มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วกระดูก จะตายอยู่แล้ว แต่ขอวิธีหลุดพ้นก่อนตายได้ไหม
(ภาพวันนี้ : ว่านสี่ทิศ สี่ดอกหันหน้าไปคนละทาง)
เรียนคุณหมอที่เคารพ
เมื่อวันที่ … หนูได้เข้า admit เพื่อรับเคมีสูตร Cisplatin + 5 FU โดยหมอเน้นว่าแค่เพื่อคุณภาพชีวิตเพราะมะเร็งได้แพร่กระจายไปกระดูกทั่วตัวแล้ว (หนูได้แนบใบสั่งการรักษามาด้วยค่ะ) จะเป็นการรักษาต่อเนื่อง 6 วันต่อครั้งค่ะ โดยรับเคมีวันแรก 18/3 วันนี้ 19/3 เป็นวันที่ 2 อยู่ระหว่างการรับ 5 FU dose ที่ 3 จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอาการอะไรค่ะ….เมื่อจบการรักษาครั้งที่ 1 ก็จะพอรู้ผลข้างเคียงที่เกิดกับหนูว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เมื่อคืนวันที่ยังไม่ได้รับเคมี หนูปวดกระดูกมากราวกับว่ามีจิตกรกำลังเร่งมือขึ้นรูปสลักโดยใช้เครื่องมือหนักอยู่…ไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ หนูกินอาหารโรงพยาบาล มีไก่ ปลา (ก่อนหน้านั้นหลังจากที่รู้ว่าเป็นมะเร็งหนูไม่ได้กินเนื้อสัตว์เลย) วันต่อมาเลยงดเนื้อสัตว์เด็ดขาด กินอาหารปั่น มีถั่ว นัท ซีดส์ ไข่ขาว ผักสารพัดสีต้ม โชคดีห้องที่ได้มีเค้าเตอร์เตรียมอาหารเล็กๆพอวางหม้อต้มและเครื่องปั่นได้…. เมื่อคืนไม่มีอาการปวดเลยราวกับเป็นวันหยุดจิตกร…แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคมี (ในสูตรมีสเตียรอยด์ด้วย) หรืออาหาร…จะลองทดลองกินเนื้อสัตว์ใหม่ก็กลัวไม่คุ้ม 555 เพราะมันปวดจริงจังมาก….ปลอบตัวเองว่าบางครั้งเราไม่ต้องรู้มันทุกเรื่องก็ได้เพราะชีวิตเราไม่ได้ยาวนานพอที่จะเสียเวลาพิสูจน์ในเรื่องที่ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ ในเมื่อตัดสินใจงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดอยู่แล้วแล้ว อิอิ….แต่อีกใจก็อยากลองจะได้สรุปไว้เป็นความรู้ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นด้วยตัวเอง 5555..
ตอนที่ปวดกระดูก หนูก็พยายามทำสมาธิโดยเอาความสนใจไปไว้ที่ลมหายใจแต่รวบรวมสมาธิไม่ได้เลย ใจคอยแต่จะแว๊บไปตรงจุดปวด…จากเดิมที่ที่คิดว่าตัวเองสามารถจัดการกับความปวดได้เอาเข้าจริงกระจอกงอกง่อยมาก (ตอนนั้นถึงขนาดคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะแก้ living will ว่ายอมรับมอร์ฟีนก็ได้ 555….แต่ตอนนี้ก็ยังคิดว่าไม่เปลี่ยนขอลองฝึกดูกอีกซักตั้ง)…แต่ก็ยังดีที่ใจยอมรับได้ ไม่เร่าร้อน หงุดหงิด ทุรนทุราย ยอมรับแบบเงียบๆจ๋อยๆ เพราะคิดว่าเมื่อเราควบคุมจัดการไม่ได้เหลืออย่างเดียวที่ทำได้คือยอมรับ…พอตั้งความสนใจไว้ที่ลมหายใจไม่ได้เลยย้ายความสนใจไปไว้ที่จุดปวด สมาธิก็ดีขึ้น แต่ทีนี้ใจก็คอยแต่แว๊บไปว่ามะเร็งกำลังเพิ่มประชากรอยู่หรือว่ากำลังรุมกินโต๊ะจีนที่หนูส่งเข้าไปให้อยู่…แต่ก็รู้ตัวเป็นระยะๆ ว่าความคิดมันมาแล้ว…ก็ตั้งสติกลับมาจดจ่อที่ความปวดต่อ..ก็ แว๊บไปแว๊ปมาจนหลับไป…
เมื่อเช้าอ่านเพจคุณหมอ “โต๋เต๋ตนเดียวในความเงียบ” ถ้าติต่างว่าเข็มคือเครื่องมือเจาะลูกโป่งที่เป็นอัตตา เพื่อให้ความรู้ตัวในลูกโป่งเป็นอิสระรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติข้างนอกที่เป็นธรรมชาติเดิมของมัน….ปัญหาของหนูคือการฝนเข็มให้ให้คมและแกร่งพอที่จะสามารถเจาะลูกโป่งอัตตาที่ทั้งแข็งทั้งเหนียว…เพราะพอฝนๆไปก็คิดว่าคมพอประมาณแล้วแต่แต่ก็จิ้มอัตตาไม่เคยแตก….วันนี้จะมาขอความเมตตาขอเคล็ดลับเพิ่มพลังเพลงเข็มให้แหลมคมแข็งแกร่งและกลยุทธ์เจาะลูกโป่งทีเดียว….โพล๊ะกระจาย….ไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อนแต่กลัวตายก่อนเข็มแหลม 555
ด้วยความรักและเคารพ
……………………………………………………….
ตอบครับ
1.. ถามว่ามีงานวิจัยทางการแพทย์ไหมว่าการกินพืชไม่กินเนื้อสัตว์จะลดการปวดกระดูกจากมะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูกได้ ตอบว่างานวิจัยที่นับได้ว่าเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ยังไม่มีครับ มีแต่รายงานผู้ป่วยหนึ่งรายที่เป็นมะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูก หมอยกธงขาวแล้ว แต่คนไข้ (ฝรั่ง) ไปกินวีแกน แล้วหายอยู่ 4 ปี ตรวจ bone scan มะเร็งที่กระจายทั่วทั้งตัวหายเกลี้ยง แล้วคนไข้กลับมากินเนื้อสัตว์ใหม่ แล้วก็ปวดกระดูกอีก คราวนี้พบว่ามะเร็งแพร่กระจายไปกระดูกทั่วตัวอีก คราวนี้ตายเลย แพทย์ของเขาเอาภาพ bone scan ทั้งก่อนกินวีแกน หลังกินวีแกน หลังเลิกกินวีแกน มาตีพิมพ์ไว้ในวารสารการแพทย์ เป็นเรื่องที่อะเมซซิ่งมาก ผมเคยเขียนถึงผู้ป่วยเคสนี้ในบล็อกนี้ คุณหาอ่านเอาเองเหอะ ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเขียนไปนานเท่าใดแล้ว
ทั้งนี้อย่าลืมว่ารายงานผู้ป่วยไม่ใช่งานวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) วงการแพทย์ถือว่ารายงานผู้ป่วยเป็นหลักฐานระดับเรื่องเล่า (anecdotal) นะ คุณยังต้องฟังหูไว้หู
2.. ถามว่าใกล้จะตายแล้ว เวลามีน้อย ด้วยเวลาที่เหลืออยู่นี้อยากจะ “หลุดพ้น” จะต้องทำอย่างไร แหม นี่เป็นคำถามคลาสสิกเลยนะ ยิ่งถามโดยคนเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอย่างคุณมันยิ่งคลาสสิก แต่คำตอบใช้ได้กับทุกๆคน เพราะไม่ว่ามนุษย์คนไหนก็ตาม ใครหน้าไหนจะไปรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ ดังนั้นคำตอบสำหรับคำถามนี้ใช้ได้กับทุกคน
ตอบในภาพใหญ่ว่าการจะหลุดพ้น ที่ภาษาโยคีเรียกว่า “โมกษะ” หรือที่ชาวพุทธเรียกว่า “ละสักกายะทิฐิ” นั้น กล่าวอย่างบ้านๆก็คือการ “วางความคิด” ได้สำเร็จนั่นเอง เพราะความเห็นผิดว่าทั้งหลายทั้งปวงที่ประกอบเป็นตัวตนของเราเป็นของจริงนี้ปรากฏในรูปของความคิดทั้งสิ้น
โยคีดังท่านหนึ่งชื่อ รามานา มหารชี สรุปได้สั้นจู๋ถูกใจหมอสันต์มาก..ว่า
“..การเดินบนเส้นทางสู่ความหลุดพ้นก็คือการทิ้งความคิดเสียทันทีที่มันเกิดขึ้น
การบรรลุความหลุดพ้นเกิดเมื่อความคิดทุกความคิดถูกทิ้งไปหมดเกลี้ยง ไม่เหลือ..”
ดังนั้นผมตอบในระดับภาพใหญ่ว่า..ก็ฝึกวางความคิดซิครับ ด้วยเครื่องมือวางความคิดทั้งหลายทั้งแหล่ที่ผมพูดถึงบ่อยจนท่านผู้อ่านเบื่อแล้วนั่นแหละ
3.. ถามว่าฝึกใช้เครื่องมือวางความคิดตามที่หมอสันต์แนะนำแล้ว แต่มันไม่สำเร็จ มาบัดนี้จวนเจียนจะตายอยู่แล้ว ไม่มีวิธีลัดแบบโป๊ะเชะให้บ้างเลยหรือ ขอหลุดพ้นให้ทันก่อนตายหน่อยน่า
ตอบว่ามีนะ.. มีวิธี ผมจะบอกให้เดี๋ยวนี้เลย
ในระดับหลักการก็คือให้คุณย่นเวลาในชีวิตคุณให้เหลือแค่ลมหายใจนี้ คือมีชีวิตอยู่ในลมหายใจนี้เพียงลมหายใจเดียว ทุกครั้งที่ปลายลมหายใจเข้าคุณสังเกตหรือชำเลืองดูนิดหนึ่งว่าที่ลมหายใจนี้คุณมีความคิดอยู่หรือเปล่า ทำแค่เนี้ยะแหละ ในการสังเกตความคิดคุณจะใช้วิธีย้อนกลับไปดูความคิดหรือใช้วิธีตื่นตัวเฝ้ารอการมาของความคิดใหม่ก็ได้ทั้งนั้น จะเอาอย่างไหนก็ได้ เอาสักอย่าง แต่ขอให้สังเกตทุกลมหายใจนี้
ธรรมชาติของความคิดเมื่อถูกสังเกต มันก็จะฝ่อไป มันอาจจะกลับมาอีก แต่เมื่อถูกสังเกตซ้ำอีกมันก็จะยิ่งแผ่วลงๆจนหมดกำลังหายไปในที่สุด
ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ค้นพบว่าเมื่อสมองคนเราเปลี่ยนเรื่องคิด ภาพที่เครื่อง fMRI ตรวจได้จะเปลี่ยนรูปไปทีหนึ่ง หนึ่งรูปยึกยือเหมือนตัวหนอนเท่ากับหนึ่งความคิด เรียกว่า thought worm ด้วยการนับความคิดด้วยวิธีนี้ คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยควีนส์ รัฐออนตาริโอ แคนาดา ได้แสดงหลักฐานภาพ fMRI ว่าคนเราขณะตื่นเราเปลี่ยนเรื่องคิดวันละเฉลี่ย 6200 ความคิดต่อวัน นี่เป็นการวัดเอาจากเครื่องมือที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่วันละหกหมื่นความคิดนะ นั่นเขาเดากันเอาเอง เชื่อถือไม่ได้ แต่นี่วัดจริง วันละ 6200 ความคิด นี่เชื่อถือได้ ถ้าวันหนึ่งตื่น 16 ชั่วโมงก็เท่ากับ 388 ความคิดต่อชั่วโมง หรือ 6 ความคิดต่อนาที คนทั่วไปหายใจนาทีละ 12 ครั้งก็เท่ากับ 1 ความคิดต่อทุก 2 ลมหายใจ ก็เรียกว่าไม่ได้มากเกินกว่าที่เราจะสังเกตได้หากเราเจาะจงปักหลักสังเกตเฉพาะลมหายใจนี้เท่านั้น เมื่อความคิดหนึ่งถูกสังเกตจนฝ่อไปแล้วกว่าที่อีกความคิดหนึ่งจะมาอย่างน้อยก็ยังมีเวลาตั้งหลักฟรีๆตั้งหนึ่งลมหายใจ แล้วความคิดทั้งหมดมันจะหนีรอดเราไปไหนได้ละครับ
ในระดับปฏิบัติก็คือคุณต้องทำโครงการ “ย่นชีวิตเหลือลมหายใจเดียว” นี้เป็นโครงการระดับชาติ ตื่นเช้ามาคุณเอาหลักการนี้ทดลองปฏิบัติขณะนั่งสมาธิสัก1 ชั่วโมงก่อน เป็นการชกลมก่อนไปใช้ชีวิตจริงในวันนั้น เพราะการสังเกตความคิดขณะนั่งสมาธิมันง่ายกว่าขณะลงสนามใช้ชีวิตจริง สังเกตความคิดไปเฉพาะที่ลมหายใจนี้เท่านั้น เอาเครื่องมือวางความคิดทั้งเจ็ดชิ้นที่ผมสอนไปแล้วซึ่งมีการผ่อนคลายและยิ้มที่มุมปากเป็นหัวหอกมาร่วมใช้ด้วยได้ จบนั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมงแล้วคุณก็ลุกไปใช้ชีวิตจริงโดยเอาวิธีสังเกตความคิดที่ลมหายใจนี้นั่นแหละไปว่าต่อในการใช้ชีวิตจริงทั้งวัน ทำอย่างนี้ทุกวัน อย่าลืมว่าการสังเกตความคิด ก็คือการทำลายความคิดทันทีที่มันเกิดขึ้น เอาแค่ลมหายใจนี้เท่านั้น ที่แล้ว..แล้วไป ไม่เอา ที่ยังมาไม่ถึง..ไม่เอา ยิ่งเรื่องไกลตัวอย่าง..จะตายเมื่อไหร่ จะทันหลุดพ้นหรือไม่ทันหลุดพ้น จะตายปวดหรือตายไม่ปวด ตายแล้วจะไปผุดไปเกิดที่ไหน โห.. ทั้งหมดนั้นคือจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริงซักกะอย่างจึงไร้สาระ ต้องไม่เอาเลย เอาลมหายใจนี้เท่านั้น สูดลมหายใจเข้าจนสุด ก่อนที่ลมหายใจจะวกกลับออกมา แอบดูเสียหน่อยว่ามีความคิดหรือเปล่า
วิธีนี้เป็นวิธีลัดสั้นตรงที่สุดที่คุณจะทำลายความคิดหรือ “สักกายะทิฏฐิ” ได้หมดในเวลาอันสั้น แล้วคุณก็จะหลุดพ้น ไม่เชื่อก็ลองดูสิครับ ถ้าไม่ลองแล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้ละว่าวิธีที่ผมพูดนี้ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
- Tseng J, Poppenk J. Brain meta-state transitions demarcate thoughts across task contexts exposing the mental noise of trait neuroticism. Nat Commun. 2020 Jul 13;11(1):3480. doi: 10.1038/s41467-020-17255-9. PMID: 32661242; PMCID: PMC7359033.
………………………………………………………………………
ตอบครับ