คนแก่ที่มีศักยภาพ ในชุมชนที่เข้มแข็ง
คุณหมอสันต์ค่ะ
รบกวนปรึกษาเรื่องของคุณพ่ออายุ 81 ปีค่ะ เป็นห่วงท่านเพราะเราอยู่อยุธยากับครอบครัว
คุณพ่ออยู่ตาก ตอนนี้ดูแลสุขภาพอยู่รพ. ..... ค่ะ โรคประจำตัวท่านมีพาร์คินสัน อัลไซเมอร์
และตรวจพบปริ่มๆจะเป็นโรคไตค่ะ ในแต่ละวันก้อทานยาเป็นกำเลยค่ะ ช่วงนี้ท่านเดินแข็งๆเหมือนไม่งอเข่า
เรากลัวว่าจะล้ม และก้อเกิดเหตุการณ์ล้มจริงๆ หลังจากออกจากห้องน้ำ จังหวะล้มไปด้านหน้าแว่นกระแทรกตาช้ำ
หน้าผากและเข่าเป็นแผลเพราะกระแทรกกับปูนค่ะ หลังจากนั้นก้อเรื่องโภชนาการท่านก้อ ทานอาหารที่เป็นผักและผลไม้นะค่ะ
แต่เวลาปลดทุกข์เหมือนต้องออกแรงเบ่งมากและมีเลือดออกหลังจากการปลดทุกข์หนักค่ะ ท่านว่าท่านไม่สามารถอาบน้ำเองได้โดยที่แม่ก้อไม่พยายามช่วย
เป็นเหตุให้พี่สาวต้องเข้ามาช่วยแทน มีอาการหงุดหงิดไม่พอใจง่ายมากหากขัดใจ ออกกำลังกายมากไม่ค่อยได้ค่ะ
รบกวนปรึกษาดังนี้นะคะ
1.เรื่องการขับถ่ายเราควรทำอย่างไรบ้างค่ะ
2.เห็นยาที่ท่านทานก้อท้อใจแทนค่ะ
ไม่อยากให้ทานมากเพราะมันกระทบกับอวัยวะภายใน ไม่ทานจะได้ไม๊ค่ะ
อยากรักษาท่านทางชีวภาพไม่ใช่ระบบเคมีค่ะ
3.ท่านสามารถปรับเปลี่ยน/พัฒนาให้เริ่มช่วยเหลือตัวเองในการทำกิจวัตรได้ไม๊ค่ะ
4.ขอพาท่านไปพบเพื่อปรึกษา
หรือ พูดคุยกับคุณหมอได้ไม๊ค่ะ
รบกวนเท่านี้ค่ะ
หวังว่าจะได้รับคำปรึกษาจากคุณหมอในเร็ววันนี้นะค่ะ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
(...........)
……………………………………….
ตอบครับ
จดหมายของคุณทำให้ผมอยากจะคุยเรื่อง “คนแก่”
แต่ก่อนที่จะพล่ามไร้สาระ ขอตอบคำถามของคุณก่อนนะ
1.. ปัญหาท้องผูกในผู้สูงอายุ
มีคนวิจัยปัจจัยเสี่ยงไว้แล้ว ว่ามีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (รวมทั้งโรคพาร์คินสัน) ยาที่กิน การไม่ได้ออกกำลังกาย โภชนาการที่มีกากน้อยและน้ำน้อย
การมีรายได้ต่ำ การมีความรู้น้อย ซึ่งผมรู้สึกว่าคุณพ่อของคุณจะมีซะเกือบครบ
การจะแก้ปัญหาก็ต้องไล่ไปตามปัจจัยเสี่ยงทีละตัวละครับ เอาตัวที่ง่ายๆเบสิกๆก่อน
คือดื่มน้ำให้มาก ทานอาหารที่มีกากคือผักผลไม้แยะๆ และออกกำลังกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมากๆ
วิธีการทำสำหรับผู้สูงอายุเนี่ยมันมีลูกเล่นแยะเหมือนกัน
เอาไว้มีเวลาค่อยมาเจาะกันในรายละเอียดนะครับ วันนี้เอาแค่หลักการก่อน
2..
ถามว่าจะลดยาที่ท่านกินอยู่ทีละกำมือได้ไหม
ตอบว่าได้ครับ แต่ต้องมีหมอเจ้าประจำที่อยู่ที่เมืองตากนั่นแหละสักคนหนึ่งมาทำหน้าที่ดูยาทั้งหลายทั้งแหล่ให้
เรียกว่าหมอประจำครอบครัว (family doctor) หมอที่คุณพ่อไปหาที่ผ่านมาล้วนเป็นหมอเฉพาะทาง
ซึ่งมีแต่จะเพิ่มยาให้ ไม่มีลด เพราะทางใครก็ทางมัน หมอสาขาอื่นให้ยาอะไรแพทย์เฉพาะทางยากที่จะทราบได้เพราะอ่านลายมือกันไม่ออกหนึ่ง
ถึงอ่านลายมือกันออกก็ไม่รู้จักยาในสาขาอื่นอีกหนึ่ง แถมไม่มีเวลาดูให้อีกหนึ่ง
ทั้งสามด่านมะขามเตี้ยนี่รวมกันแล้วโอกาสที่หมอต่างสาขาจะร่วมรับรู้ยาของกันและกันและลดยาที่ซ้ำซ้อนกันลงได้ก็เหลือเกือบเป็นศูนย์
ดังนั้นคุณต้องหาหมอประจำครอบครัว หมอที่จะทำหน้าที่หมอประจำครอบครัวได้ดีก็คือหมอที่ฝึกอบรมด้านเวชศาสตร์ครอบครัวมาโดยตรง
ถ้าหาไม่ได้ก็หาหมออะไรก็ได้ที่เขามีใจจะทำหน้าที่นี้และมีเวลาให้ ย้ำ..ต้องมีเวลาให้นะ
ถ้าไม่มีเวลาให้ก็ไม่เวอร์คอยู่ดี
3.ถามว่าคุณพ่อแก่ปูนนี้แล้วยังจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ช่วยเหลือตัวเองได้ไหม
ตอบว่าได้สิครับ อันนี้เป็นหลักสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุในทางการแพทย์เลยละ
เรียกว่าหลักฟื้นฟู (rehabilitation) ประเด็นคือแก่แค่ไหน
สะง็อกสะแง็กแค่ไหนก็ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้ ซึ่งเป็นคอนเซ็พท์ที่คนไทยยังไม่เก็ท
เพราะคนไทยเรานี้เชื่อกันว่าเมื่อแก่ตัวแล้วก็ต้องออกฟอร์มทำเป็นทำอะไรเองไม่ได้เพื่อให้ลูกหลานมาเอาใจ
ส่วนลูกหลานก็มีหลักคิดว่าตามใจท่านเถอะเพราะท่านแก่แล้วอย่าไปเอาอะไรกับท่านมากนักเลย
นี่เป็นหลักแบบไทยๆ ผลที่ได้ก็คืออย่างที่เห็นกับคุณพ่อคุณนี่แหละครับ คนแก่สุขภาพโทรมเร็ว
ลูกหลานก็เหนื่อยและเซ็ง เราจึงจำเป็นต้องแหกประเพณีนี้ไปให้ได้ ช่วงน้ำท่วมใหญ่ผมออกเรือบรรเทาทุกข์ไปกับคุณบิณฑ์ (บันลือฤทธิ์) ซึ่งทำงานให้ร่วมกตัญญู เราไปกันที่อยุธยา ไปบ้านหนึ่งร้องบอกให้ไปช่วยรักษาคนแก่อายุ 90 ปีซึ่งเดินไม่ได้มาสองเดือนแล้ว ผมตรวจดูแล้วก็ไม่เห็นคุณยายแกมีปัญหาอะไรที่จะทำให้เดินไม่ได้
จึงถามคุณบิณฑ์ว่าคุณจอดเรือรอสักหนึ่งชั่วโมงไหวไหม เมื่อคุณบิณฑ์พยักหน้า
ผมจึงเริ่มโปรแกรมฟื้นฟูเดี๋ยวนั้นเลย คือจับคุณยายลุกขึ้นมาหัดเดิน
ทำกันอยู่ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ในที่สุดคุณยายก็เดินเองได้ คือผมจะชี้ให้เห็นว่าอายุก็ดี
ความอ่อนแอที่เป็นอยู่ก็ดี ไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้ทำกิจกรรมฟื้นฟูร่างกายผู้สูงอายุไม่ได้
4.ถามว่าขอพาคุณพ่อมาพบผมเพื่อปรึกษาได้ไหม
ตอบว่าไม่ค่อยสะดวกนะครับ เพราะงานหลักของผมคือดูแลอบรมสั่งสอนคนดีไม่ให้ป่วย
ส่วนการรักษาคนที่ป่วยแล้วนั้นเป็นงานของคลินิกเฉพาะโรคอื่นๆ
ถ้าผมตั้งตัวรักษาคนป่วยไปด้วย ศัพท์เทคนิคเขาเรียกว่าไป “แฮ็บ” คนไข้ของคนอื่นเขานะครับ
ซึ่งแพทย์ที่น่ารักเขาจะไม่ทำกัน อีกอย่างหนึ่งแพทยสภาห้ามไม่ให้สมาชิกใช้สื่อทุกรูปแบบดูดคนไข้มาหาตัวเอง
ผมจึงไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ที่จะเปิดรับรักษาคนไข้ผ่านบล็อกนี้ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้ให้คนเอาไปดูแลตัวเอง
ไม่ใช่เพื่อดูดคนไข้มาหาตัวเอง
จบคำถามละ คราวนี้ผมอยากพูดอะไรก็พูดได้แล้วใช่มะ
คือผมอยากพูดเรื่องคนแก่
เริ่มตั้งแต่ ประเด็นที่ 1.
เมื่อไดคนเราจะกลายเป็นคนแก่
แค่นี้ก็เถียงกันไม่ตกฟากแล้ว เพราะคนเรานี้ไม่มีใครอยากแก่สักคน เพื่อยุติข้อโต้แย้งที่ว่าเมื่อไรจึงจะเรียกคนแก่ว่าคนแก่
องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสมัชชาโลกว่าด้วยผู้สูงอายุแล้วมีมตินิยามคำว่าผู้สูงอายุ
ว่าคือผู้มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังมีบางประเทศที่เต็มไปด้วยคนไม่อยากแก่ไม่เห็นด้วย
เช่นสหรัฐอเมริกาได้ให้สถาบันผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนดมาตรฐานของตัวเองซ้อนขึ้นมา
ว่าช่วงอายุ 60-74 ปีถือว่ายังไม่แก่จริง จึงเลี่ยงบาลีเรียกว่าเป็นผู้สูงอายุวัยต้นก็แล้วกัน
ต้อง 75 ปีไปแล้วจึงจะแก่จริงและถือว่าเป็น senior
citizen ตัวจริง ดังนั้นใครอยากจะจัดตัวเองเป็นคนแก่เร็วหรือช้าก็เลือกหยิบใช้มาตรฐานใดก็ได้ตามใจชอบนะครับ
ถ้าไม่อยากแก่ และไม่สนมาตรฐานด้วย ผมแนะนำให้ใช้วิธีของสุรพล สมบัติเจริญ แทนก็แล้วกัน แบบว่า
“...พี่ยังไม่แก่หรอกน้อง
รับรองว่ายังหนุ่มอีกนาน
ถึงฟันจะหัก
ถึงหนังจะเหี่ยว
มันก็ไม่เกี่ยว
เพราะมันเป็นเรื่องของมัน...”
ประเด็นที่ 2. คนแก่ไทยในอนาคตต้องเป็นอย่างไรจึงจะไปรอด คือหมายความว่าวัฒนธรรมการดูแลคนแก่ไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
แบบว่าตัวคนแก่เองก็ยิ่งแก่ยิ่งฟอร์มแยะ เรื่องมาก เพื่อให้ลูกหลานมาสนใจ ตัวลูกๆหลานๆเองก็
ฮู้ย..ย กตัญญูประคบประหงมคนแก่กันสุดฤทธิ์สุดเดช ยอมลาออกจากงานมาเฝ้า ทำอะไรแทนทุกอย่าง
เอาอกเอาใจทนฟังคำด่าคำบ่นและทนหงุดหงิดกับคนแก่ที่มีแต่จะเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้นๆ ทั้งๆที่รู้ว่าวิธีนี้มันทำไปได้ไม่ยืดหรอก
จะต้องหมดเค้าทางการเงินหรือตะบะแตกกันไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อรุ่นนี้ยังเริ่มหงุดหงิดแล้ว
รุ่นหน้าอย่าหวังว่าลูกๆหลานๆจะมาประคบประหงมคนแก่แบบรุ่นนี้ คำถามก็คือ ถ้าถึงเวลาที่ท่านผู้อ่านซึ่งวันนี้ยังไม่แก่จะต้องกลายเป็นคนแก่ในอนาคต
มันต้องเป็นคนแก่แบบไหนจึงจะเอาตัวรอดได้ เรื่องนี้ได้มีงานวิจัยในประเทศฝรั่งซึ่งมีธรรมเนียมชอบปล่อยคนแก่ทิ้งไว้รอให้กลายเป็นปุ๋ยถือปฏิบัติปกติสืบต่อกันมาช้านาน
เขาได้ทำวิจัยแล้วสรุปผลว่าการจะเป็นผู้สูงอายุที่ “รอด”
วัยสูงอายุไปได้อย่างมีคุณภาพชีวิตนั้น จะต้อง “เป็นคนสูงอายุที่มีศักยภาพและเข้มแข็งที่อยู่อาศัยในชุมชนที่เข้มแข็ง”
ตรงนี้เป็นบาลีที่ต้องตีความกันให้ดีนะครับ มันมีคีย์เวอร์ดหรือคำสำคัญอยู่สามคำ
คือ
(1) เป็นคนมีศักยภาพ
คือก่อนจะแก่ต้องฝึกตัวเองไว้ดีพอควร ไม่ใช่แก่แดดแก่ลม ต้องทำอะไรเป็น
ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง และหาอะไรให้ตัวเองทำได้โดยไม่ต้องรอให้ใครไปหามาถวาย
การฝึกตัวเองให้มีศักยภาพนี้หมายความรวมทั้งด้านร่างกายและด้านจิตใจ
(2) เป็นคนเข้มแข็ง
หมายความว่าเมื่อแก่แล้วไม่ใช่ทำตัวหง่อม ต้องทำตัวขยัน คึกคัก เข้มแข็ง ซึ่งจะทำได้ก็ต้องผ่านการฝึกร่างกายจิตใจตัวเองมาดีแล้ว
(3) อยู่ในชุมชนที่เข้มแข็ง
อันนี้หมายความว่าชีวิตคนแก่จะดีได้ต้องอยู่ในชุมชนที่มีพลังพอที่จะสนับสนุนคนแก่ด้วย
ถ้าไปอยู่ในชุมชนที่ไร้พลัง คนแก่ซึ่งมีแนวโน้มจะเดี้ยงอยู่แล้วก็จะกลายเป็นเดี้ยงถาวรไปเลย
ชุมชนที่มีพลังจะสร้างและธำรงรักษาระบบสนับสนุนผู้สูงอายุไว้ได้ แล้วชุมชนแบบที่ว่าเนี่ยตอนนี้มันไม่มีเราจะไปหาอยู่ที่ไหนกันละคะ
คำตอบก็คือก็ต้องช่วยกันสร้างมันขึ้นมาแหละครับ
มิฉะนั้นเมื่อแก่ตัวไปเราเองก็จะไม่มีที่อยู่
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1..Everhart JE et al A longitudinal survey of self-reported
bowel habits in the United States. Dig Dis Sci 1989;34:1153-1162.
---------------------------------------
6 สค. 55 (จากผู้อ่าน)
ผมสนใจข้อสองครับ ผมไปโรงพยาบาลของรัฐ เจตนาต้องการผลการตรวจทาง LAB. เพราะไปตรวจ รพ.เอกชน (เบิกไม่ได้แล้วก็แพงอีกด้วย ถึงจะบริการดีให้ความสะดวกก็เถอะครับ) แต่ก็ต้องเสียเวลาพบแพทย์สั่งและไปฟังผลเพื่อจะได้เห็นหน้าแพทย์สักสองสามนาทีและก็ได้รับยาซึ่งบางชนิดในความเห็นผมไม่จำเป็นเลย (กำลังคิดว่า จะเอาไปแลกไข่ไก่แล้ว)
..................
---------------------------------------
6 สค. 55 (จากผู้อ่าน)
ผมสนใจข้อสองครับ ผมไปโรงพยาบาลของรัฐ เจตนาต้องการผลการตรวจทาง LAB. เพราะไปตรวจ รพ.เอกชน (เบิกไม่ได้แล้วก็แพงอีกด้ว
..................