ทุกประเด็นเกี่ยวกับยารักษาโรคเบาหวาน
(ภาพวันนี้ : เอื้องโมกข์)
เรียนคุณหมอ
ฉันอายุ 74 ปี กินยาฉีดยาเบาหวานมาจนหน้าบวมตาปิด มียาจนรู้สึกว่าฉันไม่อยากตายขณะเต็มไปด้วยยากินยาฉีด มี Semaglutide ฉีดสัปดาห์ละครั้ง Novomix ฉีดทุกวัน Janumet (sitagliptin / metformin) Tanzaril(losartan) 100 mg Bestatin(simvastatin) 20mg Concor (bisoprolol)5mg Apent-m (aspirin) 81 mg ฉันตัดสินใจหนีไม่เอายาแล้ว ไปหาหมอทางเลือก ลูกๆก็เป็นห่วงแต่ฉันพอแล้วไม่อยากจะตายขณะร่างกายเต็มไปด้วยยากินยาฉีด น้ำตาลในเลือดช่วงที่แกล้งไม่ฉีดยากินยาเลยบางครั้งก็ขึ้นไปถึง 400 อยากถามคุณหมอสันต์ว่ายาพวกนี้มันช่วยอะไรฉันได้อย่างไรแค่ไหน ถ้าฉันจะไม่เอายาเลยฉันควรจะทำอย่างไร
………………………………………………
ตอบครับ
คุณได้ยาแค่ 8 ตัวยังถือว่าหน่อมแน้มนะครับ (ที่ผมนับว่ามี 8 ทั้งทั้งๆที่คุณเขียนมาแค่ 7 ตัวก็เพราะยา Janumet นั้นแท้จริงแล้วเขาเอายาสองตัวควบกันอยู่ในเม็ดเดียวกันคือ sitagliptin ควบกับ metformin) ที่ผมว่าคุณกินยาแค่นี้ยังอยู่ในระดับหน่อมแน้มก็เพราะคนไข้คนอื่นๆเขากินยิ่งกว่านี้ ยกตัวอย่างที่สุดโต่ง คนไข้ท่านหนึ่งที่มาหาผมซึ่งผมยกให้เป็นแช้มป์กินยาคือกินยาเฉพาะที่แพทย์ให้วันละ 25 ตัว ยี่สิบห้าตัวถ้วน มีอะไรแมะ หิ..หิ
เนื่องจากช่วงนี้ผมกำลังทำแค้มป์ผมนอนดึกไม่ได้ ขอตอบคุณประเด็นเดียวนะว่ายาเบาหวานที่คุณกินอยู่ซึ่งก็มีอยู่แค่ 4 ตัวคือ semaglutide, Novomix, sitagliptin, metformin มันออกฤทธิ์อย่างไร ช่วยอะไรคุณได้บ้าง และถ้าคุณเลิกกินเลิกฉีดซะให้หมดมันจะเป็นอย่างไรต่อไป เอาแค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียวนะ แค่นี้ก็เป็นเรื่องยาเบาหวานแบบเบ็ดเสร็จครบถ้วนแล้ว ท่านผู้อ่านท่านอื่นจะได้เอาไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย ส่วนยาอื่นที่ไม่ใช่ยาเบาหวานช่างมันก่อนเถอะ
โอเค. ร่ายบท มาจะกล่าวบทไป ยารักษาเบาหวานที่มีใช้อยู่ในโลกใบนี้ ศิริรวมแล้วก็แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ได้ 6 กลุ่ม เอาแต่กลุ่มใหญ่นะ กลุ่มเบี้ยหัวแตกไม่เอา
กลุ่มที่ 1. ยาลดการดื้อต่ออินสุลิน (Beguanides) ซึ่งมียา metformin ที่คุณกินอยู่ด้วยเป็นหัวแถว ถือว่าเป็นยารักษาเบาหวานที่ดีที่สุดและมาตรฐานหลักวิชาของสมาคมเบาหวานยุโรปและอเมริกา (EASD/ADA) แนะนำให้ใช้เป็นยาแถวแรก คือต้องใช้ยาตัวนี้ก่อน ก่อนที่จะกระโดดไปใช้ยาตัวอื่น ที่ว่าดีเพราะมันไม่ทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ เพราะมันไปออกฤทธิ์ลดการดื้อต่ออินสุลินของเซล ไม่ได้ออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดตรงๆ แต่ของดีก็ย่อมต้องมีข้อเสียด้วยเป็นธรรมดา ยา metformin มีข้อเสียที่ทำให้โฟเลทและวิตามินบี.12 ในร่างกายต่ำ ซึ่งจะนำไปสู่สมองเสื่อม หมอที่จ่ายยานี้จึงมักจ่ายกรดโฟลิกและวิตามินบี 1-6-12 มาด้วยพร้อมกันเป็นยาชุด ซึ่งก็จะนำไปสู่อีกปัญหาหนึ่ง คือวิตามินบี.6 เมื่อมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการปลายประสาทอักเสบ รักษาไปรักษามาจึงไม่รู้ว่าปลายประสาทอักเสบจากเบาหวานหรือจากวิตามินบี.รวมกันแน่ นี่ ฮี่ ฮี่ การใช้ยามันก็มีเรื่องแยะอย่างนี้แหละครับ
กลุ่มที่ 2. ยาเสริมอินครีติน (Incretin mimetics) อินครีตินเป็นฮอร์โมนพี่น้องของอินสุลินออกฤทธิ์ช่วยกันแบบพี่น้องสองแรงแข็งขัน มีข้อดีที่ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำเช่นกัน ทั้งหมดมีผลข้างเคียงที่เป็นมาตรฐานของยาแรงทั้งหลายครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดท้อง ท้องผูก แสบลิ้นปี่ ลมขึ้น เป็นต้น ยากลุ่มนี้ยังแบ่งออกเป็นอีกสองกลุ่มย่อยคือ
กลุ่มย่อย 2.1 ยาเสริมตัวรับ (GLP-1) เช่นยาฉีด semaglutide ที่คุณใช้อยู่ หรือยากินเช่น exenatide, liraglutide
กลุ่มย่อย 2.2 ยาต้านตัวทำลาย (DPP-4) ออกฤทธิ์ต้านเอ็นไซม์ DPP-4 ซึ่งเป็นตัวทำลายอินครีติน เช่นยา sitagliptin, saxagliptin เป็นต้น
กลุ่มที่ 3. ยาต้านการดูดกลับน้ำตาลที่ไต หรือยาต้าน SGPT-2 คำนี้ย่อมาจาก Sodium-glucose Cotransporter-2 ซึ่งก็แปลว่ายาต้านการดูกน้ำตาลกลับที่ไตนั่นแหละ เช่นยา canagliflozin, dapagliflozin เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ได้แม้จะมีการดื้อต่ออินซูลินหรือแม้ตับอ่อนจะผลิตอินซูลินไม่ได้แล้วก็ตาม แต่ก็มืข้อเสียคือทำให้ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทำให้เลือดเป็นกรดจากคีโตนคั่งบ้าง และที่แย่ที่สุดคืออาจทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น
กลุ่มที่ 4. ฮอร์โมนอินสุลิน ที่คุณต้องฉีดทุกวันนั่นแหละ มาถึงขั้นที่ต้องใช้ตัวนี้ก็คือเบาหวานประเภทที่สองใกล้จะหมดทางไปแล้วแหละ หมายความว่าตับอ่อนซึ่งเป็นผู้ผูกขาดการผลิตอินสุลินทำท่าจะเจ๊งจวนเจียนจะเลิกกิจการเสียแล้วเพราะถูกกระตุ้นให้ผลิตอินสุลินมากเกินไปจนเซลล์ของตัวเองทะยอยตาย จึงต้องอาศัยการฉีดจากภายนอกช่วย ข้อดีก็คือมันเป็นไม้สุดท้าย ข้อเสียคือมันเป็นยาฉีดที่แพ้ง่าย หรือไม่ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง มักทำให้อ้วน ซึ่งความอ้วนนี้แสลงต่อโรคเบาหวาน กรณีเป็นอินสุลินแบบสูดดมก็อาจมีพิษหากเป็นหอบหืดหรือโรคปอดเรื้อรัง
กลุ่มที่ 5. ยาลดน้ำตาลในเลือด (Sulfonylurea) มีสองรุ่น คือยารุ่นเก่าเช่นยา chlorpropamide, tolbutamide, และยารุ่นสองซึ่งแรงกว่าเช่น glipizide, glimepiride ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ (1) เพิ่มการหลั่งอินซูลินที่ตับอ่อน (2) ลดการทำลายอินซูลินที่ตับ (3) ลดการสร้างกลูโคสที่ตับ ฟังดูดี แต่มีพิษภัยและผลข้างเคียงมาก คือ (1) มักเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง โดยเฉพาะในคนใช้ยากั้นเบต้ารักษาความดันสูงร่วมด้วย (2) ปวดหัว เวียนหัว (3) แพ้ (4) อ้วน (5) มีพิษต่อตับและไตและหญิงตั้งครรภ์
กลุ่มที่ 6. ยาต้านอัลฟ่ากลูโคสิเดส เช่นยา acarbose, miglitol ออกฤทธิ์โดยระงับเอ็นไซม์ย่อยแป้งในทางเดินอาหารทำให้การดูดซึมน้ำตาลลดลง ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คือ (1) มีแก๊สในกระเพาะ (2) ท้องเสีย (3) ปวดท้อง
ยาทั้ง 6 กลุ่มข้างต้น ไม่มียาตัวไหนทำให้หายจากโรคเบาหวาน อย่างดีก็ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงมาอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แลกกับการที่น้ำตาลในเลือดจะตกต่ำฮวบฮาบเป็นครั้งคราว ผมมีคนไข้ท่านหนึ่งใช้ยาเบาหวานแยะ ต้องพกโค้กคลาสสิก (น้ำตาลเต็มแม็ก) ไว้ในกระเป๋าถือสตรีตลอดเวลา เวลาน้ำตาลในเลือดตกท่านก็ดื่มโค้ก เวลาจะกินยาแต่ไม่มีเวลากินข้าวก็ดื่มโค้กแทนข้าว หิ หิ นี่ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการรักษาเบาหวานแบบบ้านๆ ที่เอาน้ำตาลในเลือดเป็นตัวตั้ง น้ำตาลขึ้นก็เอาลง น้ำตาลลงก็เอาขึ้น
มาตรฐานการรักษาเบาหวานที่แท้จริง
ตรงนี้คุณไม่ได้ถามนะ แต่ผมเอามาเล่าให้ฟังเพราะเห็นว่ามีประโยชน์ กล่าวคือสมาคมเบาหวานยุโรปและอเมริกา (EASD/ADA) ได้ร่วมกันออกมาตรฐานการรักษาเบาหวานที่เป็นของจริงที่คุณเอาไปใช้ได้เลย ซึ่งมีหลักสำคัญอยู่ 7 เรื่อง ดังนี้
1. การเปลี่ยนอาหาร/ การออกกำลังกาย/ การให้ความรู้ คือรากฐานหลักของการรักษา
2.ให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจแผนการรักษาเสมอ
3. จัดการปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือด
4. กำหนดเป้าน้ำตาลในเลือดเป็นรายคน
5. ใช้ยา metformin ก่อนยาอื่นเสมอ
6. ถ้าไม่ได้ผลจึงเพิ่มยาอื่นอีก 1-2 ตัว
7. ถ้าไม่ได้ผลค่อยใช้อินสุลินฉีด
หลักทั้ง 7 ข้อนี้ สามข้อแรกคุณเอาไปใช้ได้เลย นี่เป็นมาตรฐานระดับโลก ของจริง ของแท้ ดีแน่ เพราะมันเป็นรากฐานของการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อการเปลี่ยนอาหารนั้น สาระหลักคือลดอาหารไขมันอิ่มตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์ลง เพิ่มอาหารพืชผักผลไม้ถั่วงานัทให้มากขึ้น คุณทำสามข้อแรก แล้วรับประกันว่าคุณจะฮ้อแน่นอน ส่วนยาที่ว่ามันเยอะ..แยะ นั้น หากคุณทำสามข้อแรกได้ดี น้ำตาลในเลือดของคุณจะต่ำลงมาเองจนหมอเขาลดยาลงตามแทบไม่ทันเลยแหละ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์