วยที่ธรรมชาติไม่เป็นใจและจำเป็นต้องได้รับการรักษา การป้องกันโรคต้องนำหน้าความเจ็บป่วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น ออกกำล้งกายสม่ำเสมอ กินอาหารสุขภาพ พักผ่อนเพียงพอ ไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดการติดเชื้อหรือติดโรค เหล่านี้ต้องทำให้เกิดขึ้น เอาเงินเหล่านี้แทนที่จะไปรักษา เอามาเพิ่มความรอบรู้ให้คนไทยมากยิ่งขึ้น.."

       ได้ยินแมะ เริ่ดซะ คุณอาจจะว่าโธ่ นี่ไม่ใช่ รมว.สธ. คนแรกที่พูดและทำท่าเอาจริงกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค แต่หมอสันต์ถือหางว่ารมต.ท่านพูดดีกว่าท่านไม่พูด ถูกไหม แล้วยิ่งพูดเข้าเป้าป๊าด..ด ตรงๆ เหน่งๆ อย่างที่คุณอนุทินพูดไปนี้ ฮี่..ฮี่ ใครจะว่าไงก็เหอะ ผมรักคุณอนุทิน

      "..รักคุณเข้าแล้ว เต็มทรวง 
     แล้วคุณอย่าหวง สัมพันธ์ 
     เราคิดมารักกัน ดีไหม
     ก็ที ผมยังรักคุณ ก็คุณรักบ้างเป็นไร 
     ของรักกันได้ อย่าคิดอะไร เลยคุณ.."

     วันที่ 28 พย. 62 นี้ผมจะไปแสดงปาฐกฐาเรื่องการรักษาโรคด้วยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต (Lifestyle Medicine) ในการประชุมใหญ่ของราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และจะพบกับคุณอนุทินที่นั่นซึ่งท่านจะไปเป็นประธานเปิดงานเดียวกัน (ถ้าท่านไม่มอบหมายให้คนอื่นไปแทนเสียก่อน) พบกันวันนั้นผมจะทวนความจำท่านถึงสิ่งที่ผมได้เขียนโยนหินไว้ก่อนที่ท่านจะมาเป็นรมต. ว่าการจะแก้ปัญหาสาธารณสุขของชาตินี้หมอสันต์ขอแค่เจ็ดอย่างคือ

     1. สร้างมาตรการจูงใจทางภาษีให้คนที่ตัวชีวัดสุขภาพสำคัญเช่น น้ำหนัก ความดัน ไขมัน น้ำตาล อยู่ในเกณฑ์ดี เอาผลนี้ไปลดหย่อนภาษีได้

     2. ทำให้กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคของแพทย์ พยาบาล โรงพยาบาล คลินิก เป็นสิ่งที่ "เบิกได้" เหมือนกับที่เบิกค่าบอลลูนหรือสะเต้นท์แพงๆได้

     3. สธ. เป็นเจ้าภาพรวบรวมเจี้ยงเล่าทั่วประเทศมาจัดทำ Thailand Food Guide ขึ้นเผยแพร่ทุกสี่หรือห้าปีโดยอาศัยข้อมูลวิทยาศาสตร์และผลวิจัยล่าสุดเป็นรากฐาน โดยที่ในคำแนะนำนั้นอย่างน้อยควรจะมีเมนูวิธีทำ Thai Healthy Food และไฮไลท์การเอาน้ำเปล่าเป็นเครื่องดื่มประจำตัวของคนไทยทุกคนแทนเครื่องดื่มใส่น้ำตาลหรือแอลกอฮอล

     4. สธ.ตั้งเกณฑ์แล้วตรวจรับรองคุณภาพและออกตรา Thai Healthy Food ให้แก่ร้านอาหารทั่วเมืองไทยและทั่วโลกที่ผลิตอาหารตามเมนูที่แนะนำไว้ใน Thailand Food Guide ฉบับล่าสุด นี่จะเป็นการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และพาครัวไทยสู่ครัวโลกอย่างแท้จริง

     5. บังคับให้โรงพยาบาลทุกแห่งมี Thai Healthy Food ให้คนไข้ และให้ร้านจำหน่ายอาหารในโรงพยาบาลขายเมนูอาหารที่ประกอบหรือปรุงตามที่แนะนำไว้ใน Thai Healthy Food อย่างน้อยเป็นทางเลือกทางหนึ่งนอกเหนือจากอาหารที่กินเอาแต่ไขมันและความอ้วนตามปกติ

     6. สธ.ส่งแพทย์ไปประจำที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั่วประเทศ โดยสอนทักษะให้แพทย์ส่งเสริมสุขภาพของตัวเองให้ได้สำเร็จก่อนโดยใช้ตัวชี้วัดมาตรฐานเป็นตัววัด เมื่อตัวเองทำได้แล้ว จึงจะส่งแพทย์เหล่านั้นไปนำทีม ตรงนี้ถ้าไม่มีใครสอนแพทย์เหล่านั้น หมอสันต์อาสาสอนให้

     7. ขอให้สธ.ฮั้วกับรัฐบาลท้องถิ่นที่ไหนสักแห่ง สร้าง "เมืองสุขภาพ" (Healthy Town) ขึ้นในภาคต่างๆเพื่อเป็นเมืองตัวอย่างสมบูรณ์แบบที่เอื้อผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองนั้นและผู้มาเยือนได้มีสุขภาพดี เช่น (1) หาอาหารที่ดีต่อสุขภาพทานได้ง่าย (2) วิถีชีวิต การเดินทางไปมา การทำงาน และการพักผ่อน ล้วนเอื้อให้ได้เคลื่อนไหวออกกำลังกาย (3) ผู้สูงอายุได้มีโอกาสเป็นสมาชิกที่สร้างสรรค์ของสังคมแทนที่จะฝังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน (4) เอื้อต่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยไม่สร้างมลภาวะไปปล่อยให้เมืองอื่น

     หมอสันต์ขอไม่มากหรอก ขอเจ็ดข้อแค่เนี้ยะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี