เป็นความดันเลือดสูง ไม่ยอมกินยา แต่ความดันปกติ ควรจะกินยาที่หมอให้ต่อไปไหม

ภาพวันนี้ : ไก่อัตตา (ตัวกูใหญ่) ท่ามกลางแสงจันทร์วันมาฆะ

อยากถามคุณหมอค่ะ

กินยาความดันมาสามปี พอช่วงโควิตขาดยามาประมาณปีกว่าๆแต่ร่างกายก็ปกติ ครั้งล่าสุดไปหาหมอ วัดความดันหมอชมว่าความดันดีมาก ไม่กล้าสารภาพค่ะว่าหยุดยามานาน  ตอนนี้กลับไปเอายามาต่อเหมือนเดิม ควรทานต่อมั้ยคะ ถ้าไม่ทาน ยาที่ได้มาจำนวนมากจะเอาไปคืนโรงพยาบาลได้ไหม

……………………………………………………………….

ตอบครับ

1..ถามว่าหยุดยาความดันมาปีกว่า แล้ววัดความดันได้ปกติดี ควรจะกินยาลดความดันต่อไหม ตอบว่าจะกินไปทำไมละครับ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ากินเพื่อลดความดัน หากไม่มีความดันสูงให้ลดก็ไม่ต้องกินยาลด ตรรกะมันมีแค่นั้นแหละ คุณใช้ดุลพินิจตัวเองตัดสินใจได้เลย เพราะยาลดความดันไม่ใช่ยารักษาโรคความดันให้หายขาด มันเป็นแค่ยาบรรเทาความดันสูงชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อความดันไม่สูงก็ไม่ต้องกิน

2.. ถามว่าเป็นโรคความดันสูงมาสามปีแล้วทำไมเลิกกินยาแล้วความดันไม่เห็นสูงเลย ตอบว่ามันเป็นได้หลายสาเหตุ เช่น

2.1 คุณไม่ได้เป็นโรคความดันสูง แต่หมอวินิจฉัยผิดตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยมากโดยเฉพาะหากการวินิจฉัยนั้นเกิดจากการที่แพทย์วัดความดันครั้งเดียวหรือวัดติดๆกันหลายครั้งแต่วัดในวันเดียวกัน มาตรฐานการวินิจฉัยโรคความดันสูงคือต้องวัดแล้ววัดอีก วัดอย่างน้อยสองครั้งห่างกันอย่างน้อยสองสัปดาห์ ก่อนวัดต้องขจัดเหตุที่ทำให้ความดันเลือดสูงชั่วคราวออกไปให้หมด เช่นเพิ่งดื่มกาแฟมา เพิ่งรีบๆมา เพิ่งโมโหเจ้าหน้าที่หน้าห้องตรวจมา เมื่อคืนอดนอนมา กำลังปวดฉี่อยู่ กำลังปวดหัว เป็นต้น

2.2 คุณเป็นโรคความดันสูงจริง แต่คุณทำตัวดีจนเหตุที่ทำให้ความดันเลือดสูงนั้นลดลงหรือหายไป เช่น (1) เดิมคุณอ้วนอยู่แล้วน้ำหนักลดลง (2) คุณกินผักผลไม้มากขึ้น (3) คุณออกกำลังกายมากขึ้น (4) คุณกินเกลือหรือกินเค็มน้อยลง (5) เดิมคุณเครียดต่อมาคุณจัดการความเครียดของคุณได้ดีขึ้น อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างเหล่านี้ล้วนทำให้คุณหายจากโรคความดันเลือดสูงได้

3.. ถามว่าหมอให้ยามา ไม่ได้กิน แต่ไม่กล้าบอกหมอ จะทำอย่างไรดี ตอบว่าคุณต้องทำตัวเป็นคนไข้ที่ดีเวลาไปหาหมอ อย่าทำตัวเป็นเด็กนักเรียนซุกซนที่ถูกครูเรียกพบแล้วคอยให้การเท็จหลบนี่หลบนั่น ความสัมพันธ์หลอกๆระหว่างหมอกับคนไข้แบบนั้นไม่สร้างสรรค์และไม่เอื้อให้การรักษาโรคสำเร็จ เวลาคุณไปหาหมอมีข้อมูลอะไรคุณต้องบอกหมอให้หมดตามความเป็นจริง ไม่งั้นหมอเขาจะรักษาคุณได้ถูกต้องอย่างไรเล่าครับ คุณหยุดยาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ต้องบอกหมอ หมอส่วนใหญ่จะรับได้ เพราะหมอทุกคนที่อ่านงานวิจัยทางการแพทย์อยู่เป็นประจำก็จะไม่ตกข่าวว่าอัตราการกินยาตามแพทย์สั่ง (compliance) นั้นต่ำมาก งานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเยลซึ่งใช้วิธีติดไมโครชิพไว้ที่ฝาขวดยาพบว่าคนไข้โรคเรื้อรังเปิดยากินครบตามที่แพทย์สั่งเพียง 25% เท่านั้น แล้วหมอที่รู้เรื่องอย่างนี้ดีเต็มอกแล้วเขาจะออกแขกหรือกระต๊ากให้เสียพลังงานตัวเองไปทำไมละครับ

เว้นเสียแต่ว่าถ้าหมอของคุณเป็นคนเจ้าอารมณ์ หรืออารมณ์ร้าย ซึ่งมีหมอน้อยมากที่เป็นอย่างนี้ ถ้าคุณเจอหมออย่างนี้ผมเห็นใจ คุณก็อาจจะต้องเตรียมลูกเล่นข้างๆคูๆไว้รับอารมณ์ร้ายๆของหมอ อันนี้ก็ถือว่าไม่ผิดกฎกติกามารยาท มันเป็นไปตามทฤษฏีผีกับโลง คือเมื่อเจอหมออารมณ์ร้ายผู้ป่วยก็ต้องมีวิธีเอาตัวรอดแบบน้ำขุ่นๆเพราะไม่อยากถูกด่าข้างเดียวฉอดๆๆๆ คุณจึงอาจต้องใช้ลูกเล่นเฉพาะกรณีเจอหมออารมณ์ร้าย เช่น “หนูกินยาแล้วลุกแล้วหน้ามืด วัดความดันแล้วมันต่ำ หนูกลัวล้มหัวฟาด จึงหยุดยา” นี่ก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่ดีซึ่งหมอก็จะเอะอะเอ็ดตะโรไม่ได้เพราะถ้าคุณกินยาแล้วลุกแล้วหน้ามืดตามหลักวิชาแพทย์สิ่งแรกที่แพทย์พึงทำคือต้องให้คุณหยุดยาก่อนทันทีเหมือนกัน

4.. ถามว่ายาที่หมอให้มา ให้มา แล้วไม่ได้กิน เก็บรวมๆกันไว้ได้เป็นปี๊บ ควรจะเอาไปบริจาคให้ใครที่ไหนดี ตอบว่าระบบการสั่งใช้ยาของโรงพยาบาลในปัจจุบันยาที่ออกมาจากห้องยาแล้วเขาจะไม่รับกลับเข้าไปอีกเพราะเขามีมาตรฐานการจัดเก็บของเขา การเอายาที่ไปจัดเก็บข้างนอกระยะหนึ่งแล้วซึ่งอาจจัดเก็บไม่ดีเข้าไปปะปนก็จะทำให้ยาในคลังยาของเขากลายเป็นเชื่อถือไม่ได้ นี่เป็นมาตรฐานที่ปฏิบัติกันสำหรับห้องยาแทบทุกโรงพยาบาล ดังนั้นจะเอากลับไปคืนโรงพยาบาลนั้นยาก ยกเว้นถ้าเป็นคลินิกเอกชนบางแห่งเขาอาจรับคืนเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจกับคนไข้ ทุกวันนี้มีผู้ป่วยใช้สิทธิสามสิบบาทบ้าง ประกันสังคมบ้าง สวัสดิการราชการบ้าง ประกันเอกชนบ้าง สิทธิสวัสดิการบริษัทบ้าง รับยาจากหมอไปแล้ว ไม่กิน จึงเหลือยาใส่ถุงใส่ปี๊บไว้และในที่สุดก็ต้องทิ้งไปเป็นจำนวนมาก ด้านหมอก็ชอบจ่ายยามาก ด้านคนไข้ก็ชอบรับยาแพงๆมาคราวละมากๆเพราะได้มาฟรี แต่รับมาแล้วไม่กิน นี่เป็นปัญหาของชาติ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างไร และพูดก็พูดเถอะ ชาติก็ไม่ใช่ของผมคนเดียว ดังนั้นเรื่องนี้ช่างมันก่อนเถอะครับ หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี