มะเร็งของพลาสมาเซล (Multiple Myeloma) นั้นดื้อต่อเคมีบำบัดเสมอมา
ตึกอีสต์เอเซียติก อาคารคลาสสิกริมน้ำ |
อาคารภาษีร้อยชักสิบ ของดีที่ถูกทิ้ง |
เธอก็ยังยืนยันว่าจะไป เราขับรถไปจอดที่ไว้ที่โรงพยาบาล แล้วขึ้นรถไฟฟ้าต่อไปยังสถานีตากสิน แล้วจะขึ้นเรือด่วนไปปากคลองตลาด เผอิญมีเรือหรูล่องแม่น้ำชื่อ "ริเวอร์สตาร์ปริ๊นเซส" แวะเข้ามาประกาศว่าจะพาผู้โดยสารไปส่งที่ปากคลองตลาดให้ฟรี เราเห็นเป็นโอกาสจะได้นั่งเรือหรูเอ้อระเหยชมวิวจึงยอมสละตั๋วเรือด่วนคนละ 15 บาทที่ซื้อไว้แล้ววิ่งไปขึ้นเรือหรูแทน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ได้นั่งชมอาคารสถาปัตยกรรมเก่าๆสวยๆริมน้ำซึ่งไม่เคยมีโอกาสได้ชม เริ่มตั้งแต่ตึกเก่าของบริษัทอีสต์เอเซียติกซึ่งคลาสสิกไม่เสื่อมคลาย แล้วก็มาถึงอาคารภาษีร้อยชักสิบซึ่งเป็นของเก่าที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าเสียดาย
สถานทูตโปรตุเกส ความร่มรื่นหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในละแวกนี้ |
ถ่ายรูปถนนดอกไม้ไม่ได้เลย ถ่ายได้แต่หางช้าง |
ทำขึ้นสำหรับงานถวายพระเพลิงโดยเฉพาะ ความจริงไม่ต้องเดินเพราะคลื่นผู้คนจะหนุนให้ค่อยๆขยับไปข้างหน้าเอง ไม่สามารถถ่ายรูปดอกไม้สวยๆได้เลย ผมถ่ายได้แต่หางช้าง ซึ่งทำจากดอกไม้อะไรสักอย่างคล้ายๆดอกตะล่อม ผมเคยเห็นดอกไม้แบบนี้แถวข้างถนนในประเทศฝรั่งเศส
หลุดจากปากคลองตลาดเราเดินเท้าไปที่พักชื่อโรงแรมศาลาอรุณซึ่งอยู่ห่างออกไป 1 กม.
โรงแรมที่พักชื่อ ศาลาอรุณ |
แล้วออกจากโรงแรมรีบวิ่งตามชาวบ้านเขาไปเข้าคิว "คัดกรอง" เพื่อที่จะเข้าไปให้ถึงข้างใน พอไปเกือบจะถึงจุดคัดกรองอยู่แล้ว มีอส.หญิงท่านหนึ่งซึ่งตรวจแถวอยู่มาบอกว่าหมอสมวงศ์เข้าไม่ได้เพราะใส่กางเกงยีน เธอก็เถียงว่าไม่ใช่กางเกงยีน มันเป็นกางเกงผ้าหม่น อส.ก็ไม่ยอมท่าเดียว สุภาพสตรีที่ยืนคิวอยู่ตรงหน้าได้ยินเรื่องราวจึงล้วงเข้าไปในย่ามของเธอแล้วควักชุดแซ็คสีดำออกมายื่่นให้หมอสมวงศ์และว่า
"..พี่เอาชุดนี้สวมทางหัวลงมาเลย แล้วพับขากางเกงขึ้น รับรองถูกระเบียบชัวร์"
บรรยากาศข้างถนนที่วงใน วันถวายฯ |
ท่ามกลางกองเชียร์ที่ยืนคิวอยู่ใกล้ๆกัน หมอสมวงศ์ทำตามคำแนะนำ คือนุ่งผ้ากันกลางที่ยืนเข้าคิวนั่นเลย น่าขำที่สุภาพสตรีผู้ใจดีท่านนั้นเธอไซส์แอลเกือบจะเอ็กซ์แอล แต่หมอสมวงศ์ไซส์เอส แทบไม่ต้องพับขากางเกงขึ้นก็ผ่านจุดคัดกรองได้สบาย แล้วเราก็ได้ติดสติกเกอร์ตามชาวบ้านเขาเข้าไปอยู่ในวงชั้นในสุดได้สำเร็จ เป็นประสบการณ์ที่ดี วันหลังถ้าไม่ลืมค่อยเล่าต่อนะ แต่วันนี้ขอตอบจดหมายสักฉบับก่อน ไม่งั้นท่านผู้อ่านจะลืมไปว่าบล็อกนี้มีขึ้นเพืื่อตอบคำถามเรื่องความเจ็บไข้
.............................................................
เรียน นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
เรียนคุณหมอ ขออนุญาตสอบถามแนวทางการรักษาแทน ผู้ป่วยซึ่งเป็น อ.ที่สอนและเป็นผู้มีพระคุณแก่ตัวดิฉัน ดังนี้ค่ะ ข้อมูลเบื้องต้น ปัจจุบัน ท่านอายุ 71 ปี เพศหญิง ป่วยเป็นมะเร็งชนิด MM เมือ 14 ปีแล้วค่ะ การรักษาที่ผ่านมา ทำ สเต็มเซลล์ และ ให้ chemo แล้ว อาการโรคก็สงบไป และพบหมอตามการนัดตลอด แต่เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ได้มีอาการอ่อนเพลีย และพบว่าโรคได้กลับมาอีกครั้ง หมอที่ทำการรักษาจึงได้ให้เข้าโครงการ และ ใส่ยา chemo ตัวใหม่ คุณหมอท่านว่าใช้กับโรคนี้โดยตรง จากอเมริกา ชื่อ เอ็นรับแซน (ไม่แน่ใจว่า เอ็นด๊อกแซน หรือไม่ค่ะ) แนวทางการรักษาเข้าโครงการครบ 2 รอบ 8 ครั้ง (การหยดยาครั้งนี้ไม่มีอาการผมร่วงแต่ มีคลื่นใส้อาเจียนอย่างแรง และกินยาเม็ด 2 ชนิด หนึ่งในนั้นมียาแก้อาการแพ้ที่มีสเตียรอย กินแล้วหน้าจะบวม ค่าความดันโลหิดจะขึ้นสูงต่ำ สลับไปมา และค่าไตได้เพิ่มขึ้นจากเดิม .8 ปัจจุบันอยู่ที่ 1.4) และสิ้นสุดคอร์ส เมือปลายเดือน กันยายน ที่ผ่านมา และได้พบแพทย์หลังจบโครงการวันที่ 19 ตุลาคม พบว่าค่าผลเลือดต่ำ โดยเฉพาะค่าเม็ดเลือดแดง ทางคุณหมอแจ้งว่าค่าเม็ดเลื่อดต่ำ อาจเนื่องมาจากยาที่ใส่ไปล่าสุด ดังนั้น ให้รอค่าผลเลือดอีกครั้ง ในต้นเดือน พ.ย. ค่ะ ทั้งนี้แนวทางรักษาต่อทางคุณหมอได้แจ้งว่าอาจเข้าโครงการอีกครั้ง และให้คำตอบว่าผลการหยดยาอีกครั้งก็อาจอยู่ที่ 50 : 50 ค่ะ
ดังนั้นจึงเรียนถามแนวทางการรักษา โรค MM นี้กับคุณหมอค่ะ ว่าควรจะรักษาต่อโดยการเข้าโครงการหรือไม่ หรือว่าหยุดไม่เข้าโครงการแต่ยังพบคุณหมอตามนัด ทั้งนี้อาจารย์ท่านบอกว่า การหยดยาครั้งนี้ถึงแม้ผมไม่ร่วงแต่คุณภาพชีวิตท่านแย่มาก และคิดว่าท่านจะไม่รอดตอนหยดยาครั้งที่ 7 แล้วค่ะ ท่านเกิดอาการท้อแท้และไม่อยากรับ chemo อีกค่ะ และถ้าหากท่านจะหยุดการรักษาแพทย์แผนปัจจุบันเลยและหาการแพทย์ทางเลือกอื่นมาร่วมการรักษา เพื่อลดอาการทรมานจากยา เพราะปัจจุบัน อ.ท่านได้ทานถั่งเช่า เพื่อพยุงอาการไตด้วยค่ะ ทานเห็ดหลินจือและได้หยุดทานไปเกือบเดือนแล้วค่ะ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ชี้แนะแนวทางการรักษา และขอขอบพระคุณมา ณ โอกาส นี้
ขอแสดงความนับถือ
(ชื่อ) ............
สอบถามข้อมูล แทน อ. ........... ค่ะ
........................................................
