หมอสันต์ไปสนทนาธรรมกับฝรั่งที่หอศิลป์กรุงเทพ


 

(เมื่อวันที่ 8 พค. 2025 หมอสันต์ไปสนธนาธรรมกับฝรั่ง (Br. Charlie Hogg) ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพ ในรายการชื่อ "Being our own doctors" เทปนี้ยาวถึง 2 ชั่วโมงแต่มีเนื้อหาน่าสนใจ ผมจึงแปลแบบจับความสำคัญมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน)

นพ. สันต์

    "สวัสดีครับบราเดอร์ชาร์ลี ขอบคุณมากที่มาตั้งไกลเพื่อมาคุยกับเราวันนี้ เรามาเริ่มต้นกันด้วยเรื่องราวจากการเดินทางในชีวิตของคุณก่อนดีไหม" 

Br. Charlie Hogg

    ทุกวันนี้เรามีชีวิตในโลกที่นอกเหนือธรรมดา ที่มีคนอยู่ 8,000 ล้านคน 159 ประเทศ พูดกันด้วยภาษา 6,500 ภาษา นับถือและปฏิบัติศาสนาต่างๆ 4,500 ศาสนา 

    ชาร์ลส ดาร์วินเมื่อ 170 ปีมาแล้วศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งของมนุษย์แล้วสรุปสาระสำคัญว่าในการจะอยู่รอดในสถานะการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิงอย่างโลกทุกวันนี้ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนตัวเองก็ตาย ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุดนะที่จะรอด แต่เป็นผู้ที่ปรับตัวเปลี่ยนตัวเองได้ดีที่สุด แล้วเราต้องเปลี่ยนอะไรในตัวเราเพื่ออยู่รอดในโลกใบนี้ 

    ชื่อของโปรแกรมนี้เป็นคำตอบที่ดีเลย คือฉันต้องเป็นหมอดูแลตัวฉันเอง มนุษย์เรานี้ ในใจต้องการความสงบ หัวใจต้องการความรัก ความรับรู้ของเราต้องการทราบความจริง ในประสบการณ์ของผม ความรักและสัมพันธภาพที่ดีเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ซึ่งเริ่มที่ผมมีสัมพันธภาพที่ดีกับตัวผมเอง ถ้าสัมพันธภาพนี้ไม่ดี มันจะกลายเป็นมลภาวะที่แปดเปื้อนไปถึงส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นสุขภาพร่างกาย ความสุขในครอบครัว และในสังคม การเป็นหมอให้ตัวเองก็คือเราเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง มันน่าแปลกที่เรารู้เยอะมากเกี่ยวกับเรื่องภายนอกแต่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ผมหมายถึงโลกภายในในเชิงสุขภาพจิตและในเชิงจิตวิญญาณ (spiritual world)  

นพ. สันต์

    ใช่ๆ แต่เมื่อเราเห็นหน้าบราเดอร์ชาร์ลี เรารู้ได้ทันทีว่าคุณมีบางอย่างที่เราไม่มี และเราก็อยากได้สิ่งนั้นด้วย คุณช่วยเล่าเคล็ดหรือวิธีที่เราจะมีสิ่งนั้นบ้างหน่อยสิ

Br. Charlie Hogg

    คัวผมเองเกิดและเติบโตที่เมลเบิร์น ในวัยหนุ่มผมก็เป็นผู้แสวงหาคนหนึ่ง ผมเข้าร่วมขบวนการต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าความอยุติธรรมในสังคม การเหยียดผิว การทำสงคราม ซึ่งก็คือสงครามเวียดนามในตอนนั้น 

นพ. สันต์

    แล้วเขาจับคุณเข้าคุกหรือเปล่า

Br. Charlie Hogg

    จับสิ ผมยังจำได้ว่าตอนที่ติดคุก พวกเราที่เป็นผู้นำนักศึกษาในการนำประท้วงพากันนั่งเป็นวง กลมร้องเพลงของจอห์น เลนนอน

    "..All we are saying is give peace a chance.."

