จดหมายจากแพทย์ภูธร
จริงๆผมตั้งใจจะเขียนจะเขียนจดหมายมาหาอาจารย์นานแล้ว เพื่อแสดงความชื่นชมกับบทความทั้งหลายของอาจารย์คับ
ตัวผมเองไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนอย่างไรดี
เพราะอันที่จริงแล้วผมเคยเจออาจารย์มาก่อนตัวเป็นๆเลยเชียวคับ แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าอาจารย์จะเจ๋งอย่างนี้
...... อะจ๊ากกกกก พูดจากใจจริงเลยนะครับ อาจารย์เท่มากๆ งานเขียนอาจารย์ชิ้นแรกๆที่ผมอ่านน่าจะเป็นตำราช่วยชีวิตแหละครับ
เพราะตอนไปใช้ทุนที่ รพ.... อาจารย์.... ท่านโฆษณาอาจารย์สันต์ไว้มากเลย ว่าเป็น
มอ. รุ่นแรก เป็นหมอหัวใจ ออกตำราช่วยชีวิตคน เคยเชิญมาพูดที่ รพ.... แล้ว ตอนนั้น
ผมไม่รู้อะไรมาก ไปหาตำราอาจารย์มาอ่าน อืม แล้วที่ รพ..... อาจารย์ทิ้งหนังสือไว้อีกสองเล่มมั้งครับ
ที่ผมได้อ่านอ่ะนะ เล่มแรกเป็นเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม total lifestyle modification ผมอ่านผ่านๆแหละครับ
ยอมรับเลย
ที่อ่านก็เพราะทึ่งมากๆ
สำหรับคนเขียนที่เป็น CVT แล้วมาเขียนหนังสือสไตล์
FM ได้ ผมรู้สึกว่ามันคนละขั้วเลยครับเนื้อหาที่จำได้ก็ประมาณ
ออกกำลังกาย กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ DASH diet
ตอนนั้นผมเพิ่งใช้ทุนได้สามเดือนแรกแล้วมาอยู่ที่นี่ ไฟลุกพรึบเลยครับ ไม่ใช่ รพ.ไหม้นะครับ
แต่ว่าเป็นหมอใหม่ไฟแรง เอาความรู้ที่ได้จากหนังสือเล่มนั้นมาแนะนำคนไข้เต็มที่ ขออนุโมทนาบุญให้อาจารย์ด้วยนะครับ
(แต่ตอนนี้ใช้ทุนมาสองปีกว่าหมดไฟแล้วครับ ...เอิ๊ก...พูดเล่นนะครับ) เล่มที่สองนี่รู้สึกเป็นเรื่องที่อาจารย์พาเที่ยวนิวซีแลนด์แหละครับ
อาจารย์เป็นคนที่มีทักษะในการเล่าเรื่องสุดๆเลยครับ ชวนติดตาม
และมีวลีเด็ดๆมากจริงๆ ทำให้ผมนึกถึงคุณหมอโกมาตร
จึงเสถียรทรัพย์ที่เล่าเรื่องเก่งๆเหมือนกัน เล่มนี้จำได้ประโยคเดียวตอนที่อาจารย์ไปกระโดดบันจี้จัมพ์
"no pain....... no gain"
อ๊ากกกกกกก.... เอ...ไม่รู้ว่าอันนี้อาจารย์ได้โดดกะเค้าด้วยป่าวคับ
ผมอ่านเสร็จนะ อยากโดดมากมายว่าจะขับรถไปโดดขำๆที่ภูเก็ตเช้าวันรุ่งขึ้นเลย แต่ไม่ได้ไปนะครับ
เวรที่นั่นเพลียเกินบรรยาย
จากนั้นก็ได้ดูวิดีโอของมูลนิธิช่วยชีวิตแหละครับ
แบบ CPR ไปร้องเพลงไป
"สุขกันเถอะเรา...เศร้าไปทำไม" น่ารักดีนะครับอาจารย์
ผมเพิ่งอ่านบล็อกของอาจารย์ได้สองเดือนเองครับ เป็นสิ่งที่ผมประทับใจมาก
บล็อกแรกที่อ่านเป็นเรื่อง
"อยากเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัวแต่กลัวไม่เท่"
อืม...ตรงใจผมเลย ตรงมาก ตอนที่เรียนแพทย์อยู่นะครับ
ผ่านทั้งสูติ ศัลย์ เมด เด็ก ออโธ บลาๆๆๆ มันดูแบ่งแยกยังไงไม่รู้ครับ คือตอนจะจบเราก็ต้องเก่งให้ได้ทุกเรื่องอ่ะครับ
คือมีความรู้พื้นฐานเอาไปใช้กับคนไข้ได้ และหลักการของเนื้อหาของ
FM ก็ดีนะครับ คือ ดูแลคนไข้ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เอ่อ... อันนี้ผมไม่ได้คิดเองนะครับ แต่จำมาจากหนังสือเวชศาสตร์ครอบครัว
ของอาจารย์สายพิณ หัตถีรัตน์น่ะครับ (ตอนเรียนอยู่ผมอ่านตั้งแต่ต้นจนจบตั้งสองรอบแน่ะ) แต่เมื่อย้อนกลับมาดูในสังคมไทย แค่คนรอบข้าง ทั้งที่เป็นหมอเอง
และไม่ใช่หมอ ก็จะทำหน้างงๆว้า "มันคืออะไรวะ" อันนี้แหละครับที่กลัวไม่เท่จริงๆ
และก้อเป็นส่วนสำคัญที่ผมชื่นชอบอาจารย์มากๆด้วย เพราะอาจารย์เป็นหมอผ่าตัดหัวใจ แต่กลับมาเริ่มเรียนสิ่งนี้ตอนอายุห้าสิบใช่มั๊ยครับ
มันต้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากแน่นอน แบบว่า back to basic กันเลย
หืม...พูดถึงตรงนี้ถ้าเจออาจารย์อีกครั้งเนี่ยผมขอถ่ายรูปคู่กับอาจารย์หน่อยนะครับ
แค่สองเดือนนี้ผมอ่านบล็อกของอาจารย์ทุกบทความเลยนะครับ
อาจารย์เป็นคนพะเยา
ได้รับการศึกษาดีเรียนที่แม่โจ้ก่อนมาเรียนที่เกษตรแต่ก็เกิดปัญหาของน้องสาวต่อจากนั้นก็ไปเรียนหมอต่อ
ที่มอ. ไปใช้ทุนที่ปากพนังก่อนเข้ามาเรียนต่อเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ สิ่งที่ผมทึ่งเลยเนี่ยคืออาจารย์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเริ่มผ่าตัดหัวใจตอนอายุสี่สิบหรอครับ แบบว่าอาจารย์ต้องเรียนเยอะพอดูเลยครับ แล้วการเริ่มงานตอนสี่สิบเนี่ย
อืมหนักไม่น้อยเลยนะครับที่ผมเคยรู้มาเวลา CVT ผ่าแล้วต้องนอนเฝ้าเคสด้วยนี่ไม่สนุกเลยมั้งครับ
แล้วมันก็ขัดกับสิ่งที่อาจารย์ฝันจะเป็นตอนเด็กๆไว้เยอะเลย มันไม่ใช่ทั้งทหาร-เกษตรกร-ศิลปิน
เลยเนาะครับ แต่สำหรับคนที่ถนัดมือซ้ายซึ่งแสดงถึงความอัจฉริยะแล้ว
การที่จะทำงานดังกล่าวด้วยนี้ผมว่ามันต้องใช้ความเสียสละหลายสิบเท่าทวีคูณเลยนะครับ
เล่ามาถึงตรงนี้ผมอยากขอคารวะอาจารย์สักสามจอกเลยครับ
ฮาๆๆๆ
ใกล้จบแล้วครับอาจารย์ ผมยังขอชื่นชม แนวคิด positive
thinking ของอาจารย์ด้วยนะครับแบบว่าอยู่ที่ไหน
เรียนอะไรก็มีความสุขได้, เรื่อง self awareness แบบว่ามีจิตพึงระลึกรู้ตัว ผมเองนำมาใช้อยู่ครับ
ตอนนี้บ้านพักแพทย์ผมมีกระดาษพิมพ์ข้อความนี้เตือนสติอยู่สามแผ่นเห็นจะได้,
เรื่อง TLM ผมก็เอามาสรุปแล้วทำตามอยู่นะครับ
จริงๆส่วนนี้มันคล้ายๆกับที่ สาธารณสุข เค้าดำเนินเรื่อง สาม อ. ป่ะครับ คือ
อารมณ์ อาหาร ออกกำลังกาย, เรื่องการศึกษาจากงานวิจัยต่างๆตัวผมเองก็จะพยายามอ่านนะครับ
อย่างเรื่องแคลเซียมที่มีสามยกเนี่ย ผมปริ๊นท์แจกกันเลย
แต่ยังยกเครดิตให้อาจารย์นะครับ เรื่องต่อไปก้อเรื่องกาแฟนี่แหละครับ ดีมากๆเลย
วันก่อนผมตรวจคนไข้ไป คนไข้ทักผมเลยว่า "หมอสอนคนไข้ว่าห้ามกินกาแฟ แต่ตัวเองกินซะเอง"
ผมพูดไม่ออก แบบรู้สึกผิดปนตงิดๆใจ ได้ข้อมูลจากอาจารย์นี่แหละครับ
เด๋วจะเอาให้ลุงคนนั้นไปชงกาแฟกินบ้าง เอิ๊ก...
อ้อ...เรื่องโรงพยาบาลท้ายบ่อน่ะครับ
อ่านแล้วคุ้นมากว่าผมเคยไปวนมาเหมือนกัน ถ้าอาจารย์อนุญาต
ผมจะขอเอาส่งให้โรงพยาบาลดีมั๊ยครับ ตอนนี้โรงพยาบาลนี้กำลังทำ HA เป็นโรงพยาบาลแรกของจังหวัด....
เลยละครับ สสจ.บอกว่ามีศักยภาพมากที่สุด ผมก็งงๆนะว่า สสจ. ใช้เกณฑ์อะไร แต่บทความของอาจารย์น่าจะช่วยเค้าได้บ้างนะครับ
เรื่องคอนโดคนแก่นี่ก้อใช้ได้เลยครับ
อยากทำให้ญาติๆอยู่กันเอง อยู่กับพ่อแม่ก้อได้เนาะครับ ถ้าผมจะสร้างบ้านให้พ่อกับแม่อยู่แล้วจะขอรบกวนอาจารย์จริงๆนะครับ
แต่เรื่องเอาเป็นอาชีพนี่น่ากลัวอ่ะครับ ได้ข่าวมาว่าที่บางปูก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร
จริงๆผมมีอะไรอีกหลายสิ่งที่อยากชื่นชมอาจารย์นะครับ
กลัวว่าอาจารย์จะเบื่อจดหมายของผมไปซะก่อน งั้นผมขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนละกันครับ
ถ้าจำไม่ผิดปีนี้อาจารย์ก็จะเกษียณแล้วเนาะครับ
ผลงานที่อาจารย์สร้างให้ประเทศชาติจะคงอยู่ตลอดไปแน่นอนครับ และผมคิดว่าอาจารย์ยังแข็งแรงพอสร้างสิ่งดีๆต่อเนื่องให้สังคมอีกครับ
น.พ. .......
จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัย.......
มาใช้ทุนปีหนึ่งที่ รพ.......
ตอนนี้ใช้ทุนปีสองและสามที่ รพ..........
ผมจะขอติดตามผลงานอาจารย์ตลอดไปครับ
เอ่อ...ถ้าอาจารย์จะมาเปิด Fat Camp ที่ภาคใต้ ที่มหาวิทยาลัยอ่างน้ำบ้าง
ผมลงชื่อขอเป็นลูกมือให้เลยครับ ...เอ้า เบอร์โทรศัพท์..... เรียกใช้ได้ตลอดครับ
หรือทางอีเมล……ครับ
...................................................
ตอบครับ
1. ผมลงจดหมายของคุณหมอยาวเหยียดเต็มแม็กโดยไม่เกรงใจคนอ่านท่านอื่นๆแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุว่าเนื้อหาตรงตามกฎของบล็อกนี้ทุกประการ คือชมลูกเดียว อย่างไรก็ขอขอบคุณคุณหมอที่กรุณาสละเวลาเขียนมาให้กำลังใจครับ
2. เรื่องจะขอเอาบทความ
“รพ.ท้ายบ่อ” ส่งไปให้คนในรพ.นั้นอ่าน ผมไม่มีปัญหาอะไรครับ
เพราะสาระหลักของบทความเป็นการสอนให้นักเรียนปริญญาโทรู้วิธีวางแผนเปลี่ยนแปลงองค์กร
เพียงแต่ไปอิงโลเกชั่นรพ.ท้ายบ่อเท่านั้นเอง ภาษาวิชาการเขาเรียกว่าเป็นกรณียกเมฆ
(fictitious
case study) ไม่ได้หมายความว่าเป็นชีวิตจริงในรพ.ท้ายบ่อทั้งหมด
3. ที่เสนอตัวว่าจะช่วยทำ
Fat
camp นั้นขอบคุณมากนะครับ Seriously ผมเองก็อยากจะร่วมมือกับคุณหมอรุ่นใหม่ๆทำอะไรที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพในอนาคตอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการจัดการโรคเรื้อรังและการดูแลผู้สูงอายุ เอาเป็นว่าเราจะ
keep in touch นะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์