Solo Mum เผลอไปมีความรักแล้วก็ให้ใจเค้าหมดใจ
(ภาพวันนี้ : เอื้องสายน้ำผึ้ง)
สวัสดีค่ะคุณหมอ
เพิ่งติดตามคุณหมอวันนี้เอง แต่ไล่อ่านตั้งแต่ปัจจุบันไปให้ได้ไกลที่สุด อ่านแล้วประทับใจและคิดว่าควรส่งข้อความมาปรึกษาค่ะ ว่าด้วยเรื่องของความรัก ความ เจ็บป่วย เงิน งาน เวลาที่มีปัญหามันมักจะประดังประเดทำเราเซไม่เป็นท่า (ถึงภายนอกจะดูปกติดีก็ตาม) หนู แม่เลี้ยงเดี่ยวค่ะเผลอไปมีความรักแล้วก็ให้ใจเค้าหมดใจ!! รู้จักกันมาสี่ปีแล้วสถานะไม่ได้เป็นอะไรชัดเจนเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ทุกครั้งที่พบเจอกันก็จะไปเที่ยวกันไปมีเวลาดีดีร่วมกัน ที่เราตกลงไว้ก็คือจะเป็นอิสระต่อกัน เจอกันสองปีครั้งค่ะ แต่ระหว่างนั้นก็คุยกันทุกวันแล้วก็เปิดกล้องคุยกันอาทิตย์ละหนึ่งครั้งเค้าอยู่ต่างประเทศค่ะอยู่อเมริกา ปีนี้เช่นกันเค้าก็กลับมา60ว้น ได้เจอกัน 1 วันถ้วน ตอนแรกมีแพลนว่าจะไปทริปกันแต่สุดท้ายไม่ได้ไปเค้าก็จะบอกแค่ว่า.. สะดวกเมื่อไหร่จะบอกนะ!! เราก็ไม่รู้ว่าที่เราเป็นอย่างนี้เฝ้ารอเขาตลอดคือรักเขาหรือเพราะปัญหาที่เรามี เราเลยไปคาดหวังว่าการกลับมาของเค้าคงจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจเราเหมือนทุกทีอะไรๆๆ มันคงจะดีขึ้น แต่พอไม่ได้ดั่งใจเราก็รู้สึกแย่สุดสุด ฟ้าถล่มดินทลายเหมือนจะตายเอาให้ได้ทรมานใจเหลือเกิน นอนไม่หลับนั่งรอทุกวันไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นมีคำถาม 108 , 1009 ตอนนี้เค้าบินกลับไปแล้วค่ะความรู้สึกมันเบาขึ้นแต่ก็สับสนเหมือนกันว่ามันคืออะไรแบบนี้หนูควรจะทำยังไงดีคะ
ปล. หนูจะรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญทุกครั้งที่เค้าอยู่ไทยค่ะตอนที่เค้าอยู่อเมริกาหนูไม่เคยเป็นอะไรเลยค่ะต่อให้วันวันนึงคุยกันวันละคำก็ตาม
………………………………………………………………..
ตอบครับ
วันนี้ขอตอบจดหมายน้ำเน่าสักวันนะ ท่านผู้อ่านขาประจำสว.ที่ซีเรียสกับชีวิตและสุขภาพอย่าได้ถือสา
จับสาระความทุกข์ของคุณทั้งหมดเป็นเรื่องของความคิดในหัวคุณเอง เช่น
(1) คิดว่าตัวเรานี้ขาดความอบอุ่น ขาดความมั่นคงในชีวิต
(2) ความคาดหวังว่าวันหนึ่งจะได้แต่งงานมี ผ. เป็นตัวเป็นตนอีกสักครั้ง
(3) คิดว่าเรานี้ช่างไร้ค่า แฟนเขาไม่ให้ราคาสักกะจิ๊ดหนึ่ง
(4) เสียใจหรือผิดหวังที่เขามาแล้วควรจะได้จู๋จี๋กันแต่แล้วก็ไม่ได้จู๋จี๋กันอย่างที่คิด เป็นต้น
ก่อนจะตอบคำถามคุณ ผมขออนุญาตรำมวยก่อนนะ ว่าชีวิตคนเรานี้ประกอบด้วยร่างกาย ความคิด และความรู้ตัว เนื่องจากคุณเป็นทุกข์เพราะความคิด วันนี้เราจะเจาะลึกกันแต่ส่วนที่เป็นความคิด
ที่ประกอบขึ้นมาเป็นความคิดของคนเรานี้ มันมีสองส่วน คือตัวความคิดอ่าน และความจำ หากตัดเอาความจำออกไปก่อน ส่วนความคิดอ่าน (intelligence) มันยังซอยย่อยออกได้เป็นสองระดับคือ สัญชาติญาณ (instinct) กับเชาวน์ปัญญา (intellect) โดยทั้งสองส่วนนี้ล้วนปรุงขึ้นมาหรือชงขึ้นมาเพื่อเชิดชูหรือปกป้อง “อัตตา” หรือสำนึกว่าเป็นคนคนหนึ่งของเรานี้ให้สูงเด่นและมั่นคงปลอดภัย
ในระดับสัญชาติญาณ ในกรณีของคุณก็คือความอยากมีคู่ (sex drive) ใจเย็นๆนะ ผมไม่ได้ว่าเซ็กซ์เป็นของไม่ดี แค่บอกว่าไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่าความรักความโรแมนติกหรูเริ่ดสะแมนแตนอะไรก็แล้วแต่ แต่พื้นฐานของมันคือสัญชาติญาณอยากมีเซ็กซ์ มันเป็นกลไกระดับฮอร์โมนและเซลล์ร่างกายซึ่งไม่มีใครไปเบรคมันได้ดอก และผมก็ไม่ได้แนะนำให้ไปกดหรือไปเบรคมันไว้แบบเอามือขยุ้มคอจะเอาให้อยู่หมัด เพราะทำอย่างนั้นมันมีแต่จะระเบิดออกมา ในทางตรงกันข้าม ผมแนะนำให้คุณยอมรับมัน ถ้ายั้งไว้ได้ก็ยั้งบ้าง บิดประเด็นไปหาทางออกอื่นบ้าง หากมันมาแรงสุดๆต้านไม่ไหวก็ตามมันไปบ้าง ในขอบเขตที่คุณเห็นว่ามันไม่ถึงกับจะพาคุณไปสู่การถูกทำร้ายในบั้นปลาย ผมหมายถึงการมีเซ็กซ์ที่ (1) มีการป้องกันการติดโรค (2) มีการป้องกันการตั้งครรภ์ และ (3) มีการป้องกันการแต่งเรื่องราวดราม่าขึ้นในใจตัวเองที่รังแต่จะนำไปสู่ความยึดถือในสิ่งที่ไม่เป็นจริง ถ้าคุณมีเกราะสามประการนี้คุ้มกัน คุณก็ปล่อยความอยากมีเซ็กซ์ให้มันเดินหน้าของมันไปได้เลย เชิญตามบาย หิ หิ
ในระดับเชาวน์ปัญญา ตรงนี้ต่างหากที่เราต้องสนใจเป็นพิเศษ เพราะเชาวน์ปัญญาของเราก็คือตรรกะการคิดใคร่ครวญที่ทำงานเพื่อรับใช้ “อัตตา” ของเรา ซึ่งอัตตานี้เป็นเรื่องที่เราปั้นแต่งขึ้นมาเอง ปัจจัยอื่นๆนอกตัวเรามันไม่ได้รู้ด้วยเห็นด้วยกับคอนเซ็พท์เรื่องอัตตาของเราที่เราอุปโลกน์ขึ้นดอก แถมสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกตัวเรายังมีธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาโดยที่เราไม่อาจควบคุมได้เลย ไม่ว่าจะเป็นแฟนของคุณก็ดี การที่เขามาจีบคุณก็ดี การที่เขาหนีหน้าคุณไปก็ดี ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งเร้าจากภายนอกที่คุณไม่อาจไปควบคุมได้ สิ่งที่คุณทำได้อย่างดีก็แค่ให้อภัยทาน แผ่เมตตาให้ แต่การสนองตอบต่อสิ่งเร้าด้วยการคิดของคุณต่างหากที่คุณคุมได้
ดังนั้นหากคุณอยากแก้ปัญหานี้ คุณต้องแก้ด้วยการคุมการสนองตอบต่อเรื่องนี้ด้วยการคิด หรือพูดง่ายๆว่าคุณต้องฝึกวางความคิด โดยการฝึกใช้เครื่องมือวางความคิดที่ผมพูดถึงบ่อยๆในบล็อกนี้ ได้แก่ (1) การย้ายความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจบ้าง (2) มาอยู่กับพลังชีวิตซึ่งปรากฎต่อคุณในรูปของความรู้สึกบนร่างกายบ้าง (3) ฝึกผ่อนคลายร่างกายเพื่อลดทอนความคิดบ้าง (3) ฝึกสังเกตดูความคิดของตัวเองเพื่อให้ความคิดมันฝ่อหายไปเองบ้าง และ (4) ฝึกจดจ่อสมาธิเพื่อให้สามารถรู้ตัวอยู่ในความว่างเปล่าที่ไม่มีความคิดบ้าง เป็นต้น
ถามว่าแล้วขั้นตอนต่อไปต้องทำอย่างไร ตอบว่าถ้าคุณฝึกวางความคิดได้ดี จนความคิดหมด ตรงนั้นคือสมาธิหรือความรู้ตัว ซึ่งเป็นบ้านของปัญญาญาณ มันเป็นของมาคู่กันเหมือนบั๊ดดี้ ผมหมายถึงความรู้ตัวกับปัญญาญาณ เหมือนกับที่ร่างกายมาคู่กับสัญชาติญาณ มันเป็นบั๊ดดี้กัน ถึงตอนนั้นคุณไม่ต้องการคำแนะนำจากใครอีกแล้ว ปัญญาญาณจะชี้นำทางไปต่อให้คุณเอง
ที่คุณควรสนใจคือนอกจากการวางความคิดด้วยการนั่งสมาธิฝึกจดจ่อแล้วมีวิธีอื่นที่จะบ่มให้ปัญญาญาณเกิดขึ้นมานำทางชีวิตตัวเองอีกไหม ตอบว่ายังมีอีกหลายวิธี เช่น (1) ฝึกจดจ่อกับงานอาชีพหรืองานอดิเรกที่คุณชอบไม่เว้นแม้กระทั่งกิจกรรมหั่นหอมหั่นกระเทียม (2) ฝึกผ่อนคลายร่างกายจนมีรอยยิ้มที่มุมปากเป็นอาจิณ (3) บางครั้งแค่อาบน้ำฝักบัวเย็นๆ เมื่อความสนใจมาอยู่กับความรู้สึกบนผิวหนัง ความคิดจะถูกทิ้งไปโดยปริยาย เปิดช่องให้ปัญญาญาณโผล่ขึ้นมาได้..ปิ๊ง..ง (4) ให้หัดตีความเอาจากร่างกาย เช่นคิดจะทำอย่างหนึ่งแล้วร่างกายมันกระดี๊กระด๊า ก็แสดงว่าปัญญาญาณชี้นำคุณไปทางนั้น (5) หัดตีความเอาจากฝันด้วย เพราะปัญญาญาณบางครั้งบอกอะไรคุณในรูปของความฝัน แต่อย่าไปคิดว่าทุกความฝันจะเป็นปัญญาญาณเสมอไปนะ บางครั้งก็เป็นแค่สัญชาติญาณซึ่งเป็นบั๊ดดี้ของร่างกาย กลางวันทำอะไรไม่ได้เพราะถูกกรงของความคิดเก็บกดไว้ กลางคืนจึงไปอาละวาดในความฝันแทน บางครั้งความฝันก็เป็นแค่ผลจากท้องอืดเพราะกินมากเกินไป จึงต้องหัดทำนายฝันแบบแยกแยะ ไม่ใช่เอะอะก็เหมาว่าฝันนี้เป็นปัญญาญาณตะพึด อีกอย่างหนึ่ง หากก่อนนอนคุณเข้านอนแบบวางความคิดให้หมดให้ได้ก่อน ผ่อนคลายร่างกายทุกลมหายใจจนถึงลมหายใจสุดท้ายที่หลับ จะมีโอกาสมากที่ฝันนั้นจะมาจากปัญญาญาณของคุณ (6) เขียนบันทึก อะไรเกิดขึ้นในใจหัดเขียนบันทึกไว้ เขียนโจทย์แล้วเขียนคำตอบที่โผล่ขึ้นมาทันทีในตอนนั้น นานๆครั้งหาเวลากลับไปอ่านดู สอบทานเทียบเคียงกับเหตุการณ์จริงหลังการเขียนบันทึกนั้น ก็จะเป็นการฝึกความแหลมคมในการรับรู้ปัญญาญาณ (7) หาเวลาไปปลีกวิเวกในธรรมชาติมีคำถามหนักๆก็ตั้งคำถามทิ้งไว้ แล้วรอคำตอบอย่างใจเย็น ปัญญาญาณจะโผล่มาชี้ทางให้เห็น (8) หัดปรับจูนเครื่องรับ ปัญญาญาณเปรียบเหมือนสถานีวิทยุร้อยสถานีที่ออกอากาศพร้อมกัน แต่ใจคุณเหมือนเครื่องรับที่จูนหาคลื่นได้ทีละคลื่นเดียว เมื่อมีสังหรณ์เกิดขึ้น อย่าไปต่อต้านขัดขืน ลองทำตามไปแบบโง่ๆโดยไม่ฟังความคิดที่ชี้แนะด้วยเหตุผลและหลักการสาระพัด
ประเด็นสำคัญคือปัญญาญาณจะไม่เกิดขณะความคิดเจ้าประจำที่ชอบพาคุณหนีจากปัจจุบันไปอยู่ในอนาคตและอดีต เช่น ความกลัว ความหวัง ความเสียใจหรือรู้สึกผิด ยังอยู่ในใจคุณ เหล่านี้เป็นความคิด “ขี้หมา” ไม่เกี่ยวอะไรกับปัญญาญาณ หมดความคิดขี้หมาเมื่อไหร่แล้วโน่นแหละ ปัญญาญาณจึงจะโผล่มาชี้นำทางให้คุณ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์