    ในคุกนั้นผมได้คิด ว่าตัวเราเป็นผู้นำการประท้วงเพื่อนำสันติสุขมาสู่มวลมนุษย์ แต่ใจของเราเองกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ถ้าผมยังไม่รู้วิธีสร้างสันติสุขในใจของผมเอง แล้วผมจะเปลี่ยนแปลงโลกข้างนอกได้อย่างไร นั่นเป็นจุดที่ทำให้ผมทิ้งวิชาสถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัยออกเดินทางเพื่อการแสวงหาทางจิตวิญญาณ มาเริ่มที่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนรวมทั้งเมืองไทยด้วย จนไปจบที่ลอนดอน 

นพ. สันต์

    โอ้ ทั้งหมดนี่ใช้เวลาเดินทางนานไหมเนี่ย

Br. Charlie Hogg

    15 เดือน มันเป็นการศึกษาเรียนรู้ที่ดีมาก จากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ผมขึ้นไปทางอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน อิหร่าน ตุรกี ไปถึงลอนดอน ศึกษาปฏิบัติมันทุกอย่างทั้งพุทธ คริสต์ มุสลิม ฮินดู เต๋า ซึ่งนำมาสู่คำถามที่ยิ่งมากกว่าเดิมว่าแล้วเราจะนำหลักทฤษฏีคำสอนเหล่านั้นมาเปลี่ยนเป็นสันติสุขในใจเราอย่างแท้จริงได้อย่างไร

    ที่ลอนดอนด้านหนึ่งผมหางานทำเป็นเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติ อีกด้านหนึ่งก็ไปเข้ากลุ่มฝึกปฏิบัติ meditation ซึ่งการปฏิบัติ meditation นี่เองที่ทำให้ผมได้พบ และทำให้ผมรู้ว่านี่แหละเป็นทิศทางที่ผมควรจะไป 

นพ. สันต์

    แล้วที่ลอนดอนใครสอนคุณทำ meditation ละ

Br. Charlie Hogg

    Brama Kumari

นพ. สันต์

    อ้อ

Br. Charlie Hogg

    ความจริงผมทดลองปฏิบัติมาเยอะก่อนหน้านั้นแล้วทั้งแบบพุทธ คริสต์ ฮินดู อิสลาม และผมชอบหมดทุกอันแต่อันสุดท้ายนี้มันช่วยเปลี่ยนผมตั้งแต่ขั้นตอน Knowing ไปสู่ Believing จนกลายเป็น Experiencing  

นพ. สันต์

    Knowing - Believing - Experiencing.. แหมคำว่า Believing นี้มันฟังดูบีบๆกันมากไปหน่อยนะสำหรับผม ผมขอทำแบบนี้ได้ไหม

    Knowing ผมขอเป็นขั้นตอนเรียนรู้คอนเซ็พท์ก็แล้วกัน

    Believing ผมขอเป็นขั้นตอนการตั้งสมมุติฐานว่าถ้าทำแบบนี้แล้วใจจะสงบ

    Experiencing ผมขอเป็นขั้นตอน experiment คือทำการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมุติฐานที่ตั้งไว้ 

    ขอทำแบบนี้แทนจะได้ไหม 

Br. Charlie Hogg

    ได้อย่างแน่นอน

    คือหัวใจของการจะเป็นหมอให้ตัวเองอยู่ที่การรู้และมีประสบการณ์จริงว่าตัวฉันนี้เป็นใคร (who I am?) เมื่อตั้งคำถามนี้แล้วผมพบว่าในตัวผมเองมีตัวตนอยู่หลายตัว ตัวหนึ่งคือ "ฉัน" ที่เป็นความหยิ่งที่บอกว่าผมเก่งผมดีและมุ่งปกป้องศักดิ์ศรีที่ผูกพันเชื่อมโยงกับความคิดต่างๆที่เป็นฉลากหรือตราประทับเป็นบุคลิกตัวตนให้กับร่างกายนี้ ซึ่งตัวตนนี้ไม่ได้ทำให้ผมสงบเลย มันทำให้ผมต้องคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นว่าผมเป็นฝ่ายถูก มันชักนำไปสู่ความรู้สึกลบว่าผมถูกดูหมิ่น ไม่ได้รับความยอมรับนับถือ ถูกกีดกัน ซึ่งชักนำไปสู่อารมณ์ลบอื่นๆอีกมาก รวมทั้งการสูญเสียความนับถือตัวเอง

นพ. สันต์

    คือคุณไม่แฮ้ปปี้กับตัวตนที่เป็นอีโก้

Br. Charlie Hogg

    คืออีโก้นี้มันเป็นตัวปลอมของคำตอบที่ว่าฉันเป็นใคร มันเหมือนกับเมื่อเราเพาะเมล็ดพันธ์ที่ทำให้เราหลงผิดเผลอลืมไปว่าร่างกายนี้เป็นเพียงสิ่งชั่วคราวลงไป มันเติบโตเป็นลำต้น เป็นกิ่ง เป็นแขนง แล้วเป็นใบ ใบทั้งหลายก็คือความคิด ถ้าเมล็ดพันธ์ที่ได้มานั้นผิดมันก็จะเติบโตไปเป็นความคิดที่เป็นลบในใจเรา 

นพ. สันต์

    ใช่ ใช่ ใช่ เราทุกคนรู้ว่าอีโก้ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ของดีสำหรับชีวิตเรา แต่คุณจะก้าวออกจากอีโก้ไปเป็น "ฉัน" อีกตัวหนึ่งได้ไงละ

Br. Charlie Hogg

    ฉันที่แท้จริงนั้นคือดวงวิญญาณ (soul) หรือผู้สังเกตรับรู้ (consciousness) มันเป็นเพียงจุด..

นพ. สันต์

    เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว ดวงวิญญาณ (soul) คืออะไร มันมีอะไรเป็นเอกลักษณ์ว่าเป็นมัน ผมหมายถึงว่ามันมี default character อะไรบ้าง

Br. Charlie Hogg

    ดวงวิญญาณเป็นเพียงจุด หมายความว่ามันไม่มีสถานะทางกายภาพให้จับต้องมองเห็นได้ดอก แต่มันเป็น "ฉัน" ตัวจริงที่ดำรงอยู่ถาวรเป็นนิรันดร เมื่อมันมาแต่งงานกับร่างกายซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราว มันก็สถิตย์อยู่ประมาณหน้าผากที่ระหว่างคิ้วของเรา พอร่างกายนี้ตายลง ดวงวิญญาณก็ไปที่อื่นของมันต่อ ทำให้เรามี "ฉัน" สองตัว คือฉันที่เป็นดวงวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งที่ถาวรเป็นนิรันดร กับฉันที่เป็นร่างกายซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราว

นพ. สันต์

    แล้วดวงวิญญาณนี้มันมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์หรือคุณสมบัติประจำตัวที่เราบอกได้ว่าเป็นมันละ

Br. Charlie Hogg

    ความสงบเย็น (peace) เป็น default ของมัน

    เวลาเราทำ meditation แทนที่เราจะนั่งบังคับให้ความคิดสงบ เราแค่จำได้ว่าเราเป็นใครแค่นั่นเราก็สงบได้แล้ว เพราะแท้จริงแล้วเราเป็นดวงวิญญาณ (soul consciousness) ซึ่งมีธรรมชาติสงบเย็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ฉันที่เป็น body consciousness มาหุ้มเป็นเปลือกนอกทำให้เราไม่สงบเท่านั้น

    การที่เราต้องเลือกระหว่างสองตัวตน อุปมาเหมือนเรามีเมล็ดพันธ์อยู่สองแบบ เมื่อเราหวานเมล็ดพันธุ์ที่ผิดลงไป มันก็จะโตเป็นลำต้นของฉันที่ผิดตัว คือ body consciousness แล้วแตกเป็นกิ่งก้าน ซึ่งก็คือความจำ (subconscious) ที่เราเก็บสะสมไว้ ซึ่งก้านเหล่านี้จะแตกต่อไปเป็นใบซึ่งก็คือความคิดลบที่เกี่ยวเนื่องกับอีโก้ทั้งหลาย

    แต่ถ้าเราหว่านเมล็ดพันธ์ที่ถูกลงไป มันก็จะโตเป็นต้นคือฉันที่เป็นดวงวิญญาณ มันก็จะแตกกิ่งก้านที่เป็นคุณลักษณะของมันอันได้แก่ความสงบเย็น ความเมตตา ซึ่งก็จะแตกต่อไปเป็นใบคือความคิดที่สะท้อนความรู้สึกสงบเย็นเมตตา  

นพ. สันต์

    คุณก็เลยต้องเพาะเมล็ดทุกวัน เพื่อสร้างกิ่งก้านและใบของความเป็นดวงวิญญาณขึ้นมาทดแทน แล้วมันมีไหมครับ ที่ดวงวิญญาณนี่มันจะหมดแรง หมดพลัง

Br. Charlie Hogg

   ภาวะที่เราคิดว่าเป็น soul exhaust หรือวิญญาณหมดแรงซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของโรคซึมเศร้าเป็นต้น มันเป็นเพราะเราไปไล่ตามแรงขับของตัวตนชั่วคราวคืออีโก้ 

นพ. สันต์

    หมายความว่านั่นเป็นเพราะเราหว่านเมล็ดพันธุ์ผิดเสียแต่แรก แต่ตอนนี้ผมปลูกเมล็ดพันธุ์ที่ผิดซึ่งมันงอกขึ้นมาเป็นต้นมีกิ่งมีใบเรียบร้อยแล้ว ผมจะเปลี่ยนได้ไงละ มันมีวิธีที่ผมจะ upgrade ตัวตนตัวนี้ไปเป็นดวงวิญญาณไหม

Br. Charlie Hogg

    เป็นคำถามที่เจ๋งนะ

    นี่คือการเดินบนเส้นทางจิตวิญญาณ (spiritual journey) เลยละ คือการจะหลุดพ้นเป็นอิสระจากการติดนิสัย (habit) ที่สร้างขึ้นแล้วโดยตัวตนชั่วคราว (body consciousness) ที่เราหลงยึดถือ

    ตัวผมเองใช้วิธีทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ผมนั่ง meditation เป็นการเริ่มต้นชีวิตในวันนี้อย่างดวงวิญญาณที่สงบเย็น ไม่ได้หมายความว่าจบแล้วผมก็ต้องลุกไปใช้ชีวิตแบบวุ่นวายต่อนะ meditation หมายความว่าเราลากมันไปใช้ในชีวิตประจำวันทั้งวันด้วย ผมทำอย่างนี้มาห้าสิบปีแล้ว

    คุณเป็นคนทำสวนปลูกผัก อุปมาใจของเรานี้เป็นเหมือนดิน เมล็ดพันธ์ุเป็นเหมือนความรับรู้ (awareness) ทุกเช้าเมื่อเราหว่านเมล็ดพันธ์ุที่ดีลงไป มันจะแตกกิ่งก้านและใบออกไปเป็นความคิดที่ดีทั้งวัน 

     นพ. สันต์

    เอาละ สมมุติว่าผมทำการทดลองโดยนั่ง meditation ทุกวัน จน upgrade หรือ re-brand ตัวตนจากการเป็นตัวตนชั่วคราวมาเป็นดวงวิญญาณที่สงบเย็นได้ แล้วมันมีอะไรที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นอีกไหม 

Br. Charlie Hogg

    ผมว่ามีนะ

    บนเส้นทางของการมุ่งเป็นหมอดูแลตัวเองนี้ ผมได้ทำการทดลองกับตัวเองที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับ the divine

นพ. สันต์

    เดี๋ยวครับ..เดี๋ยว เชื่อมโยง (connection) กับ the divine อ้าว..เรามีอีกสองคำต้องเจาะลึกแล้วนะเนี่ย connection กับ the divine ผมถามก่อนว่าอะไรคือ the divine

Br. Charlie Hogg

    ในประสบการณ์ของผมนะ เมื่อผมทำ meditation ผมตระหนักรู้ว่าผมเป็นดวงวิญญาณที่มาร่วมกับร่างกายนี้ทำกิจโน่นนี่นั่นแล้วรับผลจากทุกสิ่งที่ทำลงไปนั้น รับรู้ทั้งความสุข ทั้งความเศร้า นอกจากนั้นผมยังสามารถเชื่อมโยงกับอีกดวงวิญญาณหนึ่งซึ่งมีคุณลักษณะของการเป็นดวงวิญญาณเหมือนกันทุกอย่างแต่ว่ากว้างใหญ่ไพศาลกว่าอย่างไม่จำกัดไม่ว่าจะเป็นความสงบ พลังเมตตา เป็นต้น ซึ่งผมเรียกว่า the divine เป็น conscious being ที่เชื่อมโยงการรับรู้ถึงกันได้ ไม่ใช่สิ่งสมมุติ 

นพ. สันต์

    อ้อ เข้าใจละ แล้วผมในฐานะเป็นดวงวิญญาณหนึ่ง แล้วจะเชื่อมต่อ หรือ plug in เพื่อรับพลังงานอันไม่จำกัดจาก the divine ได้อย่างไรละ

Br. Charlie Hogg

    มันเริ่มต้นจากทุกเช้าที่ผมนั่งทำ meditation ปล่อยวางความคิดทั้งหลายที่เชื่อมโยงกับตัวตนชั่วคราวรวมทั้งร่างกายนี้ลงให้หมดก่อน จนเข้าถึงการเป็นดวงวิญาณที่สงบเย็น ณ ตรงนี้ผมกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของ the divine แล้วผมก็เปิดตัวเองเพื่อรับพลังดีๆจาก the divine ในรูปของพลังชีวิต พลังเมตตา ให้ท่วมท้นเข้ามาสู่ตัวผมเอง ยิ่งผมเชื่อมโยงมาก ผมก็ยิ่งเกิดพลังดีๆมาก เป็นพลังที่ผมใช้เยียวยาความสัมพันธ์กับตัวเองให้ดีขึ้น

นพ. สันต์

    คือเราต้องเปิดตัวเองเพื่อรับ

Br. Charlie Hogg

    ถูกต้อง

นพ. สันต์

    เมื่อตะกี้คุณพูดถึง the divine ว่าเป็น conscious being ซึ่งผมตีความว่ามันมีความหมายไปทางว่า the divine เป็นเหมือนคน เช่นพระเจ้า อะไรทำนองนั้น แต่ตัวผมเองไม่ค่อยอยากเอาด้วยกับไอเดียที่ว่ามีคนตัวใหญ่ๆนั่งอยู่บนก้อนเมฆคอยบอกให้ผมทำโน่นทำนี่เท่าไหร่ มันจะเป็นไปได้ไหมละ ถ้าผมจะถือว่า the divine เนี่ยเป็นอะไรที่ไม่ใช่คน เช่นเป็นสนามพลังงานรวม หรือเป็น cosmic consciousness ที่ทุกดวงวิญญาณออกมาจากที่นั่นและจะกลับไปที่นั่น อย่างนี้จะได้ไหม 

Charlie Hogg

    ผมก็ไม่ใช่ว่าจะเอาด้วยกับไอเดียที่ว่ามี "บิ๊กแมน" นั่งอยู่บนท้องฟ้าดอกนะ ฮะ ฮะ ฮะ 

    แต่มันเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในดีเอ็นเอของคนเราที่รู้วิธีเข้าถึงและเชื่อมโยงกับชีวิตอื่น มันเป็น ญาณทัศนะ (intuition) ที่เมื่อเราวางสิ่งภายนอกลงแล้วลงลึกไปถึงจุดจุดหนึ่งในใจเราแล้วเราจะเชื่อมโยงพลังชีวิตพลังเมตตากับอีกดวงวิญญาณหนึ่งได้โดยที่คุณไม่ต้องนับถือศาสนาอะไรหรือเคารพพระเจ้าองค์ไหนดอก

    มองอีกมุมหนึ่งมันก็คือการจดจำ (remember) ลองนึกภาพเมื่อเราจดจำพี่น้องคนหนึ่งที่ซี้กันมาก เมื่อเราจดจำเราคิดถึง เราเปิดรับเอาอิทธิพลของเขาเข้ามา แล้วเรารู้สึกถึงอิทธิพลนั้น

นพ. สันต์

    คุณพูดถึงกลไกของการจดจำ (remember) ซึ่งผมฟังได้ว่ามีอยู่สามขั้นตอน เริ่มด้วยการที่เราคิดถึงคนๆนั้น ตามมาด้วยเรารับเอาอิทธิพลของคนๆนั้นเข้ามาสู่ใจเรา แล้วเรารู้สึก (feel) ถึงอิทธิพลของคนๆนั้น ซึ่งนี่เป็นกลไกที่คุณใช้เชื่อมต่อหรือ plug in เข้ากับ the divine ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหม

Br. Charlie Hogg

    ถูกเป๊ะเลย

    เมื่อเราคิดถึง เปิดรับ และรู้สึกถึงพลังดีๆ ก็จะทำให้เรามี vibration ดีๆแผ่กระจายออกจากตัวเราไปให้คนอื่น 

นพ. สันต์

    อะไรคือ vibration หรือครับ

Br. Charlie Hogg

    Vibration ก็คือพลังงานของดวงวิญญาณ 

    เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสื่อสารเชื่อมโยงอย่างที่ผมกับคุณกำลังคุยกันอยู่นี้ เราสื่อกันในสามระดับนะ ระดับแรกคือภาษาที่เราใช้ ระดับที่สองคือสีหน้าท่าทางของเรา ระดับที่สามคือ vibration ที่แผ่กระจายออกจากตัวเราออกไป

    ทั้งสามอันนี้ อันแรกคือภาษาที่ใช้จะได้รับความเชื่อถือจากผู้รับน้อยที่สุด ส่วนสีหน้าและ vibration ที่เราแผ่กระจายออกไปนั้นจะได้รับความเชื่อถือมากกว่า คือมากถึง 80-90% เพราะเมื่อต้องเลือกว่าจะเชื่ออะไร ไม่มีใครเลือกเชื่อสิ่งที่เห็นหรือได้ยินทันทีดอก เขาจะเลือกเชื่อความรู้สึก (feeling) ของเขามากกว่า

    แล้ว vibration นี้มันก็มีระดับชั้นของคุณภาพของมันดัวย ยิ่งเราทำ meditation ก็ยิ่งเป็นการ upgrade (ขอยืมคำพูดของคุณหน่อยนะ) ยิ่งเป็นการ upgrade คุณภาพของ vibration ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้มนุษย์เราอยู่ด้วยกันอย่างสงบได้มากขึ้น

............................................

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

ประกาศเลิกเดินสายบรรยาย และตอบคำถามโยเกิรตกับไขมันในเลือดสูงและเบาหวาน

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก