(เรื่องไร้สาระ2) เกษตรถาวร Permaculture
เจตนาคือจะให้เป็นฉากหน้าไว้มองภูเขา |
ตอนนี้ผมก็กำลังประสบความสำเร็จแบบเดียวกันกับการปลูกต้นประดู่ป่าต้นหนึ่ง ผมปลูกมันไว้บนก้อนหินนอกหน้าต่างหัวนอนแขกที่บ้านบนเขา ด้วยหวังว่าตอนเช้าแขกที่มานอนจะได้ไม่ร้อน และมันอยู่บนก้อนหินมันคงไม่โตเกินไปดอก แต่ที่ไหนได้ ผ่านไป 20 ปีมันโตระดับคนโอบและยามหน้าหนาวร่มเงาของมันจะบังสวนดอกไม้หน้าบ้านซึ่งเป็นที่ทำงานอดิเรกที่ผมโปรดปรานเสียมิด หน้าหนาวเป็นเวลาที่ผมจะปลูกดอกไม้ฝรั่ง แต่บรรดาดอกไม้พากันประท้วงไม่ออกดอก ถ้าผมไม่ตัดเจ้าประดู่ ผมก็ต้องย้ายสวนดอกไม้ แต่ผมจะตัดเจ้าประดูได้ไง เพราะมันเป็นความสำเร็จสูงสุดอย่างเดียวในชีวิตของผม ผมต้องเก็บเอาไว้ชื่นชม ผมก็จึงต้องย้ายสวนดอกไม้
งานแรกคือประหารพวกที่งามเกินพอดี |
แต่ว่าบ้านบนเขานี้มันไม่มีที่จะย้ายไปไหนแล้ว เพราะสนามหญ้าหน้าบ้านเป็นที่สงวนที่ผมต้องเก็บไว้วิ่งออกกำลังกาย แก่ปูนนี้แล้วพื้นที่แค่ไม่กี่สิบตารางเมตรหน้าบ้านแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการวิ่งออกกำลังกาย แต่ถ้าแบ่งไปทำสวนดอกไม้ ผมก็จะเหลือแต่พื้นที่ซอยเท้าหรือกระโดดเชือก จะไม่มีที่วิ่ง สวนดอกไม้จึงต้องไปอยู่บนไหล่เขาแทน แต่ไหล่เขาชันอย่างนั้นจะไปปลูกอะไรได้ เพราะน้ำจะชะเอาดินไปหมด ก็ต้องสร้างคันกั้นดินขึ้นมาเหมือนทำกะบะขนาดใหญ่ รอว่าจังหวะมีแรงดีๆเมื่อไหร่ค่อยหาวิธีขนดินขึ้นมาใส่ให้เต็ม ข้างบนนี้รถขึ้นมาไม่ได้ การขนดินจำนวนร่วมสิบคิวขึ้นเขามาก็ต้องใช้แรงคน โห..รอ รอ รอไปก่อนเถอะนะ
ภูมิประเทศเป็นไหล่เขา ที่วางดินปุ๊บ ฝนชะทิ้งปั๊บ |
กำลังร้องเพลงรออยู่นั้น เมื่อหลายเดือนก่อน มีสมาชิก RDBY ท่านหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์ระดับเจี้ยงเล่าของ ม. เกษตร ได้แนะนำให้ผมทำเกษตรกรรมแบบที่เรียกว่าเปอร์มาคัลเจอร์ (permaculture) ท่านสอนผมว่าคำนี้เป็นการเอาคำ permanent มารวมกับคำว่า agriculture ผมจึงขอแปลง่ายๆว่า "เกษตรถาวร" ท่านสอนว่าหลักการคือเป็นการทำเกษตรที่เปิดโอกาสให้มีการสร้างคุณภาพของดินอย่างต่อเนื่องโดยเลียนแบบธรรมชาติในป่า ซึ่งมีกิ่งไม้ใบไม้ทับถมกันชั้นแล้วชั้นเล่าเน่าเปื่อยผุพังกลายเป็นปุ๋ย เมล็ดไม้ป่าที่หล่นลงไปก็งอกงามอยู่ด้วยปุ๋ยนั้น ต้นแก่ล้มตาย ต้นใหม่งอกใหม่ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ไม่รู้จบ ผมถามว่าแล้วจะเริ่มต้นทำเกษตรกรรมแบบนี้ได้อย่างไร อาจารย์ก็แนะนำว่าให้เริ่มด้วยการขุดดินในพื้นที่ปลูกลงไปสักหน่อย ประมาณ 30 - 50 ซม. แล้วเอาขอนไม้ผุๆ กิ่งไม้ ใบไม้ สุมทับถมกันลงไป ชั้นสุดท้ายค่อยเอาดินกลับเข้าใส่เป็นแค่ชั้นบางๆแล้วปลูกพืชบนนั้น
คอสมอส บลูอะรูมิไร้ และผกากรอง |
ผมฟังคำแนะนำแล้วอมยิ้ม คนหาเช้ากินค่ำอยู่กับเกษตรหากเอาวิธีนี้ไปใช้ก็จะเจ๊งเสียก่อนที่จะได้ถาวร เพราะเริ่มต้นก็มีต้นทุนที่สูงกว่าการทำเกษตรแบบปกติโขเสียแล้ว แต่สำหรับผมเอง ผมนึกถึงสวนดอกไม้ที่ใหม่ นึกในใจว่าการแบกขอนไม้ผุกิ่งไม้ใบไม้แห้งขึ้นเขา มันย่อมจะเบาแรงกว่าแบกดินขึ้นเขานะ ดังนั้นโปรเจ็คสวนดอกไม้แบบเปอร์มาคัลเจอร์นี้จึงเกิดขึ้น
ใหม่ๆก็ขยันแบกขอนไม้ผุขึ้นเขาไปใส่ในแปลงเป็นอันดี แต่นานไปก็ลดสะเป๊คลงมาเอาแค่กิ่งแห้งๆก็แล้วกัน แต่ถมเท่าไหร่ก็ถมไม่เต็ม เอาเป็นว่าถมแบบหลวมๆหน่อยก็ได้ นานๆเข้าก็เอาแต่ใบไม้ก็แล้วกัน มันเบาแรงดี เวลาผ่านไปหลายเดือนก็ยังไม่เต็ม ไม่เต็มก็พอแค่นี้ก่อน ใจร้อนแล้ว เอาดินมากลบหน้าเลย ดินมันหนักนัก กลบบางๆสักห้าเซ็นต์ก็พอ เรียบร้อย พร้อมที่จะปลูกได้ แผนการณ์ก็คือจะให้สวนดอกไม้เปอร์มาคัลเจอร์นี้เป็นฉากหน้าประกอบการมองภาพภูเขานู้น..น ยังไม่ทันลงต้นไม้ดิบดีเพราะเป็นหน้าฝน แค่หว่านๆเมล็ดพืชบ้านนอกท้องถิ่นที่คว้าได้ใกล้มือแก้ขัดไปก่อน แล้วผมก็ต้องหยุดงานยาวเพื่อไปเที่ยว
แฮปปิเนสสีชมพู ดอนญ่าสีเหลืองเข้ม เฟื่องฟ้า เข็มแดง |
กลับมาอีกทีโอ้ว..ว ต้นดอกดาวกระจายที่หว่านไว้ขึ้นเป็นแผงสูงท่วมหัว ดอกดาวกระจายก็สวยดีอยู่หรอก แต่มองภูเขาไม่เห็นเลยเห็นแต่ดาวกระจาย นี่มันผิดสะเป๊คที่จะให้เป็นแค่ฉากหน้าเสียแล้ว ดังนั้นงานแรกที่ต้องทำเมื่อกลับมาก็คือการประหารดาวกระจายที่งามจนเกินพอดีนี้เสียด้วยการตัดมันออกมากองเป็นภูเขา จากนั้นจึงเข้าไปทำการปลูกดอกไม้ ในการทำเกษตรถาวรนี้ มีสองเรื่องที่เป็นเรื่องใหม่สำหรับผม คือขณะทำการขุดพรวนดินไป ทันใดนั้น
"ผลุบ..บ....บ"
เท้าผมจมลงไปข้างล่าง เพราะข้างล่างมันเป็นโพรง ถ้าไม่เลือกจุดยืนให้ดี ผลุบลงไปบางครั้งเล่นเอาหน้าแข้งแทบหัก
อย่างที่สองแสบกว่านั้นอีก กำลังขุดดินอยู่ดีๆ ทันใดนั้น
กวางวัดความเร็วลม ที่หน้าสวน |
"พรูด..ด...ด"
อะไรอีกละคราวนี้
"มดคัน...ไฟ ช่ายแล้ว มดคันไฟ ของแท้ต้องทั้งคันทั้งร้อน"
เพราะว่าข้างใต้แปลงเกษตรถาวรนี้ก็คือเมืองบาดาลดีๆนี่เอง ผมไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตกี่ชนิดสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ข้างใต้นี้
