28 กุมภาพันธ์ 2566

ทำไมต้องใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย

(ภาพวันนี้ : เอื้องผึ้ง หลังบ้าน)

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

ดิฉันเพิ่งเกษียณปีนี้ คือ 60 พบว่าตัวเองเครียดมากกว่าตอนทำงาน รู้สึกไม่ดีที่ได้แต่หายใจทิ้งไปวันๆ รู้สึกว่าตัวเองพอเกษียณแล้วขาดเป้าหมายในชีวิต ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นฝันมาตลอดว่าเกษียณแล้วจะได้หยุดวิ่งตามหานั่นหานี่เสียที ดิฉันควรจะทำอย่างไรให้ความรู้สึกไร้ค่านี้หายไป

………………………………………………………………………….

ตอบครับ

คุณเขียนมาก็ดีแล้ว เราจะได้คุยกันถึงเรื่องเป้าหมายชีวิตของผู้เกษียณกันบ้าง เนื่องจากเราไม่เคยพูดกันถึงเรื่องนี้กันมาก่อนเลย

เมื่อตอนเราเป็นเด็ก ผู้ใหญ่มักถามว่า

“ไอ้หนู โตขึ้นเอ็งอยากจะเป็นอะไร”

หิ หิ พูดถึงตอนนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ สมัยผมเป็นเด็ก เล่นคลุกฝุ่นอยู่ในตลาดบ้านนอกมีทั้งเด็กไทยเด็กจีนเล่นด้วยกัน เด็กจีนตัวขาว เด็กไทยอย่างผมตัวดำ วันหนึ่งมีซินแสแก่ๆคนหนึ่งเดินเท้าผ่านตำบลของเรา แล้วเอามือชี้ผมว่า

“เจ้าเด็กคนนี้มีราศรีเทพปราบมังกร”

ผมอยู่มาจนแก่ยังไม่ได้ปราบมังกรสักตัว ได้แต่ปราบไส้เดือนไปสิบกว่าตัว กล่าวคือผมมีผลงานการดึงพยาธิไส้เดือนออกจากรูจมูกคนไข้เด็กสมัยผมเป็นหมอหนุ่มๆไปใช้ทุนอยู่ที่อำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ประมาณปีพ.ศ.2523 นั่นเป็นครั้งเดียวที่คำทำนายของซินแสใกล้ความจริงมากที่สุด

ต่อมาเมื่อผมกลับจากเมืองนอกมาเป็นหมอผ่าตัดหัวใจอยู่ที่รพ.ราชวิถี ตึกที่พวกหมอผ่าตัดหัวใจทำงานอยู่เรียกสั้นๆว่าตึกสะอาด (ตามชื่อของผู้บริจาคเงินสร้างตึก) ซึ่งเป็นที่รู้กันทั้งรพ.ว่าเป็นตึกที่มีแต่พวกหมออีโก้สูงพูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง มีอยู่วันหนึ่งมีคนไข้คนจีนอายุมากกระเสือกกระสนมาพบผมที่ตึกสะอาด เหลือบดูประวัติก็เห็นว่าผ่านโรงพยาบาลดังๆมาจนครบหมดแล้ว ผมจึงถามว่ารักษาอยู่โรงพยาบาลเหล่านั้นดีกว่าที่นี่อีกแล้วอาแปะจะมาที่นี่อีกทำไม อาแปะตอบผมว่า

“เพราะมีซินแสทำนายว่าให้มาที่ตึกนี้ จะมีเทพช่วยชุบชีวิตให้”

ผมตอบอาแปะว่า

“ตึกนี้เทพไม่มีดอก แต่คนที่คิดว่าตัวเองเป็นเทพนะมีเพียบ..บ”

ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

กลับมาเรื่องของเราต่อดีกว่า พอโตขึ้นเข้าสู่วัยคนแก่ เคยมีใครถามเราบ้างไหมว่า

” ลุ้ง..ง แก่แล้วลุงอยากจะเป็นใคร”

ฮ่า ฟังคำถามให้ดีนะ อยากเป็นใคร ไม่ใช่อยากเป็นอะไร

อยากเป็นอะไรคือวิชาชีพ ทำอะไรกิน นั่นสำคัญสำหรับเด็กๆ แต่ไม่สำคัญแล้วสำหรับคนแก่ แก่แล้วจะเป็นคนยังไงเนี่ยสิสำคัญ

อีกประเด็นหนึ่ง ตั้งแต่เรียนหนังสือจนจบมาทำงานจนเกษียณ เราใช้ชีวิตไปตามคนอื่นลิขิต ฝรั่งเรียกว่า default life ต้องเรียนให้เก่ง ต้องเข้ามหาลัย ต้องหางานทำ ต้องได้ตำแหน่งสูงกว่าคนอื่น แต่ว่าตอนนี้แก่แล้วไม่มีใครมาสนใจลิขิตชีวิตของเราอีกต่อไปแล้วนะ เรามีอิสระที่จะเป็นอะไรของเราเองจริงๆแล้ว

ดังนั้นต่อคำถามที่ว่าแก่แล้วอยากเป็นใครนี้ คุณจงตั้งใจตอบคำถามนี้อย่างปราณีตบรรจงเลยนะ เพราะนั่นจะเป็นเป้าหมายชีวิตของคุณ มันจะมีผลสร้างความบรรเจิดให้ชีวิตคุณจากนี้ไป

การมีเป้าหมายชีวิตทำให้สุขภาพดีและอายุยืน

เป้าหมายชีวิตที่หนักแน่น คือพลังนำพาชีวิตให้ยืนยาวและมีคุณภาพ งานวิจัยที่สนับสนุนโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) ชิ้นหนึ่งซึ่งมุ่งหาความสัมพันธ์ระหว่างการมีเป้าหมายแน่นอนในชีวิตกับการมีอายุยืนพบว่าคนที่มีเป้าหมายแน่นอนว่ามีชีวิตอยู่ไปทำไมมีอายุยืนกว่าคนใช้ชีวิตอย่างไม่มีเป้าหมาย งานวิจัยอีกหลายชิ้นล้วนให้ผลสรุปไปทางเดียวกันว่าการมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่ามีชีวิตอยู่ไปทำไมสัมพันธ์กับการลดจุดจบที่เลวร้ายของโรคเรื้อรังลงและการมีความยืนยาวของชีวิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนการมีเป้าหมายชีวิตต่อการมีสุขภาพดีมีอายุยืนนั้นแน่ชัดแล้ว

เราอยู่ในสังคมปฏิเสธความแก่

สังคมทุกวันนี้กลัวความแก่ด้วยเหตุผลสามอย่าง (1) กลัวว่าคนแก่ซึ่งไม่ทำการผลิตอะไรแล้วได้แต่อ้าปากรอกินจะขยายจำนวนล้นประเทศ (2) กลัวสังคมคนแก่จะฉุดเศรษฐกิจของชาติลงเหว (3) กลัวสังคมคนแก่จะสร้างความขัดแย้งบทใหม่ขึ้นในสังคม คือความขัดแย้งระหว่างคนแก่กับคนที่ยังไม่แก่

เราจึงไม่กล้าตั้งเป้าหมายของการเป็นคนแก่ เพราะเราอยู่ในสังคมที่ปฏิเสธความแก่ แต่มันช่วยไม่ได้แล้วเพราะเราแก่แล้ว เราต้องเลิกวัฒนธรรมกลัวแก่นี้เสียที เลิกกลัวแก่ เลิกกลัวตาย หันมาสร้างสำนึกคุณค่าของการมีชีวิตแบบองค์รวมตั้งแต่เกิดถึงตาย หรือใช้มุมมองของ “การแก่อย่างสร้างสรรค์” ซึ่งผมนิยามว่าคือการให้คนแก่ได้ทำงานบ้านด้วยตัวเอง ได้ทำงานอาสาสมัคร ได้ทำงานวิชาชีพ ได้ทำธุรกิจ ได้ทำจ๊อบใหม่วัยเกษียณ จะได้เงินไม่ได้เงินนั่นไม่สำคัญ การแก่อย่างสร้างสรรค์นอกจากจะช่วยให้ตัวคนแก่เองมีความสุขมีสุขภาพดีแล้วยังช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมได้ด้วย

เป้าหมายชีวิตคืออะไร

คำว่าเป้าหมายนี้จริงๆแล้วมันคืออะไร ผมนิยามแบบบ้านๆด้วยคำสองคำ คือ “แสวงหา” และ “ให้” คือหาอะไร แล้วเอาไปให้ใคร ตื่นเช้ามาหากมีในใจว่าวันนี้จะเลือกแสวงหาอะไรเพื่อเอาไปให้ใคร ชีวิตในวันนี้ก็มีเป้าหมายแล้ว เป้าหมายคือการตอบคำถามว่า “ทำไม” ของชีวิตในวันนี้ได้ เช่นคำถามคลาสสิกที่ผมอยากให้คนแก่ทุกคนถามตัวเองทุกวันว่า..วันนี้ตื่นมาทำไม

มันแตกต่างกับชีวิตวัยเกษียณแบบล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง ตื่นเช้ามาจนจวนจะบ่ายสามโมงแล้วยังทรงชุดนอนอยู่เลย แถมลืมไปแล้วด้วยว่าวันนี้แปรงฟันไปแล้วหรือยัง หิ หิ นั่นคือตัวอย่างตัวเป็นๆของชีวิตวัยชราที่ไร้เป้าหมาย

และเมื่อผ่านโลกมาถึงปูนนี้แล้ว มันเป็นธรรมชาติที่สิ่งที่เราเลือกจะหา มันจะเป็นเรื่องข้างในมากกว่าเรื่องข้างนอกตัว

ทำไมต้องมีเป้าหมายชีวิต

เราต้องมีเป้าหมายชีวิต เพราะ

(1) มันจะให้พลังงานขับเคลื่อนชีวิตเรา

(2) มันจะทำให้เราเป็นแมวเก้าชีวิตที่ฟันฝ่าอุปสรรคของความชราแบบล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก ได้โดยไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอะไร

(3) มันจะทำให้เรา “เติบโตสู่วัยชรา” ซึ่งจะทำให้ชีวิตจากครรภ์มารดาถึงสุสานดำเนินไปอย่างสมบูรณ์เต็มศักยภาพที่เรามี ผมเรียกว่าเป็น purposeful aging ไม่ใช่แค่ชราเพราะแดดเพราะลม (default aging)

จะค้นหาเป้าหมายชีวิตยามแก่ได้อย่างไร

เป้าหมายชีวิตไม่ใช่สิ่งที่จะไปหาที่ข้างนอก แต่เป็นการเปิดเผยตัวตนข้างในของเราออกมา มันคืออะไรที่เรารักชอบอยากทำ (passion) และคืออะไรที่ใจเราให้ค่า (value) มีคำสำคัญอยู่สองคำนะ passion กับ value คุณใช้แค่สองคำนี้ก็พอในการค้นหาเป้าหมายชีวิต

ตัวช่วยให้การใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายสำเร็จ

ชีวิตวัยเกษียณที่ดี ผมนิยามว่าคือ (1) การได้อยู่ในที่ที่คุณอยากอยู่ (2) กับผู้คนที่คุณรัก และ (3) ได้ทำสิ่งที่คุณอยากทำ

ดังนั้นในการจะให้เป้าหมายชีวิตที่เด่นชัดดีแล้วผลักดันให้ชีวิตเป็นสุขได้จริง มันจำเป็นต้อง (1) ปลุกพลังชีวิตหรือพลังใจให้คุโชนไว้ (2) บ่มเพาะรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบตัวให้ดี (3) นอนให้หลับ (4) วางความคิดลบให้ได้ (5) ใช้ชีวิตแบบแอคทีฟขยันขันแข็ง (6) ใส่ใจส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และ (7) ทำทุกอย่างเพื่อปลุกความสุขในตัวให้ตื่นขึ้น

ผมเขียนเรื่อยเจื้อยคุณเลือกหยิบเอาไปใช้เองนะครับ ขอให้คุณมีความสุขกับวัยเกษียณตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

  1. Vern L. Bengtson, PhD, Frank J. Whittington, PhD, From Ageism to the Longevity Revolution: Robert Butler, Pioneer, The Gerontologist, Volume 54, Issue 6, December 2014, Pages 1064–1069, https://doi.org/10.1093/geront/gnu100
  2. Cohen  R, Bavishi  C, Rozanski  A.  Purpose in life and its relationship to all-cause mortality and cardiovascular events: a meta-analysis.  Psychosom Med. 2016;78(2):122-133. doi:10.1097/PSY.0000000000000274
[อ่านต่อ...]

27 กุมภาพันธ์ 2566

มะเร็งโพรงจมูกเป็นมะเร็งที่หายได้ด้วยรังสีรักษาควบเคมีบำบัด

(ภาพวันนี้: มื้อเช้า ขนมปังซาวโดโฮลวีต100% เนยถั่ว นัทอบ แยมส้ม ฝีมือหมอสมวงศ์ กับแยมหม่อน)

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

หนูจะรบกวนขอคำปรึกษาและความเห็นคุณหมอเกี่ยวกับสุขภาพของหนูค่ะ ขอไล่เรียงลำดับเหตุการก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งโพรงจมูกดังนี้ค่ะ

16/10/65 – คอด้านขวาใต้หูบวม ปวดมากจนหันคอไม่ได้

17/10/65 – ไป รพ… (รพ.ประจำ) หมอวินิจฉัยว่าต่อมน้ำลายพาโรติดด้านขวาอักเสบ ได้รับยา AmoxyClav 1 g 14 เม็ด กินจนครบ บวมหายไปแต่ยังคงมีก้อนแข็งๆ ไม่ยุบ

25/1/66 – ปวดคอด้านขวาซ้ำ แต่ไม่มากเท่าเดิม

26/1/66 – ไป รพ. … (ใกล้ที่ทำงาน) หมอวินิจฉัยว่า Acute Lymphadenitis of face, head and neck และแนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทาง ได้รับยา AmoxyClav 1 g 14 เม็ด  แต่ไม่ได้กิน วันรุ่งขึ้น บวมหายไปแต่ยังคงมีก้อนแข็งๆ ยังไม่ยุบ

5/2/66 – พบ อ. … ที่หมอแนะนำ อ.หมอ แนะนำให้ไปตรวจชิ้นเนื้อและ MRI ที่รพ … (สิทธิ์ประกันสังคม)

15/2/66 – พบหมอที่ …. หมอคิดถึงวัณโรคต่อมน้ำเหลืองเพราะมีไข้ต่ำๆตอนเย็นร่วมด้วย และเจาะชิ้นเนื้อที่คอไปตรวจ  พร้อม x-ray ปอด

22/2/66 – ฟังผลชิ้นเนื้อ ว่าเป็นมะเร็ง (ได้แนบผลมาด้วยค่ะ) ส่วนปอด  clear และได้ตรวจเพิ่มเติมเจอก้อนในโพรงจมูงได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ และสั่งทำ MRI

25/2/66 – ได้ผล MRI (ได้แนบผลมาด้วยค่ะ)

26/2/66 – เอาผล MRI ไปให้ อ. … ดู (เนื่องจากใจร้อนไม่อยากรอนัดวันที่ 1/3/66 ที่ …) อ.ยืนยันผลว่าเป็นมะเร็งโพรงจมูกแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองข้างคอ น่าจะระยะที่ 4  อ.แนะนำให้ทำ PET/CT Scan เพิ่มเติมเพื่อดูว่ากระจายไปที่ไหนบ้าง

วันที่ 1/3/66 มีนัดฟังผลชิ้นเนื้อโพรงจมูก ก่อนที่จะได้รับการวินิจฉัยไม่มีอาการอะไรมาก่อนเลยค่ะ เริ่มก็ปวดคอเลย

จะขอรบกวนขอความเห็นคุณหมอสำหรับแนวทางการรักษาและอื่นๆค่ะ ทั้งสองรพ. เห็นตรงกันว่ามะเร็งโพรงจมูกกระจายไปต่อมน้ำเหลือง ต้องฉายแสงพร้อมคีโม จะรบกวนขอความเห็นคุณหมอค่ะว่า

(1) หากเป็นระยะที่ 4  การรับการฉายแสงพร้อมการรับคีโม จะคุ้มที่จะทำหรือไม่เมื่อเปรียบกับอัตราการรอดชีวิตหลังการรักษา 

(2) หากไม่รับการรักษาการพัฒนาของโรคจะมีโอกาสเป็นไปอย่างไรได้บ้างคะ และจะทำให้ suffer มากน้อยอย่างไรหากเปรียบกับการ suffer ในกระบวนการรักษา

(3) อัตราการรอดชีวิตภายใน 5 ปี ระหว่างการรักษาและไม่รักษาต่างกันไหมคะ (จากข้อมูลทางการแพทย์ที่มี)

(4) ส่วนสถานที่รักษา (ถ้าตัดสินใจรับการฉายแสงและคีโม) ยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะเลือกจุฬา (ค่าใช้จ่ายประมาณ 3-5 แสน) หรือ ราชวิถี (ฟรีประกันสังคม) ในมุมมองคุณหมอมีความแตกต่างกันไหมคะเรื่องคุณภาพของยาและคุณภาพของเครื่องฉายรังสี

(5) คุณหมอมีคำแนะนำอื่นใดคะยินดีรับฟังมากเลยค่ะ

(6) ระหว่างนี้คุณหมอแนะนำการปรับอาหารและการใช้ชีวิตอย่างไรบ้างคะที่เป็น Best practice ในการรับมือกับเพื่อนใหม่ จะทำโดยไม่งอแง ส่วนทางด้านจิตใจก็ยังคงฝึกตามที่คุณหมอให้คำแนะนำมาอย่างต่อเนื่อง มันช่วยได้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆจริงๆคะ —สามารถยอมรับแบบไร้เงื่อนไข— ทำให้ตั้งสติไวและค่อนข้างดีในการรับมือ (คุณหมอที่แจ้งข่าวชมไม่ขาดปาก …ไม่ได้ชมตัวเองขอโม้หน่อย..หุหุ)
เมื่อรู้ผลชิ้นเนื่อ 22/2/66 ก็ยังรู้สึกว่ารับมือได้ แต่เมื่อรู้ระยะของโรคเมื่อวันที่ 26/2/66 ก็อึ้งไประยะหนึ่งเพราะรู้สึกว่ายังไม่พร้อมตาย ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการและภาระกิจที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ยังไม่สำเร็จ…แต่ก็ตั้งหลักได้ เสียงแรกที่เข้ามาในหัวคือเสียงคุณหมอบอกว่า —จงยอมรับแบบไร้เงื่อนไข—focus ที่การกระทำ อย่าไป focus ที่ผล—- ก็เริ่มรวบรวมสติ นั่งไล่เรียงว่ามีอะไรที่ต้องทำก่อนหลัง 1-2-3….

แต่ปัญหาใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจัดการอย่างไรและยังคิดไม่ตก คือไม่รู้จะบอกน้องว่าอย่างไรดี และควรบอกตอนไหน เพราะเขาคงเซ  แต่ก็ต้องบอกให้เขารับรู้….อยากเข้าไปกราบคุณหมอจังเลย คุณหมอมีวิธีปลอบที่วิเศษ รู้สึกได้ถึงความเมตตา ใส่ใจ เห็นใจ ชัดเจน และตีตรงประเด็น … ยังจำคำพูดคุณหมอที่ปลอบโยนและเตือนสติหนูตอนที่น้องไม่สบายหนักได้ไม่เคยลืมมันทราบซึ้งอิ่มใจ  

รู้สึกเกรงใจคุณหมอมากที่รบกวน แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาที่คิดไม่ตกก็นึกถึงใครไม่ออก คุณหมอคือที่พึ่งแรกและที่พึ่งเดียวที่นึกถึง

ด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูง

กราบคุณหมอทั้งกายและใจค่ะ

P.S. พอรู้ผลชิ้นเนื่อเมื่อ 22/2/66 ติดต่อสอบถามเรื่อง course ฟื้นฟูมะเร็ง แต่ยังไม่มีแผนจัด (เสียใจจัง) และวางแผนจะไปฟื้นฟูที่ wellness ซัก 2-3 เดือน ไม่ว่าจะรับการรักษาหรือไม่ (เพราะคุณหมอสมวงศ์ควงแขนคุณหมอสันต์มาบอกในฝันเมื่อคืน 21/2/22 ว่าร่างการมีการอักเสบมากไปแล้วนะควรจะฟื้นฟูร่างกายบ้างนะ…. หุหุ…สงสัยกังวลมากไปเลยเก็บมาฝัน (ต้องออกตัวก่อนเดี๋ยวคุณหมอเพิ่มโรคบ้าให้อีกโรค 555)

………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าเป็นมะเร็งโพรงจมูก (nasopharyngeal cancer) ระยะที่ 4  การรับการฉายแสงพร้อมการรับคีโม จะคุ้มไหม ตอบเป็นสองประเด็นนะ

ประเด็นที่หนึ่ง อย่าไปเอานิยายกับระยะ (staging) ของมะเร็งโพรงจมูกมากนักเพราะมันกำหนดระยะยากและระยะที่วินิจฉัยได้ก็ไม่ค่อยสัมพันธ์กับอัตรารอดชีวิต เอาเป็นว่ามันเป็นมะเร็งที่ขนาดยังเล็ก (2 ซม.) ไปต่อมน้ำเหลืองเฉพาะในย่านคอ ยังไม่ไปที่อวัยวะอื่นไกลๆ

ประเด็นที่สอง การรักษามะเร็งโพรงจมูกด้วยการควบฉายรังสีและเคมีบำบัดมีความคุ้มค่าแน่นอนในทุกระยะของโรค เพราะมะเร็งโพรงจมูกเป็นมะเร็งก่ออาการได้เร็วหากไม่รักษา ขณะเดียวกันก็เป็นมะเร็งที่หายได้หากได้รับการรักษาทันและมากเพียงพอ

2.. ถามว่าโรคมะเร็งโพรงจมูกหากไม่รักษาเลยจะมีการดำเนินของโรค (natural course) อย่างไรบ้าง ตอบว่าขอแยกเป็นสองประเด็นนะ ว่าหากไม่รักษาจะเป็นดังนี้

2.1 ในแง่การเพิ่มขนาดของตัวมะเร็ง งานวิจัยติดตามพบว่ามะเร็งโพรงจมูกที่ไม่รักษาเลยจะเพิ่มขนาดได้เท่าตัวในระยะเวลา 279 วัน เช่นวันนี้มัน 2 ซม. นับไปอีกเก้าเดือนมันจะเป็น 4 ซม. นับต่อไปอีกเก้าเดือนมันจะเป็น 8 ซม.

2.2 ในแง่ของการก่ออาการ มะเร็งโพรงจมูกที่ไม่รักษาเลยเป็นมะเร็งชนิดก่ออาการได้มากและได้ง่าย เพราะมันอยู่ในที่จำกัดซึ่งเป็นทางวิ่งของลมหายใจ มันโตขึ้นหน่อยก็อุดทางเดินลมหายใจ หรือไม่ก็ปล่อยเมือกหรือเลือดออกมาทางจมูกและลำคอได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นอาการที่มากกว่าและแย่กว่าอาการที่เป็นผลข้างเคียงของเคมีบำบัดและฉายแสง

3.. ถามว่าอัตรารอดชีวิตใน 5 ปีของมะเร็งโพรงจมูกที่ไม่ยอมรับการรักษากับที่รักษาจะต่างกันไหม อันนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะปัจจุบันนี้ไม่มีข้อมูลอัตรารอดชีวิตของผู้ป่วยที่ปฏิเสธการรักษาตีพิมพ์ไว้เลย เพราะเกือบทั้งหมดของผู้ป่วยมะเร็งโพรงจมูกที่ปฏิเสธการรักษาในระยะแรกต่อมาจะมีอาการมากจนต้องกลับเข้าสู่การรักษาเพื่อบรรเทาอาการซึ่งก็คือฉายแสงควบเคมีบำบัดนั่นแหละ จึงไม่มีข้อมูลอัตรารอดชีวิตในระยะยาวของผู้ไม่เคยโดนเคมีบำบัดหรือฉายแสงเลยมาตีพิมพ์เป็นผลวิจัยไว้

ในอีกด้านหนึ่ง อัตรารอดชีวิตในห้าปีในกลุ่มที่รักษาด้วยรังสีรักษาควบเคมีบำบัดนั้นดีมาก กล่าวคือมีอัตรารอดชีวิตในห้าปีสูงถึงระดับ 82.5% ทำให้การเลือกรักษาด้วยรังสีรักษาควบเคมีบำบัดเป็นทางเลือกที่โดดเด่นไร้คู่แข่ง ผมจึงแนะนำอย่างแข็งขันว่าต้องเลือกทางนี้

4.. การเลือกรพ.ที่จะรักษาด้วยรังสีรักษาและเคมีบำบัด ระหว่างจุฬา (เสียเงิน) กับราชวิถี (ฟรีประกันสังคม) ที่ไหนดีกว่ากัน ผมตอบโดยไม่คำนึงถึงว่าจะเสียเงินหรือไม่เสียเงินนะ ตอบว่าดีเท่ากันครับ เครื่องมือเหมือนกัน ยาเหมือนกัน โรงพยาบาลราชวิถีนี้จริงอยู่แต่เดิมเขาดังแต่ในเรื่องทำคลอดเพราะสมัยก่อนเขาชื่อโรงพยาบาลหญิง แต่ต่อมากลายเป็นโรงพยาบาลทั่วไปที่มีความโดดเด่นมากในสองเรื่องคือเรื่องการผ่าตัดหัวใจ และเรื่องการรักษามะเร็งในย่านหัวและคอ (head and neck tumor) ดังนั้นทั้งสองสถาบันนี้คุณเลือกที่ไหนก็ได้ ดีทั้งคู่ เอาที่คุณชอบ

5.. ถามว่าควรปรับอาหารและการใช้ชีวิตอย่างไร ตอบว่ามันเป็นสูตรสำหรับมะเร็งทุกชนิดไม่เฉพาะมะเร็งโพรงจมูก ว่าในส่วนของอาหารนั้นควรเลิกกินเนื้อสัตว์ที่ผ่านการบ่ม (ไส้กรอก เบคอน แฮม) และเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลดการกินอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิดลงเหลือน้อยที่สุด เพิ่มอาหารพืชให้มากและหลากหลายทั้งผัก ผลไม้ ถั่ว นัท ธัญพืชไม่ขัดสี ในส่วนของการออกกำลังกายก็ควรออกกำลังกายทุกวันเฉกเช่นคนที่มีสุขภาพดีเขาออกกัน ในส่วนของการจัดการความเครียดก็ต้องปรับชีวิตให้ลดความเครียดลงเหลือน้อยที่สุด นี่เป็นสูตรสำเร็จสำหรับมะเร็งทุกชนิดซึ่งคุณทำตามได้เลย

6.. ถามว่าหมอสันต์มีอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษอีกไหม ตอบว่ามีดังนี้

6.1 ที่บอกว่ายังไม่อยากตาย ยังไม่พร้อมตาย กิจบางอย่างยังไม่ได้ทำนั้น ก็ดีแล้ว ให้บอกตัวเองอย่างหนักแน่นทุกวันว่าทำไมจะต้องมีชีวิตอยู่ ทำไมจะต้องไม่ตาย เพราะงานวิจัยติดตามดูการหายจากมะเร็งทุกชนิดของคนที่ปฏิเสธการรักษามาตรฐาน พบว่าการบอกตัวเองอย่างหนักแน่นว่าทำไมจึงตายไม่ได้เป็นปัจจัยหนึ่งที่สัมพันธ์กับการรอดมาได้มากกว่าคนที่ไม่มีเป้าหมายว่าจะอยู่ต่อไปทำไม

6.2 ที่หนักใจว่าไม่รู้จะบอกน้องว่าอย่างไรดีและควรบอกตอนไหนดีนั้น อย่าไปทำให้เรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่องยาก ก็บอกตอนนี้แหละ บอกแบบซื่อๆตรงๆว่าพี่ป่วย อย่าไปคิดข้ามช็อตเอาเองว่าน้องเขาจะตีอกชกหัวตำหนิว่าพี่มาป่วยทำไม โถ พี่น้องกันคลานตามกันมา “มีสุขร่วมเสพย์ มีทุกข์ร่วมตาย” นี่เป็นโอกาสดีแล้วที่พี่น้องจะได้เข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น

6.3 ขณะที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดและฉายแสงอยู่ ให้ใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรในการรักษาด้วย กินพืชให้หลากหลาย พืชอะไรที่เขาว่าดีกินหมด รวมทั้งเห็ดทั้งหลายด้วย เพราะงานวิจัยพบว่าการใช้พืชสมุนไพรเป็นเหตุร่วมอย่างหนึ่งที่สัมพันธ์กับการหายจากมะเร็ง

6.4 ผมเคยเขียนไปไม่นานมานี้ว่า “ความคิด” เป็นผู้ปิด (down regulation) หรือเปิด (up regulation) ยีนก่อโรคและยีนรักษาโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็ง คุณต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับการวางความคิดลบ แยกสถานะการณ์ในชีวิตที่เราคุมไม่ได้ออกจากการใช้ชีวิตซึ่งเราคุมได้ โฟกัสที่การใช้ชีวิตไปทีละโมเมนต์ ปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวที่ค้างคาอยู่ในใจทิ้งไป สร้างความคิดบวกและอารมณ์บวกเข้าทดแทนความคิดลบอารมณ์ลบ ซึ่งก็ต้องฝึกเสริมสร้าง “พลังชีวิต” ให้ตัวเอง เปิดรับความเกื้อกูลทางใจจากคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้องซึ่งเราเคยคิดแต่ว่าเราเป็นพี่ต้องเลี้ยงดูเขา ให้เปิดรับพลังบวกจากเขาหรือยอมให้เขาเลี้ยงดูเราบ้าง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Ho AC, Lee VH, To VS, Kwong DL, Wei WI. Natural course and tumor doubling time of nasopharyngeal carcinoma. A study of 15 patients. Oral Oncol. 2011 Aug;47(8):742-6. doi: 10.1016/j.oraloncology.2011.06.001. Epub 2011 Jun 25. PMID: 21708482.
  2. Farias TP, Dias FL, Lima RA, et al. Prognostic Factors and Outcome for Nasopharyngeal Carcinoma. Arch Otolaryngol Head Neck Surg. 2003;129(7):794–799. doi:10.1001/archotol.129.7.794
[อ่านต่อ...]

26 กุมภาพันธ์ 2566

วิธีชั่งน้ำหนักคำแนะนำของแพทย์ทางเลือก ในเรื่องการรักษารากฟัน

(ภาพวันนี้: เวอร์บิน่า หลังจากยืนหยัดบานมาแล้วสามเดือน)

สวัสดีค่ะคุณหมอ

อยากทราบความคิดเห็นของคุณหมอเรื่อง Root Canal Treatment ค่ะ หมอฟันของหนูแนะนำให้ทำ แต่หนูคุยกับเพื่อนที่รักษากับแพทย์ทางเลือกหลายคน ได้ข้อมูลมาว่า การรักษารากฟันเป็นวิธีที่ขัดกับหลักธรรมชาติ เพราะเป็นการเก็บฟันที่ตายแล้วให้อยู่ในร่างกาย อาจจะมีเชื้อแบคทีเรียติดค้างอยู่ และ อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้ หมอฟันของหนูบอกว่าความเชื่อแบบนี้ไม่จริง ไม่มีหลักฐานยืนยัน และบอกว่า รักษารากฟันดีกว่าถอนฟันแล้วต้องทำ implant ซึ่งก็เป็นการใส่วัตถุภายนอกเข้าไปในร่างกายเหมือนกัน

หนูสับสนมาก ไม่รู้จะเชื่อแบบไหนดี อยากทราบว่าคุณหมอมีข้อแนะนำไหมคะ

ขอบคุณมากค่ะ

…………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ป้าด..ด โทะ มีปัญหาเรื่องฟันก็ต้องปรึกษาหมอฟันสิครับ จะมาปรึกษาหมอสันต์ซึ่งเป็นหมอแพทย์ แล้วหมอสันต์จะไปรู้เรื่องได้อย่างไร เพราะหมอสันต์ไม่ใช่หมอฟัน

อีกอย่างหนึ่ง ผมนี้เกรงอกเกรงใจหมอฟันเป็นพิเศษนะ เพราะผมเห็นตัวอย่างเพื่อนซึ่งแต่งงานกับหมอฟันคนสวยประจำรุ่น เขาบอกผมว่าการอยู่กับหมอฟัน วิธีที่จะมีชีวิตที่สุขสงบมีวิธีเดียว คือ

“อ้าปาก.. แล้วฟังอย่างเดียว”

(ฮิ ฮิ พูดเล่นนะครับ)

2.. ถามว่าแพทย์ทางเลือกแนะนำตรงกันข้ามกับทันตแพทย์ที่รักษาคุณอยู่ คุณจะเชื่อใครดี ตอบว่าคุณก็จับประเด็นคำแนะนำแล้วหาหลักฐานสนับสนุนดูเองสิครับว่ามีหลักฐานสนับสนุนหนักไปข้างไหนโดยไม่ต้องไปสนใจว่าใครพูด เนื่องจากวิถีชีวิตคนในปัจจุบันไม่อาจหลีกเลี่ยงทั้งแพทย์แผนปัจจุบันบ้างแพทย์ทางเลือกบ้างชาวบ้านธรรมดาบ้างที่นำเสนอขายสินค้าบริการและแชร์ไอเดียวิธีรักษาต่างๆทุกรูปแบบ ผู้บริโภคทุกคนที่ดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยตัวเองจึงต้องฝึกประเมินชั้นของหลักฐานวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่เผยแพร่บนอินเตอร์เน็ทด้วยตัวเอง ซึ่งผมเขียนเรื่องการประเมินหลักฐานวิทยาศาสตร์ไปหลายครั้ง ผมพูดสรุปอีกครั้งตรงนี้ก็ได้ ว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์แบ่งชั้นตามความเชื่อถือได้ ดังนี้

2.1 ผลวิจัยในคนแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (randomized controlled trial หรือ RCT) เช่น ให้จับฉลาดเบอร์ดำเบอร์แดง คนจับได้เบอร์ดำ ให้กินยาจริง คนจับได้เบอร์แดง ให้กินยาหลอก โดยทั้งคนให้ยาและคนกินยาต่างก็ไม่รู้ว่าอันไหนยาจริงอันไหนยาหลอก มีแต่นายทะเบียนคนเดียวที่รู้ งานวิจัยแบบนี้เป็นงานวิจัยที่เชื่อถือได้มากที่สุด บางครั้งผู้วิจัยได้เอาข้อมูลจากงานวิจัยแบบนี้หลายๆงานวิจัยมารวมกันแล้ววิเคราะห์ผลใหม่ เรียกว่าทำเมตาอานาไลซีส (metaanalysis) ซึ่งผลที่ได้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่ดีเช่นกัน

2.2 ผลวิจัยในคน โดยตามดูคนสองกลุ่มแบบตามไปดูข้างหน้า กลุ่มหนึ่งกินยาหรือผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ อีกกลุ่มกินยาหลอกหรือไม่ได้กินอะไรเลย โดยที่วิธีแบ่งกลุ่มนั้นเป็นการแบ่งกันเองตามธรรมชาติ ไม่มีการสุ่มจับฉลากแบ่งกลุ่ม (prospective non randomized trial) เช่นการวิจัยเปรียบเทียบคนดื่มกาแฟกับคนไม่ดื่มกาแฟ เป็นต้น อันนี้เป็นหลักฐานขั้นที่ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังเชื่อถือไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นรูปแบบการวิจัยที่อาจเจอปัจจัยกวนแล้วสรุปผลออกมาผิดความจริงได้

2.3 งานวิจัยย้อนหลังดูผลการรักษาในกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง โดยไม่ได้เปรียบเทียบกับใคร (case series) หรืออาจเปรียบเทียบกับอีกกลุ่มคนหนึ่งที่คล้ายๆกัน (case control study) แบบนี้ทางการแพทย์ก็ถือเป็นหลักฐานที่ต่ำลงมาอีก ยิ่งต้องฟังหูไว้หูเช่นกัน

2.4 งานวิจัยในสัตว์ หรือในห้องแล็บ หรือห้องทดลอง (animal or lab research) ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็นหลักฐานระดับต่ำมาก ยังเอามาใช้ในคนไม่ได้

2.5 เรื่องเล่า (anecdotal) หรือคำแนะนำ รวมถึงคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ทางวิทยาศาสตร์ไม่นับเป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์

3.. ถามว่าการเก็บชิ้นส่วนหรือเซลล์ที่ตายแล้วให้อยู่ในร่างกายจะเป็นที่ซุ่มซ่อนของเชื้อแบคทีเรียแล้วทำให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้จริงไหม ตอบว่าประเด็นของคุณคือการเลือกรักษาด้วยวิธีรักษาคลองรากฟัน (root canal treatment) กับวิธีใส่รากเทียม (implant)ว่าเลือกวิธีไหนดีกว่ากัน ก่อนอื่นผมอยากให้คุณถอยออกมามาองภาพใหญ่ก่อน วิธีดูแลสุขภาพและรักษาโรคทุกวิธีล้วนมีความเสี่ยงและประโยชน์ของมันเองทั้งนั้น วิธีรักษามาตรฐานทุกวิธีถูกเลือกมาใช้ก็เพราะมีผลวิจัยเปรียบเทียบความเสี่ยงและประโยชน์แล้วพบว่ามันให้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง การเจาะเอาแต่ข้อมูลความเสี่ยงของวิธีรักษาแบบหนึ่งซึ่งอาจมีเปอร์เซ็นต์จิ๊บจ๊อยขึ้นมาไฮไลท์เพื่อให้คนกลัวการรักษาแบบนั้นโดยไม่ชั่งน้ำหนักกับประโยชน์ที่จะได้รับ และไม่เปรียบเทียบกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการรักษาทดแทนแบบอื่นที่ใช้แก้ปัญหาเดียวกัน เป็นมุมมองวิทยาศาสตร์แบบกบในกะลา (reductionism) การมองแบบนี้ก่อปัญหาและก่อความสับสนในการดูแลสุขภาพได้ไม่สิ้นสุด คุณอย่าไปมองปัญหาแบบนี้ ให้คุณหัดมองทุกปัญหาแบบกว้างขวางครอบคลุมแบบองค์รวม คือชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบความเสี่ยงและประโยชน์ของทางเลือกวิธีรักษาทุกวิธีในภาพรวมแล้วเลือกวิธีที่ได้ประโยชน์สูงสุดและมีความเสี่ยงน้อยที่สุดมาใช้กับตัวเอง

ข้อมูลเปรียบเทียบก็ได้มาจากทั้งการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งในที่นี้ก็คือทันตแพทย์ และอาจเสริมด้วยการเปิดอ่านวารสารเอาเองในอินเตอร์เน็ท ซึ่งในที่นี้ก็คือวารสารทันตแพทย์ บังเอิญชีวิตปกติของหมอสันต์อ่านแต่วารสารการแพทย์ทุกสาขาแต่ไม่เคยอ่านวารสารทันตแพทย์เพราะผมเป็นแพทย์ไม่ใช่ทันตแพทย์ ผมจึงไม่มีข้อมูลที่จะมาตอบคำถามคุณได้ ถ้าคุณอยาก double check ข้อมูลที่หมอฟันของคุณพูด คุณก็คงต้องไปหาความเห็นของหมอฟันคนที่สองคนที่สาม หรือไปเปิดหาอ่านงานวิจัยในวารสารทันตแพทย์เอาเองแล้วแหละครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

25 กุมภาพันธ์ 2566

สามีต่างชาติไม่ยอมกินข้าว

(ภาพวันนี้: พวงแสดที่ระเบียงหลังบ้าน)

สวัสดีค่ะอ.หมอสันต์

หนูมีสามีต่างชาติ มีปัญหาเรื่องวัฒนธรรมการกิน คือเขาไม่ชอบทานข้าว และพยายามลดการทานขนมปังด้วย เราเป็นแม่บ้านเลยไม่รู้จะทำอาหารสุขภาพอะไรดีวันๆนึงเขาต่อนข้างเข้มงวดในเรื่องข้าว หรือแป้งไม่ขัดสี อาหารวีแกนค่อนไปทาง raw หนูก็พยายามหาสูตรทำอาหารในเนตมาทำให้สารพัด ก็ผ่านไปได้ด้วยดี  หลักๆก็จะได้ ตาร์โบไฮเดรทจากมันฝรั่ง แต่จะให้กินทุกวันก็ไม่ไหว ทุกว้นนี้ ครอบตรัวหนูจะทานข้าวอาทิตย๋ละ1ุถึง2ตรั้งเอง หนูเองก็อยากจะทานข้าวสวยบ่อยๆแต่ก็ไม่อยากเพิ่มงานตัวเองคือทำให้ตัวเราและทำให้เขาด้วย ปัญหามีอยู่ว่า เขาไปอ่านเจอวิจัยที่ไม่แนะนำให้ทานข้าวค้างคืน หรือแม้แต่หุงกลางวันและเหลือไว้ทานตอนเย็น แม้หนูจะเก็บเข้าตู้เย็นอย่างดี โดยเขาบอกว่าข้าวเย็นเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียมากมาย นี่มันขัดกับความรู้สึกของคนที่ทานข้าวมาก ชี่วนาตาปี เราก็ไม่ใช่จะต้องหุงกินข้าวสวยสดๆกันทุกมื้อ แต่ก็จะเก็บไม่เกินสองวัน หนูเลยสงสัยว่ามันจะจริง อย่างงานวิจัยที่เขาหามาหรือ ถึงแม้จะมีบ้าง หนูก็กินข้าวเย็นออกบ่อยไม่เห็นมีปัญหาอย่างเขาว่า คือเราก็พิสูจน์ด้วยตัวเราเองว่ามันไม่ใช่ อย่างนี้จะให้เชื่องานวิจัยได้อย่างไร อีกอย่างหนูก็ตอกเขาไปว่าหนูโตมากับข้าวจน50กว่า ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ ส่วนเขาเข้มงวดเกิน มีโรคสารพัด หลักๆคือภูมิแพ้ และเป็นไข้หวัดบ่อย นอนไม่หลับ ขนาดประจักษ์พยานต่อหน้าที่อยู่ด้วยกัน เขายังไม่get เหมือนจะต่อต้านการทานข้าวอยู่ สังเกตได้จากพอมื้อไหนหุงข้าว เธอจะทานได้น้อย และสีหน้าไม่จอยเท่าไร และส่งผลให้ลูกต่อต้านข้าวไปด้วย แต่หนูไม่ละความพยายามหรอก จะทำให้พวกเขาทานข้าวบ่อยขึ้นกว่านี้ และต้องขอบคุณเขาที่ทำให้หนูได้รู้จักอาหารมังฯหรือวีแกนมากขึ้น ทำให้สุขภาพเราแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยกับเขา

ขอบคุณค่ะ

…………………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าทำไมฝรั่งไม่ชอบกินข้าว ตอบว่ามันเป็นประเด็นความคุ้นเคยต่อรูปแบบของการกิน (food pattern) ข้าวเป็นอาหารหลักของคนครึ่งโลก ส่วนอีกครึ่งโลกที่เหลือไม่ได้กินข้าว คนที่เกิดมาเคยกินข้าวกับไม่เคยกินข้าวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออดความชอบกินข้าวย่อมจะต้องแตกต่างกัน คุณไปแต่งงานกับฝรั่งคุณต้องยอมรับความแตกต่างอันนี้ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน เมื่อเขาไม่ชอบกิน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปยัดเยียดให้เขากิน เพราะหลักการทำอาหารสุขภาพกินมีหลักง่ายๆว่ากินสิ่งที่คุ้นเคยนั่นแหละ แต่ทำยังไงให้มัน healthy ขึ้นมามากกว่าเดิม คุณจึงควรทำอาหารในรูปแบบที่เขาคุ้นเคย ทำไมคุณไม่ลองทำอาหารในแนวอาหารเมดิเตอเรเนียนซึ่งเป็นอาหารสุขภาพเหมือนกันแต่ฝรั่งคุ้นเคยและรับได้มากกว่าอาหารไทยดูบ้างละ

2.. ถามว่าทำไมฝรั่งกลัวข้าว ตอบว่าเพราะข้อมูลที่แพร่กระจายทางอินเตอร์เน็ททุกวันนี้มันมีเยอะแยะมากมายหลายหลาก คนไม่ชอบอะไรเมื่อไปหาข้อมูลความเลวของสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบบนอินเตอร์เน็ทก็จะหาพบได้ในเวลาชั่วลัดนิ้วมือ แต่ว่าคนที่เสพย์ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพอินเตอร์เน็ททุกวันนี้มีน้อยมาก (อาจจะน้อยกว่า 1%) ที่จะเข้าใจวิธีจัดชั้นหลักฐานวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าข้อมูลไหนมีน้ำหนักเชื่อได้แค่ไหน มันจึงกลายเป็นว่ายิ่งคนไม่ชอบกินอะไร ไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ท จะยิ่งพบเหตุที่ทำให้ไม่ชอบสิ่งนั้นมากขึ้น

ในเรื่องของข้าวนี้ เหตุที่ทำให้คนไม่ชอบข้าวใช้ปฏิเสธข้าวมี 3 ประเด็น คือ

2.1 กลัวการปนเปื้อนของสารหนูในข้าว ซึ่งมีมากกว่าในธัญพืชชนิดอื่นเป็นสิบเท่า และมีมากในข้าวกล้องมากกว่าข้าวขาว เพราะโลหะหนักชอบสะสมในชั้นของ bran ซึ่งเป็นผิวนอกของธัญพืช นี่เป็นข้อมูลในห้องวิจัย เมื่อเอามายำรวมกับข้อมูลในห้องแล็บที่ว่าสารหนูหากมีมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพในประเด็นโรคของผิวหนัง โรคระบบประสาท และมะเร็งบางชนิดเช่นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ก็ทำให้คนที่กลัวพิษของสารหนูพลอยกลัวข้าวไปด้วย นี่เป็นความกลัวที่ผูกโยงขึ้นจากหลักฐานระดับต่ำ แต่เมื่อมาดูหลักฐานระดับสูงคือหลักฐานการเจ็บป่วยในคนจริงๆ กลับไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างคนกินข้าวว่าจะเป็นโรคต่างๆที่เกิดจากสารหนูมากกว่าคนไม่กินข้าว ดังนั้นหากวิเคราะห์ชั้นของหลักฐานเป็นและรู้จักใช้หลักฐานอย่างถูกต้อง ความกลัวสารหนูในข้าวนี้จะไม่มากอย่างทุกวันนี้

2.2 กลัวการปนเปื้อนของอะฟลาทอกซินในข้าว เป็นการยำรวมข้อมูลว่าอาหารไหนบ้างที่มีสารพิษจากเชื้อรา (aflatoxin) มาก ซึ่งรวมทั้งธัญพืชเช่นข้าวที่จัดเก็บในสภาพอากาศชื้นด้วย นั่นประการหนึ่ง บวกกับข้อมูลที่พิสูจน์ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพิษอะฟลาทอกซินกับการเป็นมะเร็งตับ นั่นอีกประการหนึ่ง ทั้งสองอันทำให้กลัวว่ากินข้าวแล้วจะเป็นมะเร็งตับ แต่หากรู้จักประเมินหลักฐานในภาพใหญ่ก็จะพบว่าหลักฐานระดับสูงในคนจริงๆที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างการกินข้าวกับการเป็นมะเร็งตับนั้นกลับไม่มี หากไม่รู้วิธีจำแนกชั้นของหลักฐาน ไปหลงยึดถือหลักฐานในห้องวิจัยซึ่งเป็นหลักฐานระดับต่ำโดยไม่คำนึงถึงหลักฐานในคนจริงๆซึ่งเป็นหลักฐานระดับสูง ก็จะทำให้กลัวข้าวว่าจะเป็นต้นเหตุของการเป็นมะเร็งตับ

2.3 กลัวการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียเช่น Bacillus cereus ในข้าวขาวหุงสุกแล้วที่วางขายบนหิ้ง ทั้งนี้เป็นผลจากการวิจัยเก็บตัวอย่างสินค้าในตลาดมาวิเคราะห์ในห้องแล็บ แต่หากคำนึงถึงหลักฐานแบบรอบด้าน เช่นหากหลีกเลี่ยงสินค้าที่เก็บไว้บนหิ้งนานเกินไป บวกกับข้อมูลในคนจริงๆที่เกิดพิษของแบคทีเรียจากการกินข้าวซึ่งพบว่าไม่แตกต่างจากคนที่ไม่ได้กินข้าว ก็จะสรุปได้ไม่ยากว่าความกลัวพิษของแบคทีเรียปนเปื้อนในข้าวหุงสุกเป็นความกลัวที่มากเกินความเป็นจริง อีกอย่างหนึ่งความทานทนต่อเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนในข้าวหุงสุกระหว่างคนกินข้าวประจำกับคนไม่กินข้าวก็ไม่เท่ากัน คนกินข้าวประจำจะทนได้มากกว่า สมัยเด็กๆผมเป็นเด็กวัด อาหารหลักคือข้าวหุงสุกข้ามคืนบูดบ้างไม่บูดบ้างผมกินได้เฉย แต่หากให้คนทั่วไปมากินแบบนั้นมีหวัง ข.ต. (ขอโทษ ขี้แตก หิ หิ)

3. ถามว่าสามีเป็นฝรั่งที่ข้าวก็ไม่กิน ขนมปังก็ไม่กิน แล้วจะสรรหาอะไรให้พระเดชพระคุณท่านรับประทานกันดีละคะ ตอบว่าอันนี้มันเป็นประเด็นการปฏิเสธธัญพืชซึ่งเกิดจากการเผยแพร่ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ทให้เกลียดชังอาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตด้วยการอ้างเหตุว่าทำให้อ้วนบ้าง ทำให้เป็นโรคเบาหวานบ้าง เรียกว่าเป็นสายโลว์คาร์บ ซึ่งมีเหตุผลอยู่บ้างกรณีการกินธัญพืชชนิดขัดสีในปริมาณที่มากเกินความต้องการแคลอรี่ของร่างกาย การจะแก้ปัญหาให้ได้พลังงานพอเพียงในคนที่ปฏิเสธธัญพืชตะพึดมีสามวิธีคือ (1) หันไปใช้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (complex carbohydrate) ที่ไม่ใช่ธัญพืช เช่นมันฝรั่ง มันเทศ เผือก และหัวใต้ดินต่างๆ (2) หันไปใช้อาหารไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น ถั่ว งา นัท อะโวกาโด น้ำมันมะกอกชนิดเอ็กซตร้าเวอร์จิน (ถ้าเขาไม่อ้วนอยู่แล้ว) เป็นแหล่งแคลอรี่เสริม (3) หันไปใช้ธัญพืชอื่นที่เขาไม่ชิงชังรังเกียจ เช่น คีนัวร์ แฟลกซีด เป็นต้น

4. ถามว่า ผ. ฝรั่งของคุณมีโรคสารพัด รวมทั้งภูมิแพ้ เป็นไข้หวัดบ่อย นอนไม่หลับ เป็นเพราะเขาไม่กินข้าวหรือเปล่า ตอบว่าไม่เกี่ยวกันหรอกครับหากเขากินอาหารพืชที่หลากหลายอยู่แล้ว โรคเรื้อรังน่าจะเกิดจากการสูญเสียดุลยภาพของระบบประสาทอัตโนมัติมากกว่า หมายความว่าเขาป่วยจาก “ความคิด” ของเขาเอง เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมเพิ่งเขียนเรื่อง “ความคิดคือผู้เปิดปิดสวิสต์ยีนก่อโรคหรือยีนรักษาโรคเรื้อรังทุกโรค” นั่นเป็นข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ใหม่และใช้ประโยฃน์ได้ดีมาก คุณลองหาอ่านดูนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Davis MA, Signes-Pastor AJ, Argos M, Slaughter F, Pendergrast C, Punshon T, Gossai A, Ahsan H, Karagas MR. Assessment of human dietary exposure to arsenic through rice. Sci Total Environ. 2017 May 15;586:1237-1244. doi: 10.1016/j.scitotenv.2017.02.119. Epub 2017 Feb 21. PMID: 28233618; PMCID: PMC5502079.
  2. Ali N. Aflatoxins in rice: Worldwide occurrence and public health perspectives. Toxicol Rep. 2019 Nov 5;6:1188-1197. doi: 10.1016/j.toxrep.2019.11.007. PMID: 31768330; PMCID: PMC6872864.
  3. Karagas MR, Punshon T, Davis M, Bulka CM, Slaughter F, Karalis D, Argos M, Ahsan H. Rice Intake and Emerging Concerns on Arsenic in Rice: a Review of the Human Evidence and Methodologic Challenges. Curr Environ Health Rep. 2019 Dec;6(4):361-372. doi: 10.1007/s40572-019-00249-1. PMID: 31760590; PMCID: PMC7745115.
  4. Lee SY, Chung HJ, Shin JH, Dougherty RH, Kangi DH. Survival and growth of foodborne pathogens during cooking and storage of oriental-style rice cakes. J Food Prot. 2006 Dec;69(12):3037-42. doi: 10.4315/0362-028x-69.12.3037. PMID: 17186677.

[อ่านต่อ...]

มันมาอีกละ..พวกขายยาปลอมโดยเอารูปหมอสันต์ไปหลอกว่าเป็นคนแนะนำ

(ภาพวันนี้: ดอกติ้ว)

วันนี้ขออำไพแฟนๆที่ต้องเสียเวลาไม่ได้อ่านความรู้ทางด้านสุขภาพ เพราะมันมาอีกละ พวกขายยาปลอมโดยเอารูปเอาชื่อหมอสันต์ไปหลอกว่าเป็นคนแนะนำ ปัญหาคือของที่ขายเป็นของปลอมที่มีอันตรายต่อผู้บริโภค ใช้เลขอย.ปลอม ขายกันโจ๋งครึ่มทางอินเตอร์เน็ท อ้างว่าเป็นยาลดความดันและล้างไขมันจากหลอดเลือด มีรูปหมอสันต์ วิดิโอ.หมอสันต์ และข้อความที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นคำพูดของหมอสันต์การันตี ประเด็นที่ไม่น่าเชื่อก็คือมีคนหลงเชื่อซื้อยาเถื่อนนี้กันเป็นจำนวนมาก ที่ผมรู้เพราะคนที่ซื้อเขาเขียนเข้ามาหา จากเดิมที่ผมมองเรื่องการเอาชื่อผมไปขายกินเป็นเรื่องตลก เพื่อนยังแซวผมเลยว่า

“หมอสันต์ตัวจริงไม่เคยขายอะไรได้ แต่คนอื่นเอาชื่อหมอสันต์ไปขายของทำไมขายดีจัง”

คราวนี้มันเปลี่ยนรูปเป็นรูปหมอสันต์บนปกหนังสือ คนก็ซื้อ ซื้อแล้วเขียนมาถามว่ากินได้ไหม โห ขำไม่ออก แต่ปริมาณจดหมายของผู้หลงเชื่อที่เขียนเข้ามาหามีมากจนผมเริ่มกังวลใจ ไม่ได้กังวลว่าชื่อเสียงเกียรติยศตัวเองจะเสียหายดอก เพราะนั่นมันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่กังวลว่าการปล่อยให้คนอื่นเอารูปของผมและตัดคำพูดของผมบางประโยคไปแปะขายของเถื่อนนั้นมันมีคนเสียหาย ซึ่งก็คือแฟนบล็อกนี้จำนวนมาก เสียเงินนั่นไม่เท่าไหร่ แต่ยาปลอมที่เขาหลอกให้ซื้อมากินนั้นเป็นอะไรมีพิษมีภัยแค่ไหนก็ไม่รู้ ตรงนี้แหละที่ผมกังวลใจ

ผมจึงได้มอบหมายให้ “สำนักงานลีเกิลการ์เดื้ยนทนายความ” ไปร้องทุกข์ที่สภอ. ปากเกร็ดในความผิดตามพ.รบ. คอมพิวเตอร์ เพื่ออาศัยตำรวจให้ติดตามเอาโทษ ในขั้นตอนนี้ก็เป็นการรอการดำเนินการของตำรวจ ซึ่งตำรวจก็เหมือนจะบอกใบ้ว่ามันอยู่เขมร ทำอะไรมันไม่ได้ หิ หิ

ทางด้าน องค์การอาหารและยา (อย.) ก็ได้ออกประกาศเตือนประชาชนว่า

“..พบการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “FRIOCARD” เลข อย. 11-1-06353-5-0016 ทางเว็บไซต์ https://thai-dietonica.com/friocard โดยมีข้อความระบุ “…ช่วยลดความดันโลหิตและระดับคอเลสเตอรอลรวม… ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น… ช่วยต่อสู้กับอาการความดันโลหิตสูง… ส่งเสริมการฟื้นฟูความดันโลหิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป…”

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า เป็นข้อมูลลวง เนื่องจากเป็นการโฆษณาแสดงคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณ ของอาหารอันเป็นเท็จหรือหลอกลวง ให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควรและไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเว็บไซต์ที่ทำการโฆษณาไม่พบข้อมูลผู้โฆษณา พบเพียงวิธีการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์จะต้องกรอกชื่อ – นามสกุลจริง หมายเลขโทรศัพท์ และกดคำว่า “สั่งซื้อตอนนี้” รวมทั้งเป็นเว็บไซต์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ ซึ่งโฆษณาลักษณะนี้จะไม่สามารถติดต่อผู้ขายได้ ดังนั้น หากผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์แล้วเกิดปัญหาใด ๆ ในการบริโภคผลิตภัณฑ์จะไม่สามารถตามหาผู้รับผิดชอบได้ จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อโฆษณาลักษณะนี้ และ อย. ได้สั่งระงับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องแล้ว

ขอเตือนผู้บริโภคให้รู้เท่าทันการโฆษณาผลิตภัณฑ์อวดอ้างรักษาโรคหลอดเลือดและรักษาความดันโลหิต ทางสื่อออนไลน์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เพราะ อย. ไม่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์อาหารโฆษณาไปในทิศทางที่เกี่ยวกับการรักษาโรคต่าง ๆ กรณีมีอาการเจ็บป่วยหรือผิดปกติในร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง หากพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง หรือโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 Line : @FDAThai Facebook : FDAThai หรือแจ้งได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด

สำหรับแฟนบล็อกหมอสันต์ที่พบเห็นสื่อที่โฆษณาหลอกขายยาเถื่อนโดยใช้ชื่อหรือรูปของผมเข้า ก็กรุณาช่วยอีกแรงนะครับ โดยช่วยแจ้งเฟซบุ้คหรือกูเกิ้ลหรือไลน์ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเห็นโฆษณานี้ทางไหน แจ้งให้เขาทราบหน่อยว่านี่มันเป็นการใช้เฟซบุ้ค กูเกิ้ล ไลน์ ไปในทางแอบอ้างคนอื่นอย่างผิดกฎหมาย ขอให้ทางเฟซบุ้ค กูเกิ้ล หรือไลน์ ลบโฆษณาผิดกฎหมายนี้ออกเสีย ไม่ต้องกลัวว่าเป็นการแจ้งลบของผมจริงๆเข้า เพราะของจริงไม่มีแน่นอนครับ หมอสันต์ไม่เคยขายยาหรืออาหารเสริมอะไรทางอินเตอร์เน็ททั้งสิ้น ทางบนดินก็ไม่เคยขาย และไม่เคยคิดจะขาย เพราะมันไม่ใช่กิจของแพทย์ที่จะไปขายยาหรืออาหารเสริม

มีแฟนบล็อกบางท่านแนะนำให้ผมเข้มงวดกับการเอาบทความของผมไปอ้างหรือไปเผยแพร่ต่อ ความจริงทุกวันนี้ผมก็แจ้งอย่างเป็นทางการบนบล็อกนี้ไว้นานแล้วว่าบทความในบล็อกนี้เป็นลิขสิทธิ์ของ drsant.com การจะเอาบทความไปใช้ประโยชน์ในทางการค้าต้องขออนุญาตมาที่ contactdrsant@gmail.com ก่อน ผมมีความเห็นว่าพูดแค่นี้ก็พอแล้ว เข้มงวดไปมากกว่านี้คนดีๆซึ่งไม่เคยเอาบทความของผมไปปู้ยี่ปู้ยำก็จะยุ่งยากใจ ทุกวันนี้มีคนใช้บทความของผมมาก ทั้งสำนักข่าว ทีวี บล็อกเกอร์ ยูทูปเบอร์ และคนทั่วไปที่ก๊อปลิ้งค์ส่งต่อๆกันไปเพื่อให้เพื่อนฝูงญาติมิตรได้อ่านสิ่งที่ดีๆ คนเหล่านี้เป็นกัลยาณมิตรของผมเองผมจะไปทำให้เขายุ่งยากใจทำไม ส่วนคนไม่ดีนั้น ไม่ว่าจะเข้มงวดแค่ไหนก็ไม่กระทบพวกเขาดอกเพราะเข้มไม่เข้มเขาก็หากินกับการทำผิดกฎหมายอยู่วันยังค่ำตราบใดที่ตำรวจยังตามไม่ถึงตัว ท่านผู้อ่านเองจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเองสองชั้น ชั้นหนึ่งหวังพึ่งตำรวจ แต่อีกชั้นหนึ่งก็ต้องใช้ดุลพินิจตัวเองกลั่นกรองด้วยว่าที่เขาร่อนมาให้อ่านนั้น อันไหนเป็นของจริง อันไหนเป็นของปลอม จะได้ไม่ถูกเขาหลอกง่ายๆแล้วมาเดือดร้อนภายหลัง

วันนี้ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมเอาพื้นที่ที่ควรจะได้คุยกันสนุกๆได้สาระมาคุยกันเรื่องขี้หมาแทน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

……………………………………………………………………………

[อ่านต่อ...]

23 กุมภาพันธ์ 2566

"ความคิด" คือผู้เปิดปิดสวิสต์ยีนก่อโรค หรือยีนรักษาโรคเรื้อรังทุกโรค

ภาพวันนี้: กลางคืน จอดรถแล้วเงยหน้าดูดอกไม้ป่าสีขาวไม่รู้ชื่อ ออกดอกสะพรั่งตัดกับสีดำของท้องฟ้ามืดมิด

(หมอสันต์พูดกับสมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat)

ปกติในแค้มป์นี้เราจะไม่พูดไม่อธิบายเหตุผลกลไกอะไรกันมากนัก จะมุ่งหน้าฝึกใช้เครื่องมือวางความคิดกันเป็นหลัก เพราะผู้มาแค้มป์นี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ “อิน” กับแนวทางนี้ดีแล้ว หรือพูดอีกอย่างว่าส่วนใหญ่เป็นสาย “ศรัทธา” หรือสาย “มู” ไม่ต้องพูดอะไรก็เอาด้วยแล้ว

แต่วันนี้ผมขอพูดหน่อย เพราะแค้มป์นี้เป็นแค้มป์พิเศษถึงสองอย่าง อย่างแรกคือเป็นแค้มป์ของคนทำงานออฟฟิศที่มากันเป็นหมู่คณะไม่เหมือนแค้มป์อื่นที่สมาชิกล้วนเป็นผู้แสวงหาอย่างโดดเดี่ยวลำพังมาโชกโชนแล้ว อย่างที่สองก็คือมีสมาชิกที่เป็นผู้ชายมาก ขึ้นชื่อว่าผู้ชายก็มักจะเกี่ยงหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเหตุผลไม่เข้าท่า..ข้าก็จะไม่ทำ

สิ่งที่ผมจะพูดก็คือกลไกการป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ว่าตัวกำหนดว่าใครจะป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ใครจะหายจากโรคเรื้อรังวิทยาศาสตร์เรารู้ชัดแล้วว่าคือ “ยีน (gene)” หรือรหัสพันธุกรรมของเราเอง รู้ว่ายีนเป็นผู้บงการให้เซลสร้างโมเลกุลโปรตีนและฮอร์โมนแบบต่างๆขึ้นซึ่งหากสร้างผิดเพี้ยนหรือไม่ได้ดุลโรคก็จะเกิดตามมา ความรู้วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรารู้จักทุกท่อนทุกชิ้นของยีนมนุษย์ซึ่งมีทั้งหมดราว 25,000 ยีน เรารู้หมดแล้วว่าแต่ละท่อนมันเอาโมเลกุลอะไรมาต่อกับโมเลกุลอะไร ตอนที่เราได้ความรู้นี้มาเราก็ได้ปลื้มว่าต่อไปนี้การจัดการโรคจะอยู่ในอวยของเราแล้วเพราะเรารู้จักยีนหมดแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือเหนือฟ้ายังมีฟ้า เราเพิ่งมารู้เอาตอนหลังนี้ด้วยแขนงวิชาใหม่ชื่อ epigenetics ว่ายีนแต่ละตัวมันต้องรอจังหวะที่จะออกฤทธิ์ (expression) โดยต้องมีผู้มาเปิดสวิสต์ (up regulation) ให้มันออกฤทธิ์ หรือปิดสวิสต์ไม่ให้มันออกฤทธิ์ (down regulation) ซึ่งเรารู้ด้วยว่าผู้มาปิดเปิดสวิสต์นั้นคือปัจจัยสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือสารเคมีที่เรารู้จักแล้วราว 2600 ตัวในร่างกายเรานี่เอง หากตัวนั้นเพิ่มขึ้นหรือตัวนี้ลดก็จะมีผลเปิดหรือปิดสวิสต์ยีนทันที แน่นอนว่าอาหารและการออกกำลังกายมีผลต่อการเปิดปิดสวิสต์ยีน แต่ที่มีผลต่อโรคเรื้อรังโดยเฉพาะโรคมะเร็งมากกว่าอาหารและการออกกำลังกายก็คือดุลยภาพของระบบประสาทอัตโนมัติ เพราะมันเชื่อมโยงแนบแน่นกับระบบต่อมไร้ท่อซึ่งผลิตฮอร์โมนทุกตัว ตัวระบบประสาทอัตโนมัตินี้หน้าที่มันคือจับสัญญาณ “คุกคาม” ต่อการดำรงอยู่ของชีวิตหรือร่างกายเรา เมื่อมันได้สัญญาณคุกคามมันก็จะเอียงไปข้าง “เร่ง” ซึ่งในระยะสั้นจะช่วยให้เราเอาตัวรอดจากสิ่งคุกคามได้ แต่หากเป็นการ “เร่ง” แบบเรื้อรังก็จะกลายเป็นการเปิดสวิสต์ยีนก่อโรคเรื้อรังต่างๆได้แทบจะทุกโรครวมทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคติดเชื้อโควิด เป็นต้น

สิ่งคุกคามเจ้าประจำในชีวิตของเราทุกวันนี้คือ “ความคิด” ของเราเอง ความคิดที่คุกคามเรามีสองรูปแบบ คือ “ความจำ” ของเราในรูปของความเสียดายเสียใจรู้สึกผิดกับสิ่งแที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต กับ “จินตนาการ” ของเราในรูปของความกลัวความวิตกกังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคต

ข้อเสียของระบบประสาทอัตโนมัติก็คือมันจำแนกไม่ออกดอกว่าสิ่งคุกคามไหนเป็นแค่การรีไซเคิ้ลความจำหรือเป็นแค่จินตนาการ สิ่งคุกคามไหนเป็นภยันตรายที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆต่อหน้าจะๆ เพราะมันเป็นระบบที่คิดไม่เป็น มันทำงานแบบวงจรสนองตอบอัตโนมัติเหมือนหุ่นยนต์เป็ดสมัยยุคก่อนมีคอมพิวเตอร์ กล่าวคือสมัยก่อนเกิดคอมพิวเตอร์ในยุโรปมีคนทำตุ๊กตาเป็ดชื่อ automatron ซึ่งก็คือหุ่นยนต์นั่นเอง การจะเล่นต้องไขลานที่ก้นมัน แล้วปล่อยมันเดินเตาะแตะไป เตาะแตะ เตาะแตะ เลี้ยวซ้าย แคว้ก แค้วก เตาะแตะ เตาะแตะ เลี้ยวขวา แคว้ก แค้วก ประมาณนั้น มีเฟืองกำกับอยู่ในท้องมันเพียงไม่กี่ตัวมีวงจรทำงานแบบง่ายๆ ระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกายเราก็มีวิธีการทำงานประมาณเดียวกันนี้

มันจึงสนองตอบแบบไม่ว่าจะเป็นแค่การฟื้นความจำหรือจินตนาการก็เป็นสิ่งคุกคามเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหมด ดังนั้นอารมณ์ร่าเริง หรือโศกเศร้า กลัว กังวล ของเรานี่แหละที่เป็นตัวเปลี่ยนฮอร์โมนและสารเคมีในร่างกายเรา รวมทั้ง oxytocin, dopamine, cortisol เป็นต้น และเป็นผู้เปิดปิดสวิสต์ยีนก่อโรคหรือยีนรักษาโรคเรื้อรังต่างๆให้ทำงานหรือให้หยุดทำงาน

นั่นเป็นเหตุผลว่าหมอสันต์เป็นหมออยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมถึงมาเปิดโปรแกรม spiritual retreat ขึ้นหลังจากเปิดแค้มป์ “สุขภาพดีด้วยตนเอง” และ “พลิกผันโรคด้วยตนเอง” มาแล้วได้สองปีกว่า เพราะเมื่อผ่านไปแล้วสองปีจึงได้เรียนรู้ว่าถึงตั้งใจแก้ไขเรื่องอาหารและการออกกำลังกายดีอย่างไรก็ตามแต่หากความคิดและอารมณ์ของเรายังเป็นลบ โรคเรื้อรังมันไม่หายไปไหนดอก หรือหายไปแล้วมันก็จะกลับมาใหม่ เนื่องจากยีนอันเป็นผู้บงการโรคยังออกฤทธิ์ได้อยู่เพราะมีความคิดลบเป็นหัวเชื้อคอยเปิดสวิสต์ให้

สี่วันที่เราจะอยู่ด้วยกันนี้ เราจะโฟกัสไปที่การฝึกปฏิบัติใช้เครื่องมือในการวางความคิด เมื่อเราวางความคิดเป็น กลไกการเปิดปิดยีนก่อโรคหรือยีนรักษาโรคก็จะเปลี่ยนไป การจัดการโรคเรื้อรังให้หายจึงจะเป็นไปได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เราต้องมาอยู่ด้วยกันที่นี่สี่วัน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

20 กุมภาพันธ์ 2566

Life Skill Camp สำหรับเด็ก

(ภาพวันนี้: มิวเซียมสยาม หน้าสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย)

ผมมีความคิดมานานแล้วว่าอยากจะสอนทักษะชีวิตให้กับเด็ก เพราะเมื่อเห็นปัญหาของผู้ป่วยโดยเฉพาะโรคที่เกิดจากความเครียดแล้วนำไปสู่โรคเรื้อรังซ้ำซากทำให้ได้รู้ว่าการแก้ปัญหาจะง่ายขึ้นมากหากผู้ป่วยมีทักษะชีวิตมาตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อก่อนเกิดโควิดผมได้ตั้งท่าเงื้อง่าจะทำแค้มป์เด็กที่มวกเหล็ก มีลูกๆหลานๆของแฟนบล็อกลงทะเบียนมาแล้ว 30 คนเก็บเงินมาหมดแล้วแต่ก็แห้ว..ว ไม่ได้ทำเพราะโควิด-19 มาเสียก่อน คราวนี้เอาใหม่ ปิดเทอมใหญ่ปีนี้ (6 พค. 66) หมอสันต์จะเปิดแค้มป์สอนทักษะชีวิตให้กับเด็กอายุ 9-15 ปี (ประมาณ ป.3 – ม.3) ที่มิวเซียมสยาม เรียกว่า Life Skill Camp For Kids เป็นแค้มป์แบบนั่งรถไฟฟ้ามาทำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันวันเดียวจบ มาเช้า กลับเย็น โดยหมอสันต์เชิญทีมงานของ Cubic Creative ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำแค้มป์เยาวชนระดับมีชื่อเสียงมานานกว่าสิบปีมาช่วยจัดทำจัดสอนในส่วนแผนกิจกรรมและเกมต่างๆ บวกกับส่วนที่หมอสันต์จะสอนเองในเรื่องที่จะให้เด็กได้รู้จักความคิดและอารมณ์ของตัวเอง โดยแค้มป์มีรายละเอียดดังนี้

1.. วัตถุประสงค์ (Objectives) เพื่อเสริมสร้าง

(1) Self awareness and coping skill ทักษะการรู้ตัวและการรับมือ ฝึกสอนให้มองเห็นความคิดและอารมณ์ของตัวเอง รวมทั้งการฝึก mediation ในรูปแบบที่เหมาะสำหรับเด็ก

(2) Empathy ทักษะการเข้าใจเห็นใจผู้อื่น รู้จักยอมรับคนรอบตัวเรา ยอมรับ ขอบคุณ ให้อภัย ขอโทษ แผ่เมตตา การรู้จักฟังอย่างตั้งใจ (deep listening)

(3) Creative Thinking การบ่มความคิดสร้างสรรค์ เปิดรับจินตนาการ (imagination) และความบันดาลใจ (inspiration)

(4) Critical Thinking and decision skill ทักษะการคิดวินิจฉัยตัดสินใจ คือคิดวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเทียบ ประเมิน ได้เสีย ดีไม่ดี ถูกไม่ถูก ตัดสินใจเลือก

(5) Aesthetic การรู้จักสุนทรียะ การเข้าถึงคุณค่าในเชิงความงดงาม และการเปิดรับรู้และตื่นตาตื่นใจกับความมหัศจรรย์ของชีวิตในแต่ละวัน

 2.ประสบการณ์เรียนรู้ (Learning Experience)

     เด็กจะเรียนรู้ทักษะชีวิตผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกันตลอดวัน ตามตาราง ดังนี้

8.30 – 9.00 น. Registration ลงทะเบียน

9.00 – 11.30 น. Complex engineering project โครงการวิศวกรรมล้ำลึก

เกมโครงงานวิศวกรรมที่แสนลุ้น…ระทึก ผู้เล่นจะต้องสร้างสิ่งประดิษฐ์จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้คะแนนแลก ต้องประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แกะความซับซ้อนในการวางแผนและการใช้ทรัพยากรที่แม้จะมีหลากหลายซับซ้อนมีประสิทธิภาพสูงแต่ทุกชิ้นต้องแลกมาด้วยคะแนนการแข่งขัน ต้องตัดสินใจเมื่อต้องเลือกพี่แต่เสียดายน้อง

11.00-12.00 น. Self awareness activities มองเห็นความคิดและอารมณ์ของตัวเอง

ปู่สันต์ (นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์) พาเด็กๆเดินทางเข้าสู่ภายในใจของตัวเองผ่านการฝึก meditation ที่ออกแบบให้เหมาะกับเด็กๆ เรียนรู้วิธีสังเกตให้เห็นความคิดและอารมณ์ของตัวเอง รู้จักอีโก้ และวิธีทอนอิทธิพลของอีโก้ยามที่มันมาแรงจนเอาไม่อยู่

12.00-13.00 Lunch

13.00-15.00 Operation in darkness ปฏิบัติการณ์ลับในที่ลึกลับ

เกมสวมบทบาทสายลับที่สนุกมาก..ก จะต้องเข้าไปปฏิบัติการในดินแดนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น อาศัยหลักวิศวกรรมเชิงกระบวนการ (process engineering) วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของปัญหา ออกแบบกระบวนการ ออกแบบโปรโตคอลการสื่อสารแล้วส่งเป็นระหัสลับที่ถูกต้องแม่นยำรวดเร็วออกจากแดนลี้ลับมาให้พวกกันเองในโลกภายนอกรู้ได้ทันการณ์

15.00 -17.00 Three dimension creativity project โครงการสร้างสรรค์สามมิติ

เกมระเบิดพลังแห่งจินตนาการเพื่อ ออกแบบ สร้างสรรค์ ลงมือทำสิ่งปลูกสร้าง ด้วยสถาปัตยกรรมที่หลากหลายรูปทรงเรขาคณิต และหลากหลายสีสัน

17.00-18.00 Aesthetic สุนทรียะ 

ปู่สันต์ (นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์) พาเด็กๆท่องไปในอุทยานธรรมชาติเพื่อเรียนรู้ว่าสุนทรียะคืออะไร จะเข้าถึงมันได้อย่างไร จะใช้ประโยชน์จากมันในชีวิตจริงได้อย่างไร

     ในทุกกิจกรรม ไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองเข้ามายุ่งกับกิจกรรมของเด็กในแค้มป์ ไม่มีพื้นที่ให้ผู้ปกครองมาสังเกตการณ์ด้วย ผู้ปกครองแวะมาเยี่ยมและพูดคุยกับเด็กได้ในช่วงพักรับประทานอาหาร แต่ไม่ควรจะอยู่กับเด็กนานเกิน 15 นาที ทั้งนี้ห้ามนำขนม ของกิน ของเล่น ของฝากใดๆมาให้เด็กระหว่างอยู่ในแค้มป์ กรณีเด็กลืมของใช้จำเป็น ทางแค้มป์จะจัดหาให้

