ความคิดเสรีไม่มีดอก เสรีภาพในการคิดเป็นเรื่องไร้สาระ
(ภาพวันนี้: เหลืองชัชวาล)
อาจารย์สันต์ครับ
ผม นพ. …. จบแพทย์มาแล้ว 4 ปี เป็นอายุรแพทย์ครับ อยากปรึกษาอาจารย์ในประเด็น
- ผมรู้สึกตลอดเวลาว่าผมไม่มีเสรีภาพ อยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำ อยากค้นหาสิ่งใหม่ๆก็ไม่มีโอกาส มีชีวิตอยู่เพื่อให้คนรอบตัวมีความพอใจ ชีวิตนี้ช่างไร้ค่า ทำอย่างไรผมจึงจะรู้สึกว่าผมมีเสรีภาพครับ
- ผมเปลี่ยน training มา 2 สาขาแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ ผมไม่รู้ว่า passion ของผมอยู่ที่ไหน ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ แต่ผมไม่รู้ว่าผมอยากทำอะไร รู้แต่ว่าอยากจะหนีไป ผมควรจะไปต่ออย่างไรครับ
เคารพนับถืออาจารย์มาตั้งแต่ The Symptom ครับ
…………………………………………..
ตอบครับ
1.. ประเด็นการแสวงหาเสรีภาพ นี่ผมไม่ได้พูดถึงกรณีที่คุณถูกจับกุมคุมขังล่ามโซ่ตีตรวนอยู่นะ จุดสำคัญที่ผมจะชี้ก็คือคุณไม่อาจพบเสรีภาพได้จากการตามความคิดอยากแสวงหาโน่นหานี่ของคุณไป เพราะเสรีภาพแท้จริงคือเมื่อใจของคุณปลอดความคิด ไม่ใช่การตามความคิดไป ชื่อว่าความคิดทุกความคิดล้วนไม่ใช่ของใหม่ ล้วนเป็นการรีไซเคิลความจำของคุณทั้งสิ้น แล้วมันจะเป็นเสรีภาพได้อย่างไร ความคิดเสรีที่แท้จริงไม่มีดอก อย่างดีก็เป็นการปรุงแต่งความจำ ประสบการณ์ และความรู้ที่เราเคยมี สิ่งที่คุณเรียกว่าความชอบหรือพึงพอใจนั้นเกิดจากการชั่งตวงวัดเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในอดีตของคุณเอง คุณไม่ต้องไปเสาะหาดอกมันมันไม่ใช่ของใหม่ๆจริงๆอย่างที่คุณเข้าใจ
ถ้าคุณสามารถหยวนหรือยอมรับยอมแพ้ทุกอย่างชนิดสมบูรณ์แบบ ไม่เสาะหาอะไรอีกแล้ว ไม่หนีด้วย ที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่นี้โอเค.แล้ว นั่นแหละคุณได้พบกับเสรีภาพที่แท้จริงแล้ว แต่ถ้าคุณยังไม่สามารถ มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คุณจะต้องดิ้นรนค้นหาหรือหนีกันต่อไปก่อน จนกว่าคุณจะสามารถ
ความปรารถนาของทุกชีวิตคือมีใจที่ปลอดความคิดห่วงกังวลกับอัตตาตัวเอง หมายถึงสภาวะที่รู้ทุกความคิด ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก สนใจมันเต็มที่แต่ไม่ตัดสินว่ามันถูกผิดดีไม่ดีแค่เฝ้ามองดูมันเฉยๆ ซึ่งใจแบบนี้มันเป็นธรรมชาติข้างในของทุกคน ทุกคนเข้าถึงมันได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือเทคนิคก็ได้ แต่ความคิดห่วงอัตตาเองเป็นอุปสรรคการเข้าถึงใจแบบนี้ หากไม่ใช้เครื่องมือก็ยากที่จะวางความคิดซึ่งเป็นด่านนอกลงได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมสอนแต่การใช้เครื่องมือวางความคิด แทบจะไม่ได้พูดถึงเลยว่าสภาะใจที่ว่างจากความคิดหรือ meditative state มันเป็นอย่างไร เพราะเมื่อวางความคิดลงได้ ทุกคนก็จะเห็นด้วยตนเอง
2.. ประเด็น passion คุณต้องเข้าใจก่อนว่า passion หรือสิ่งที่ใช่สำหรับชีวิตเรานี้ มันไม่ใช่สาขาวิชาอาชีพ ไม่ใช่ลักษณะของกิจการงานที่ทำ แต่มันเป็นความรู้สึก (feeling) ดีๆที่เกิดขึ้นบนร่างกายและในใจเราเมื่อเราได้ทำกิจกรรมบางชนิด ได้ทำงานบางอย่าง ได้อยู่กับคนบางคน หรือได้อยู่ในบรรยากาศบางบรรยากาศ
ดังนั้นก่อนที่คุณจะเสาะหาว่าอะไรคือ passion ของคุณ ขั้นแรก คุณต้องหัดรับรู้ความรู้สึก (feeling) บนร่างกายและในใจคุณให้ได้ก่อน คุณต้องสังเกตดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งความรู้สึกดีๆ และความรู้สึกไม่ดี (เช่นอึดอัดขัดข้อง ไม่ชอบ) แล้วสังเกตว่าความรู้สึกดีๆมันเกิดขึ้นโดยสัมพันธ์กับกิจกรรมใด ความรู้สึกไม่ดีมันเกิดขึ้นโดยสัมพันธ์กับกิจกรรมใด
ขั้นที่ 2. ให้คุณสังเกตต่อไปว่าเมื่อมีความรู้สึกเกิดขึ้น มันจะตามมาด้วยความคิด “อยาก” อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ กล่าวคือถ้าชอบก็อยากได้ ถ้าไม่ชอบก็อยากหนี (กลัว กังวล) แต่หากคุณสังเกตความรู้สึก (feeling) ได้ดีอยู่ไม่ว่อกแว่ก คุณจะค้นพบด้วยตัวเองว่าขณะที่ความสนใจอยู่ที่ความรู้สึกนั้น ความคิดที่จ้องจะตามความรู้สึกนั้นมาจะไม่เกิด ผมหมายความว่าความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบมันสามารถจบลงแบบไม่จำเป็นต้องตบท้ายด้วยความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์เสมอไป หากคุณรับรู้ความรู้สึกนั้นได้เต็มๆจะๆไม่ว่อกแว่ก
ขั้นที่ 3. เมื่อคุณสามารถรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ชอบหรือไม่ชอบโดยไม่เป็นทุกข์กับความคิดที่ปกติจะต่อยอดกันมาโดยอัตโนมัติแล้ว มันจะนำคุณมาสู่อีกอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของความเป็นไปได้ที่คุณไม่เคยรู้จักเลย กิจกรรม หรือคน สัตว์ สิ่งของ ที่คุณเคยตั้งแง่ว่า “ไม่ใช่” เอาเข้าจริงๆแล้วมันยังมีอีกหลายแง่หลายมุมที่คุณยังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ประเด็นของผมคือเมื่อคุณเลิกตั้งเงื่อนไขว่าชีวิตจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ก็เท่ากับคุณได้ยุติการทำลายความเป็นไปได้หรือโอกาสในชีวิตที่คุณไม่เคยรู้จักซึ่งคุณทำอยู่เป็นประจำลงเสียได้
มาถึงตรงนี้คุณก็จะประเมินได้ว่าสิ่งที่คุณมี passion กับสิ่งที่คุณไม่มี passion กับมัน คุณสามารถทำมันหรืออยู่กับมันโดยไม่ต้องมีความทุกข์ใจได้ทั้งคู่ ซึ่งข้อมูลตรงนี้จะมีประโยชน์มากในการชั่งน้ำหนักก่อนที่คุณจะตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไปเสาะหากิจกรรมอื่นที่คุณคิดว่าเหมาะสำหรับคุณมากกว่า แต่หากมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังให้น้ำหนักไปทางว่าต้องเดินหน้าทิ้งของเก่าไปเสาะหาของใหม่ให้ได้ ยังงั้นก็โอเค.นะ เดินหน้าเลย
ประเด็นของผมมีแค่ว่าอย่าเพิ่งทิ้งทุกอย่างไปเสาะหา passion โดยที่คุณเองยังไม่รู้เลยว่า passion มันคืออะไร น้ำหนักของมันต่อชีวิตคุณมีแค่ไหน และข้างหลังสิ่งที่คุณประทับตราว่า “ไม่ใช่” นั้นยังมีอะไรอยู่บ้าง ซึ่งความไม่รู้นี้จะทำให้คุณเสาะหาไปจนตายก็ไม่มีวันพบ
ก่อนจบจดหมายฉบับนี้ ผมแนะนำจากประสบการณ์ของคนแก่ในการเสาะคุณค่าของชีวิต ว่า (1) การฝึกนั่งสมาธิวางความคิดจะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น (2) เมตตาธรรมต่อทุกชีวิตอย่างไม่เลือกหน้าจะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น (3) การสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆจะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น และ (4) การเพลิดเพลินกับสิ่งไร้สาระเล็กๆน้อยๆ ก็จะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์