ด้วยการเรียนรู้ว่าจะเหยียบตรงไหนได้ จะอัดดินตรงไหนดี ในที่สุดผมก็ปลูกดอกไม้รุ่นแรกให้กับแปลงดอกไม้เปอร์มาคัลเจอร์นี้สำเร็จ ส่วนที่เป็นแบคกราวด์คือเฟื่องฟ้า เข็ม ดอนญ่า ถัดเข้ามาเป็นแนวโค้งตามคันกั้นคือแฮปปิเนสสีชมพู มองออกไปจากข้างหน้าก็จะเริ่มมีไม้ให้สีสันเช่นคอสมอส บลู..อะรูมิไร้ (อะไรมิรู้) และผกากรอง ด้านข้างหนึ่งเป็นกุหลาบ
ในเรื่องการปลูกกุหลาบนี้ผมเรียนรู้วิธีปลูกมาเป็นอย่างดีแล้วจากสมัยเป็นหมอหนุ่มๆอยู่ที่สระบุรี เพื่อนหมอคนหนึ่งเขาปลูกกุหลาบ เอากุหลาบพันธุ์ดีจากเมืองนอกมา เขาต้องใส่ปุ๋ย พ่นยา สาระพัด แต่กุหลาบของเขาจากดอกโตๆ สวยๆ สดๆ เมื่อมาถึงใหม่ๆ ก็ค่อยๆพัฒนาเล็กลงๆจนกลายเป็นกุหลาบหนูไปหมด ด้านโรคและแมลงก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นพร้อมๆกับยาฆ่าแมลงที่เขาต้องเปลี่ยนชนิดมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เลิกปลูก โดยให้เหตุผลว่า
กูหลาบ ถ้าจะอยู่กับหมอสันต์ อย่าอ้อน |
"กู..หลาบ"
ฮะ ฮะ ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
ดังนั้นในการปลูกกุหลาบของผมจึงไม่มีการคัดเลือกสายพันธ์ ไม่มีการใส่ปุ๋ย ไม่มียาฆ่าแมลง เอ็งโตได้ก็โต โตไม่ได้ก็เส็งไปซะ ผมจะหาต้นใหม่มาแทน แถวกลางดงนี่ต้นละสามสิบบาทเอง พวกเอ็งจะมาอ้อนข้าไม่ได้ พอมันรู้ว่าดวงซวยมาเจอเจ้านายอย่างนี้มันก็ทำตัวของมันอีกแบบนะ คือขยันออกดอกไม่เลิก และไม่ยอมกลายเป็นกุหลาบหนูเพราะกลัวผมถอนทิ้ง ผมถ่ายรูปตัวอย่างมาให้ดูด้วย
จากนี้ไปการดูแลแปลงเกษตรถาวรนี้ก็คือขยันใส่ใบไม้กิ่งไม้ ดูซิว่าจะไปรอดไหม ผมยังไม่เชื่อหรอก แต่ผมต้องลอง เพราะผมเป็นลูกศิษย์ของบรู้ซ ลี ก็บรู้ซ ลี ดาราหนังกำลังภายในนั่นแหละ ปรัชญาในการค้นคว้าวิชากำลังภายในของเขามีสี่ข้อซึ่งผมจำได้แม่นคือ
(1) เอาทุกคำสอนมาทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
(2) อันไหนที่ใช้ไม่ได้ ทิ้งไป
(3) อันไหนที่ใช้ได้ เก็บไว้
(4) เพิ่มเติมของตัวเองเข้าไป
หมอสันต์เอาปรัชญาของบรู้ซ ลี มาลองทุกอย่างที่ตัวเองยังไม่รู้ในชีวิต รวมทั้งเรื่องเกษตรด้วย ดังนั้นเกษตรถาวรหรือเปอร์มาคัลเจอร์นี้จะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค อีกปีสองปี หากท่านได้กลับมาเยี่ยมเยือนบ้านบนเขา ก็จะเห็น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์