ตอบครับ
ก่อนจะตอบคำถาม ผมขอเล่าสรุปเรื่องของโรค MM หรือที่เรียกเต็มยศว่า Multiple Myeloma แปลว่า "มะเร็งของเซลเม็ดเลือดขาวชนิดพลาสมาเซล (plasma cell)" ให้ท่านผู้อ่านทั่วไปรู้ไว้ใส่บ่าแบกหามสักหน่อย กลไกของโรคนี้คือมีการแบ่งตัวของเซลชื่อพลาสมาเซลในไขกระดูกแบบระเบิดเถิดเทิงจนไปเบียดให้เม็ดเลือดขาวเหลือน้อย เม็ดเลือดแดงก็เหลือน้อยจนเป็นโลหิตจาง เกร็ดเลือดก็ต่ำทำให้เลือดออกง่าย และตัวเซลอาจจับกันเป็นก้อนเรียกว่า plasmacytomas ทำให้เห็นเป็นโพรงเนื้ออ่อนอยู่ในกระดูกและปวดกระดูก นอกจากนี้แล้ว ปกติพลาสมาเซลมีหน้าที่ผลิตโมเลกุลภูมิคุ้มกัน พอตัวมันเป็นมะเร็งมันก็ผลิตเปะปะแทนที่จะเป็นโมเลกุลภูมิต้านทานดีๆแต่กลายเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเป็นได้แค่ภูมิคุ้มกันปลอมชื่อ M-protein ออกมาในเลือดมากมายจนใช้เป็นตัววินิจฉัยโรคได้ การผลิตภูมิคุ้มกันแบบไม่สมบูรณ์ออกมานี้ทำให้ร่างกายไม่มีแรงสู้เชื้อโรค ทำให้ติดเชื้อง่าย ทำให้เลือดข้น และไตพัง
เอาละ คราวนี้มาตอบคำถามของคุณ
ถามว่าเป็นมะเร็งชนิด MM ปลูกถ่ายไขกระดูกแล้วมะเร็งก็กลับมาอีก ให้เคมีบำบัดก็ทนไม่ไหวจนกลัวเคมีบำบัด การให้เคมีบำบัดนี้มันจำเป็นไหม ตอบว่านับถึงวันนี้ยังไม่มียาเคมีบำบัดตัวไหนรักษามะเร็งชนิด MM ให้หายได้นะครับ ตัวใหม่ออกมาก็มีความหวังกันใหม่ แต่ไม่เคยมีตัวไหนได้ผลซักกะตัวเดียว มันเป็นมะเร็งชนิดที่ดื้อต่อเคมีบำบัดเสมอมา ดังนั้นการให้เคมีบำบัดจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น หรือไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ เป็นแค่ทางเลือกในการรักษาทางหนึ่งเท่านั้น โดยที่ไม่ว่าทางไหนก็ "ไม่ได้ผล" พอๆกัน คนที่อยู่ได้นานหรือหายเขาหายของเขาเอง ไม่เกี่ยวกับวิธีรักษาที่เลือกใช้ ก็ในเมื่อทางไหนก็เหลาเหย่พอๆกัน ผมแนะนำว่าให้ผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินดีกว่า ชอบทางไหนก็เลือกทางนั้น ถ้าขยาด ไม่อยากได้เคมีบำบัด ก็ไม่ต้องเอาสิครับ ไม่เห็นจะตัดสินใจยากเลย
สิ่งที่ไม่รุกล้ำถึงเลือดตกยางออกที่ควรจะทำก็คือ
1. ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี
2. ควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อปอดบวมแบบรุกล้ำ IPD สองเข็มตลอดชีพ
3. ควรดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะจะทำให้ไตพังได้ง่ายๆ
4. ควรถนอมไตให้ถึงที่สุด กินอาหารที่มีพืชผักผลไม้แยะๆ เพราะงานวิจัย NHANES ซึ่งติดตามดูเปรียบเทียบกันพบว่าคนเป็นโรคไตเรื้อรังที่กินมังสะวิรัติมีอัตราตายในระยะยาว (8 ปี) ต่ำกว่าคนกินเนื้อสัตว์ถึงเกือบห้าเท่า อย่าใช้ยาแก้ปวดแก้อักเสบ (NSAID) เปะปะเพราะยานี้อันตรายต่อไต อย่าให้หมอฉีดสารทึบรังสีเพื่อการวินิจฉัยใดๆพร่ำเพรื่อ เพราะทำให้ไตพังได้ชะงัดนัก โรคนี้ถ้าไตพังก็คือเดี้ยงและลำบากมาก ไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้มา
5. ควรป้องกันกระดูกหักสุดชีวิต ให้ท่านขยันเดินออกกำลังกายฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรงทุกวัน ตากแดดมากๆปรับปรุงทางเดินในบ้านให้ดี เอาของเกะกะออกไป ติดไฟให้สว่างพอเพียง เอาพรมปูพื้นที่มีขอบให้สะดุดออกไปให้พ้นทางเดิน มีราวให้จับในตำแหน่งที่ควรมี
จบคำถามแล้ว คราวนี้ให้ผมพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณถามบ้าง คือผมอยากจะบอกว่า..
ความหวังนี่มันเป็นตัวร้ายนะ
จะว่าไม่เกี่ยวก็เกี่ยวอยู่ ผมออกตัวก่อนนะว่าความเห็นหรือคำแนะนำของผมในเรืื่องนี้ไม่เหมือนของหมอคนอื่น ขอให้คุณหรือท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการจะทำตามหรือไม่ คือคนเมื่อเป็นมะเร็งที่ไม่สนองตอบต่อเคมีบำบัดแต่ก็พยายามเสาะหายาเคมีบำบัด ใครเสนออะไรให้ก็เอาหมด ที่แพงก็กัดฟันเอาเงินซื้อ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะต้องการเลี้ยงความหวังเอาไว้ ด้วยความเข้าใจว่าชีวิตนี้หากหมดสิ่้นซึ่งความหวังแล้วชีวิตก็จะไร้ค่าไร้ความหมายนั่นเลยเทียว
แต่ผมจะแนะนำคุณและอาจารย์ของคุณว่าเมื่อวันเวลาในชีวิตแห้งเหือดลง หมายความว่าเมื่อเวลาเหลือไม่มาก ความหวังนี่มันเป็นตัวร้ายนะ มันร้ายพอๆกับความกลัวเลยทีเดียว เพราะทั้งความหวังและความกลัวต่างก็เป็นความคิดที่คอยลากเราหนีจากปัจจุบันไปอยู่ในอนาคต ความหวังและความกลัวทำให้คนเป็นมะเร็งลืมใช้ชีวิตเพราะมัวแต่หนีและเสาะหา การใช้ชีวิตนั้นมันเป็นเรื่องของการอยู่ในป้ัจจุบัน แต่เมื่อมัวแต่หนีความกลัวหรือวิ่งหาความหวังที่ในอนาคตเสียตลอดเวลา จะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตในปัจจุบันได้อย่างไรละครับ การที่คนเป็นมะเร็งจะมีคุณภาพชีวิต จะต้องอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือจะต้องหันหลังให้กับความกลัวตาย และความหวังที่จะหาย เพราะทั้งสองอย่างนั้นเป็นตัวพาหนีจากปัจจุบัน ผมแนะนำให้ทิ้งทั้งสองอย่างเสีย เคมีบำบัดหรือการรักษาใดๆหากมันทำให้คุณภาพชีวิตเสียหายมากมายก็พอเสียเถอะ เลิกเถอะ อย่าไปหวังโน่นหวังนี่ในอนาคต โรคถ้ามันจะหายมันก็หายของมันเองได้ แม้มะเร็งก็หายได้หากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดอยากจะทำให้มันหาย อนาคตมันไม่ได้มีอยู่จริง เราอยู่ในวันนี้นะ เอาวันนี้ให้ชีวิตมีคุณภาพก็พอแล้ว
แล้วอย่าไปกลัวตาย ตายก็ตาย ตายก็แค่หลับแล้วไม่ตื่น ไม่เห็นจะเป็นไร แต่ความกลัวตายนี่แหละที่เป็นไร การไขว่คว้าหาความหวังในอนาคตไม่รู้จบนี่แหละที่เป็นไร พูดถึงความตายมีใครบ้างเกิดมาแล้วจะไม่ตาย การเกิดมาเป็นคนนี้อัตราตายหรือ mortality คือ 100% เหมือนกันหมด แล้วอย่าไปเชื่อว่าใครจะบอกคุณได้ว่าใครจะตายก่อนใคร อย่าแสวงหาความปกติหรือผลตรวจที่ปกติเพื่อเอามาเป็นตราค้ำประกันให้ตัวเองมีความหวังว่าจะอายุยืน เพราะนอกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ซึ่งยังมีลมหายใจอยู่แล้ว ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าใครจะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ ขนาดหมอดูแม่นๆตัวเองยังตายโดยไม่ทันรู้ตัวเลยก็มีถมไป ขอให้ทิ้งความหวังและความกลัวตายเสีย หันมาใช้ชีวิตในวันนี้อย่างมีคุณภาพดีกว่า
ชีวิตที่มีคุณภาพ คือ
(1) ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ ณ วันนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข
(2) ดูแลตัวเองในวันนี้ให้พึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด ให้ได้นานที่สุด
(3) ใช้ชีวิตในวันนี้อย่างมีความหมายตามความเชื่อทางศาสนาของตน ถ้าเป็นชาวพุทธก็คือแต่ละวันใกล้นิพพานเข้าไปมากขึ้นหรือเปล่า และ
(4) ใช้ชีวิตในวันนี้อย่างมีคุณค่าทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อโลก
ถ้าวันนี้ได้สี่อย่างนี้ ชีวิตก็พอแล้ว ส่วนวันพรุ่งนี้ช่างมัน เพราะถ้ามันมาถึงมันก็จะมาในฐานะวันนี้ ไม่ใช่มาถึงในฐานะวันพรุ่งนี้ อย่าไปกังวลถึงมันเลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์