คำยินยอมของผู้ปกครอง

     การสมัครส่งเด็กเข้าแค้มป์ฝึกทักษะชีวิต ถือว่าผู้ปกครองยินยอมให้หมอสันต์นำเด็กลูกหลานของตนไปทำกิจกรรมข้างต้นโดยไม่มีข้อแม้ หากมีข้อแม้แม้เพียงข้อเดียว หมอสันต์จะไม่รับเด็กคนนั้นเข้าแค้มป์นี้ เพราะการฝึกทักษะ จะเกิดขึ้นไม่ได้หากโน่นก็ไม่ให้ทำ นี่ก็ไม่ให้ทำ เป็นดุลพินิจของหมอส้นต์ที่จะเลือกให้เด็กคนไหนงดเว้นกิจกรรมอะไรหากมีความจำเป็นในเรื่องความปลอดภัย โดยถือว่าผู้ปกครองยอมรับความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ตามธรรมชาติของทุกกิจกรรมที่หมอสันต์เลือกให้เด็กทำ

     อนึ่ง นอกจากผู้ปกครองจะยินยอมแล้ว ตัวเด็กจะต้องยินยอมมาเข้าแค้มป์ด้วย โดยครูพี่เลี้ยงจะถามความยินยอมของเด็กในวันแรกที่มาถึง หากเด็กถูกบังคับให้มา มาถึงแล้วร้องไห้จ้าจะกลับบ้านเสียให้ได้ หมอสันต์จะไม่รับเข้าแค้มป์

แค้มป์นี้เป็น unplugged camp 

     แค้มป์นี้ไม่สนับสนุนให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือและจอภาพทุกชนิด ครูพี่เลี้ยงจะเก็บโทรศัพท์เด็กเป็นการชั่วคราว จะอนุญาตให้โทรศัพท์ได้เฉพาะตอนพักกลางวันไม่เกิน 15 นาที

ค่าใช้จ่ายในการมาเข้าแค้มป์ Life Skill For Kids

     คนละ 3,000 บาท ราคานี้รวมอาหารและอาหารว่างตลอดวัน และอุปกรณ์การเรียนทั้งหมด เงินค่าลงทะเบียนเข้าแค้มป์เมื่อรับแล้วจะไม่มีการจ่ายคืน ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น

(เฉพาะสมาชิกของมิวเซียมสยามจะได้ส่วนลด 10%)

จำนวนที่รับเข้าแค้มป์

     รับไม่เกิน 30 คน มาก่อนรับก่อน เต็มแล้วปิด

วิธีลงทะเบียนเข้าแค้มป์

ลงทะเบียนโดยแจ้งชื่อนามสกุลและอายุ (หรือวันเกิด) ทางไลน์ HealthyLife โดยใช้ ไลน์ไอดี.. @650ennbw เมื่อได้รับการยืนยันการตอบรับแล้วจึงชำระค่าลงทะเบียนเข้าสัมนา คนละ 3,000 บาท โดยโอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกรุงเทพจำกัด (BBL) เลขบัญชี 1364072866 ชื่อบัญชี “บริษัท วีแกน คอมมูนิตี้ จำกัด” แล้วส่งเปย์สลิปมาให้ทางไลน์ข้างต้นหรือทางอีเมล somwong10@gmail.com (โปรดอย่าโอนเงินมาเมื่อยังไม่ได้รับการตอบรับ เพราะอาจจัดที่นั่งให้ไม่ได้กรณีที่เต็มก่อนแล้ว) กรณีใช้โทรศัพท์จะใช้ได้แต่สอบถามข้อมูลเบื้องต้นซึ่งผมได้เล่าไว้ในบล็อกนี้แล้วเท่านั้น โดยสามารถโทรคุยกับหมอสมวงศ์ที่หมายเลขโทร 086 888 2521 ส่วนการจองต้องทำผ่านทางไลน์หรืออีเมลเท่านั้นเพราะหากจองทางโทรศัพท์จะจำไม่ได้

สถานที่และวิธีเดินทางมาแค้มป์

แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนครั้งนี้ จัดที่มิวเซียมสยาม ซึ่งอยู่ตรงทางขึ้นของสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย กลางพื้นที่อนุรักษ์เกาะรัตนโกสินทร์ บางส่วนของกิจกรรมจัดที่พระราชอุทยานสราญรมย์ ซึ่งเป็นสวนพฤษศาสตร์ที่อยู่ใกล้กันกับมิวเซียมสยาม

การเดินทางมามิวเซียมสยามนอกจากจะมาโดยรถไฟฟ้าซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้ว ยังสามารถเดินทางมาโดยรถยนต์ โดยภายในมิวเซียมสยามมีที่จอดรถยนต์ให้จำนวนหนึ่ง กรณีที่จอดในมิวเซียมเต็มอาจไปจอดรถที่ตลาดยอดพิมาน (จากมิวเซียมสยามวิ่งเข้าเส้นพาหุรัด เลี้ยวขวา จากนั้นวิ่งผ่านโรงเรียนสวนกุหลาบแล้วกลับรถใต้สะพานพระพุทธยอดฟ้า จะพบทางเข้า สู่ยอดพิมานริเวอร์วอล์ค) กรณีใช้รถเมล์ สายที่ผ่านคือสาย 3, 6, 9, 12, 32, 44, 47, 53, 82, 524 กรณีมาเรือ ลงเรือที่ท่าเตียนหรือท่ายอดพิมานแล้วเดินมามิวเซียมสยาม

ปล. (21 กพ. 66)

แค้มป์ทักษะชีวิตสำหรับเด็กรอบนี้ (ุ6 พค. 66) มีผู้สมัครเต็มครบ 30 คนแล้ว ไม่สามารถรับเพิ่มได้อีก ต้องขอโทษด้วย ไม่ถึงสองวันก็เต็มเสียแล้วท่านที่สมัครไม่ทันคงต้องค่อยไปคราวหน้าละกันนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

19 กุมภาพันธ์ 2566

เรื่องไร้สาระ (31) "วิ่งดูดนม RUN"

(ภาพวันนี้: ดอกติ๊วที่หน้าบ้าน สวยระดับเดียวกับซากุระ)

วันนี้ ปลายฤดูหนาว หมอสันต์รวบรวมสมัครพรรคพวก สว. ได้ประมาณ 2 ลำรถเก๋ง พากันไป “วิ่งดูดนม RUN” ซึ่งเขาจัดขึ้นที่ฟาร์มโคนมไทยเดนมาร์ค เป็นกิจกรรมที่ผมมักจะพูดเสียงดังด้วยความภูมิใจว่า “ผมจะไปวิ่งมาราธอน” แต่พอคนถามว่าอาจารย์วิ่งกี่กิโล ผมก็ลดเสียงลงเบาๆ ตอบว่า

“..สามกิโล”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

เรามาถึงหกโมงเช้า ยังมืดมองกันไม่เห็นอยู่เลย อากาศเย็นออกไปทางหนาว เขาปล่อยตัวรุ่นพี่ๆ คือพวกวิ่ง 21 กิโลบ้าง 10 กิโลบ้าง ไปก่อนแล้ว เหลือแต่พวกเด็กๆที่จะต้องวิ่งแค่ 5 กิโลและ 3 กิโล กำลังถูกจัดให้เข้าประจำที่ มีครูออกกำลังกายรูปหล่อล่ำสันขึ้นเวทีนำการวอร์มอัพ คนเยอะมากจนหายใจไม่ถนัด แล้วเขาก็ยิงปืนปล่อยตัวออกวิ่งไปตามถนนมืดๆที่ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มอมชมพู คนมาวิ่งกันเยอะเสียจนหากคิดจะถ่ายรูปต้องรอให้ขบวนวิ่งยาวเป็นกิโลเมตรให้ผ่านไปก่อนจะได้ไม่ถูกคนวิ่งมาชนเอา

ที่เป็นไกรทองแบกชาละวันวิ่งก็มี

วิ่งไป สังเกตไปก็พบว่าคนที่มาวิ่งช่างมีแตกต่างหลากหลาย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนมาวิ่งเยอะขนาดนี้ ทุกคนมีสีหน้าแจ่มใสเบิกบาน บางครอบครัวต้องควักตัวเล็กตัวน้อยออกมาทั้งๆที่ยังไม่ตื่นดี บ้างมาวิ่งเป็นหมู่คณะ เอาลูกโป่งสวรรค์มัดติดหลังเสื้อให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันวิ่งด้วยกันเป็นกลุ่มๆ บางครอบครัวแต่งตัวเป็นวัวนมพันธุ์ขาวดำโฮลสไตน์ฟรีเชี่ยนทั้งพ่อแม่ลูก ที่พากันแต่งตัวเป็นเสือก็มี ที่เป็นไกรทองเสื้อแดงแจ๊ดแบกจรเข้ชาละวันวิ่งก็มี บ้างมาวิ่งโดยมีรถเข็นด้วย มองเข้าไปในรถเข็นบางคันก็เป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยน่ารัก คนเดียวบ้าง แฝดบ้าง หลายคันเป็นน้องหมาหน้าตาบ๊องแบ๊ว มีอยู่คันหนึ่งเป็นคุณตาที่เข้าใจว่าเป็นอัมพาตนั่งอยู่ในล้อเข็นให้ลูกหลานผลัดกันรุน ดูสีหน้าของคุณตาจะชอบวิธีวิ่งแบบนี้มากเป็นพิเศษเพราะสามารถเหลียวไปมาสำรวจทิวทัศน์ระดับสายตาที่น่าตื่นเต้นรอบๆตัวได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะเผลอวิ่งสะดุดอะไร

เส้นทางวิ่งเริ่มต้นเป็นต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง มีขึ้นมีลงตามประสามวกเหล็กซึ่งเป็นเมืองบนภูเขา แล้วก็วิ่งมาถึงคอกวัวออริจินอลของฟาร์มโคนมสร้างให้โดยรัฐบาลเดนมาร์คซึ่งพระเจ้าอยู่หัวร.9 เคยมาเปิด เห็นตัวเลขเหนือป้ายจั่วสีแดงไว้ว่า 1962 ก็คือ 60 ปีมาแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงขึ้นเนินชันทำให้นักวิ่งต้องเปลี่ยนเป็นเดินโดยอัตโมมัติ มองเข้าไปในโรงนมยังเห็นคนทำงานกำลังติดหัวรีดนมให้กับวัวนมพันธ์ขาวดำซึ่งยืนเข้าแถวเคี้ยวเอื้องอยู่นิ่งๆอย่างคุ้นเคย พวกเธอไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นเต้นกับพวกนักวิ่งที่วิ่งหอบแฮ่กๆผ่านไปแต่อย่างใด

เธอได้รับโล่ห์วัวทองสายสีเขียว แสดงว่าวิ่ง 5 กิโล เป็นรุ่นพี่ของหมอสันต์ที่วิ่ง 3 กิโล

เส้นทางพาขึ้นเขาลงเขามาผ่านบึงน้ำที่มองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือภูเขากำลังสวยงามเชียว โค้งสุดท้ายนี้เป็นเนินชัน ผมต้องบังคับตัวเองให้วิ่งไม่ให้เดินเพราะเขาใช้ให้มาวิ่งไม่ใช่ให้มาเดิน ในที่สุดก็เข็นตัวเองให้เข้าเส้นชัยได้ มีสิทธิ์ไปรับเหรียญวัวทองสายสีน้ำตาลซึ่งเป็นศักดิ์ชั้นของผู้สำเร็จการวิ่ง 3 กม. ช่างน่าภาคภูมิใจซะ

ขณะกำลังหอบเหนื่อยอยู่นั้นตาก็เหลือบไปเห็นรุ่นพี่ที่มาถึงก่อนแล้วยืนแลบลิ้นหอบสี่ขาอยู่ใกล้ๆ เหลือบไปเห็นป้ายลงทะเบียนที่อยู่บนอานคาวบอยที่ขี่หลังเธออยู่แสดงว่าเธอเป็นนักวิ่งที่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้นคือสายของโล่ห์วัวทองที่เธอได้รับมานั้นมันเป็นสายสีเขียว บ่งบอกศักดิ์ชั้นว่าเธอเพิ่งสำเร็จการวิ่ง 5 กม. มา เธอถูกปล่อยตัวพร้อมกับผมซึ่งวิ่ง 3 กม. แต่เข้าเส้นชัยก่อนผม เอ๊ะ นี่หมายความว่าไง แหะ แหะ

จบการวิ่งเราเอาคูปองไปแลกอาหารเครื่องดื่ม มีคูปองให้คนละสามใบ มองหาอาหารที่เหมาะกับคนเป็นโรคหัวใจ นั่นเนื้อหมูผัดสิ้นคิดราดข้าว ดูมันย่องเชียว ไม่เหมาะแน่ นั่นก๋วยเตี๋ยวน้ำร้อนๆ ดูคนเข้าคิวยาวเกิน เอาข้าวไข่เจียวก็แล้วกัน เขาทอดไข่เจียวได้แห้งน่ากิน จากนั้นก็ไปหาเครื่องดื่ม เครื่องดื่มดีที่สุดคือน้ำเปล่านั้นให้ฟรีไม่ต้องใช้คูปอง จึงแลกเอานมโยเกิร์ตรสหวานปะแล่มมาหนึ่งขวด คูปองเหลืออยู่อีกใบหนึ่งไม่รู้จะแลกเอาอะไร เพราะมีแต่เครื่องดื่มใส่น้ำตาล ขนมเค้กคุ้กกี้หวานเจี๊ยบสไตล์มวกเหล็ก ไอติมและขนมหวานใส่น้ำแข็งไสราดน้ำแดงเฮลซ์ บลู บอย ที่ดูจากคิวแสดงว่าป๊อปปูล่ามากแต่เดาระดับความหวานได้ สรุปว่าคูปองอีกใบไม่รู้จะแลกอะไรเพราะไม่กล้ากินน้ำตาลมากกลัวสมองที่เสื่อมเกือบได้ที่แล้วจะเสื่อมหนักลงไปอีก จึงบริจาคคูปองให้เพื่อนสว.อีกท่านหนึ่งที่ยังสมองดีอยู่ให้ไปรับเคราะห์กรรมแทน หิ หิ

อิ่มดีแล้วเราเดินกลับไปขึ้นรถ เดินผ่านคอกม้า จึงแวะเข้าไปดูม้าและคาวบอยซึ่งกำลังสาละวนเตรียมม้าไว้รอรับเด็กๆที่จะมาขี่ม้าตอนสายๆ คุยกับคาวบอยสองสามคำ ขอบคุณเขาที่ให้ถ่ายรูป แล้วพากันกลับมาขึ้นรถกลับมวกเหล็กวาลเลย์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

18 กุมภาพันธ์ 2566

ความคิดเสรีไม่มีดอก เสรีภาพในการคิดเป็นเรื่องไร้สาระ

(ภาพวันนี้: เหลืองชัชวาล)

อาจารย์สันต์ครับ

ผม นพ. …. จบแพทย์มาแล้ว 4 ปี เป็นอายุรแพทย์ครับ อยากปรึกษาอาจารย์ในประเด็น

  1. ผมรู้สึกตลอดเวลาว่าผมไม่มีเสรีภาพ อยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำ อยากค้นหาสิ่งใหม่ๆก็ไม่มีโอกาส มีชีวิตอยู่เพื่อให้คนรอบตัวมีความพอใจ ชีวิตนี้ช่างไร้ค่า ทำอย่างไรผมจึงจะรู้สึกว่าผมมีเสรีภาพครับ
  2. ผมเปลี่ยน training มา 2 สาขาแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ ผมไม่รู้ว่า passion ของผมอยู่ที่ไหน ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ แต่ผมไม่รู้ว่าผมอยากทำอะไร รู้แต่ว่าอยากจะหนีไป ผมควรจะไปต่ออย่างไรครับ

เคารพนับถืออาจารย์มาตั้งแต่ The Symptom ครับ

…………………………………………..

ตอบครับ

1.. ประเด็นการแสวงหาเสรีภาพ นี่ผมไม่ได้พูดถึงกรณีที่คุณถูกจับกุมคุมขังล่ามโซ่ตีตรวนอยู่นะ จุดสำคัญที่ผมจะชี้ก็คือคุณไม่อาจพบเสรีภาพได้จากการตามความคิดอยากแสวงหาโน่นหานี่ของคุณไป เพราะเสรีภาพแท้จริงคือเมื่อใจของคุณปลอดความคิด ไม่ใช่การตามความคิดไป ชื่อว่าความคิดทุกความคิดล้วนไม่ใช่ของใหม่ ล้วนเป็นการรีไซเคิลความจำของคุณทั้งสิ้น แล้วมันจะเป็นเสรีภาพได้อย่างไร ความคิดเสรีที่แท้จริงไม่มีดอก อย่างดีก็เป็นการปรุงแต่งความจำ ประสบการณ์ และความรู้ที่เราเคยมี สิ่งที่คุณเรียกว่าความชอบหรือพึงพอใจนั้นเกิดจากการชั่งตวงวัดเปรียบเทียบกับประสบการณ์ในอดีตของคุณเอง คุณไม่ต้องไปเสาะหาดอกมันมันไม่ใช่ของใหม่ๆจริงๆอย่างที่คุณเข้าใจ

ถ้าคุณสามารถหยวนหรือยอมรับยอมแพ้ทุกอย่างชนิดสมบูรณ์แบบ ไม่เสาะหาอะไรอีกแล้ว ไม่หนีด้วย ที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่นี้โอเค.แล้ว นั่นแหละคุณได้พบกับเสรีภาพที่แท้จริงแล้ว แต่ถ้าคุณยังไม่สามารถ มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คุณจะต้องดิ้นรนค้นหาหรือหนีกันต่อไปก่อน จนกว่าคุณจะสามารถ

ความปรารถนาของทุกชีวิตคือมีใจที่ปลอดความคิดห่วงกังวลกับอัตตาตัวเอง หมายถึงสภาวะที่รู้ทุกความคิด ทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึก สนใจมันเต็มที่แต่ไม่ตัดสินว่ามันถูกผิดดีไม่ดีแค่เฝ้ามองดูมันเฉยๆ ซึ่งใจแบบนี้มันเป็นธรรมชาติข้างในของทุกคน ทุกคนเข้าถึงมันได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือเทคนิคก็ได้ แต่ความคิดห่วงอัตตาเองเป็นอุปสรรคการเข้าถึงใจแบบนี้ หากไม่ใช้เครื่องมือก็ยากที่จะวางความคิดซึ่งเป็นด่านนอกลงได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมสอนแต่การใช้เครื่องมือวางความคิด แทบจะไม่ได้พูดถึงเลยว่าสภาะใจที่ว่างจากความคิดหรือ meditative state มันเป็นอย่างไร เพราะเมื่อวางความคิดลงได้ ทุกคนก็จะเห็นด้วยตนเอง

2.. ประเด็น passion คุณต้องเข้าใจก่อนว่า passion หรือสิ่งที่ใช่สำหรับชีวิตเรานี้ มันไม่ใช่สาขาวิชาอาชีพ ไม่ใช่ลักษณะของกิจการงานที่ทำ แต่มันเป็นความรู้สึก (feeling) ดีๆที่เกิดขึ้นบนร่างกายและในใจเราเมื่อเราได้ทำกิจกรรมบางชนิด ได้ทำงานบางอย่าง ได้อยู่กับคนบางคน หรือได้อยู่ในบรรยากาศบางบรรยากาศ

ดังนั้นก่อนที่คุณจะเสาะหาว่าอะไรคือ passion ของคุณ ขั้นแรก คุณต้องหัดรับรู้ความรู้สึก (feeling) บนร่างกายและในใจคุณให้ได้ก่อน คุณต้องสังเกตดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งความรู้สึกดีๆ และความรู้สึกไม่ดี (เช่นอึดอัดขัดข้อง ไม่ชอบ) แล้วสังเกตว่าความรู้สึกดีๆมันเกิดขึ้นโดยสัมพันธ์กับกิจกรรมใด ความรู้สึกไม่ดีมันเกิดขึ้นโดยสัมพันธ์กับกิจกรรมใด

ขั้นที่ 2. ให้คุณสังเกตต่อไปว่าเมื่อมีความรู้สึกเกิดขึ้น มันจะตามมาด้วยความคิด “อยาก” อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ กล่าวคือถ้าชอบก็อยากได้ ถ้าไม่ชอบก็อยากหนี (กลัว กังวล) แต่หากคุณสังเกตความรู้สึก (feeling) ได้ดีอยู่ไม่ว่อกแว่ก คุณจะค้นพบด้วยตัวเองว่าขณะที่ความสนใจอยู่ที่ความรู้สึกนั้น ความคิดที่จ้องจะตามความรู้สึกนั้นมาจะไม่เกิด ผมหมายความว่าความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบมันสามารถจบลงแบบไม่จำเป็นต้องตบท้ายด้วยความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์เสมอไป หากคุณรับรู้ความรู้สึกนั้นได้เต็มๆจะๆไม่ว่อกแว่ก

ขั้นที่ 3. เมื่อคุณสามารถรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ชอบหรือไม่ชอบโดยไม่เป็นทุกข์กับความคิดที่ปกติจะต่อยอดกันมาโดยอัตโนมัติแล้ว มันจะนำคุณมาสู่อีกอาณาจักรหนึ่ง คืออาณาจักรของความเป็นไปได้ที่คุณไม่เคยรู้จักเลย กิจกรรม หรือคน สัตว์ สิ่งของ ที่คุณเคยตั้งแง่ว่า “ไม่ใช่” เอาเข้าจริงๆแล้วมันยังมีอีกหลายแง่หลายมุมที่คุณยังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ประเด็นของผมคือเมื่อคุณเลิกตั้งเงื่อนไขว่าชีวิตจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะต้องได้อย่างนั้นอย่างนี้ ก็เท่ากับคุณได้ยุติการทำลายความเป็นไปได้หรือโอกาสในชีวิตที่คุณไม่เคยรู้จักซึ่งคุณทำอยู่เป็นประจำลงเสียได้

มาถึงตรงนี้คุณก็จะประเมินได้ว่าสิ่งที่คุณมี passion กับสิ่งที่คุณไม่มี passion กับมัน คุณสามารถทำมันหรืออยู่กับมันโดยไม่ต้องมีความทุกข์ใจได้ทั้งคู่ ซึ่งข้อมูลตรงนี้จะมีประโยชน์มากในการชั่งน้ำหนักก่อนที่คุณจะตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไปเสาะหากิจกรรมอื่นที่คุณคิดว่าเหมาะสำหรับคุณมากกว่า แต่หากมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังให้น้ำหนักไปทางว่าต้องเดินหน้าทิ้งของเก่าไปเสาะหาของใหม่ให้ได้ ยังงั้นก็โอเค.นะ เดินหน้าเลย

ประเด็นของผมมีแค่ว่าอย่าเพิ่งทิ้งทุกอย่างไปเสาะหา passion โดยที่คุณเองยังไม่รู้เลยว่า passion มันคืออะไร น้ำหนักของมันต่อชีวิตคุณมีแค่ไหน และข้างหลังสิ่งที่คุณประทับตราว่า “ไม่ใช่” นั้นยังมีอะไรอยู่บ้าง ซึ่งความไม่รู้นี้จะทำให้คุณเสาะหาไปจนตายก็ไม่มีวันพบ

ก่อนจบจดหมายฉบับนี้ ผมแนะนำจากประสบการณ์ของคนแก่ในการเสาะคุณค่าของชีวิต ว่า (1) การฝึกนั่งสมาธิวางความคิดจะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น (2) เมตตาธรรมต่อทุกชีวิตอย่างไม่เลือกหน้าจะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น (3) การสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆจะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น และ (4) การเพลิดเพลินกับสิ่งไร้สาระเล็กๆน้อยๆ ก็จะพาคุณเข้าใกล้ชีวิตมากขึ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 กุมภาพันธ์ 2566

หมอสันต์พูดในรายการวิทยุ "สูงวัยไปต่อ"

เมื่อหลายวันก่อนผมไปออกรายการวิทยุแห่งหนึ่ง ชื่อรายการสูงวัยไปต่อ หรืออะไรประมาณนี้ ผมเห็นว่าเนื้อหาที่พูดน่าจะมีประโยชน์สำหรับแฟนบล็อก จึงเอาลิงค์มาแปะให้ท่านที่สนใจลองตามไปชมเอาเองนะครับ

https://fb.watch/iFVS_cmG-2/?mibextid=cr9u03

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

13 กุมภาพันธ์ 2566

ถ้าคุณขับรถแล้วเห็นบ้านสีแดงและต้นไม้แดงนี้ซ้ำซาก มันหมายความว่าอย่างไร

ภาพวันนี้ : พวงคราม (ซ้าย) และตะแบก (ขวา) ข้างห้องนอนผู้มาเข้าคอร์สที่เวลเนสวีแคร์

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

ดิฉันอายุ 65 ปี ดูแลคุณแม่มา 3 ปี คุณแม่เสียเมื่อ 3 เดือนก่อน ตั้งแต่ก่อนคุณแม่เสียราวหนึ่งปีดิฉันเป็นโรคซึมเศร้า หาจิตแพทย์ กินยา พอคุณแม่เสียดิฉันยังซื้อยากินเองแต่ไม่ไปหาจิตแพทย์แล้วเพราะมองไม่เห็นประโยชน์ หมอก็แค่พูดด้วยไม่กี่คำแล้วสั่งจ่ายยาเดิมมาให้กินเป็นอย่างนี้มาปีกว่าแล้ว ที่จะปรึกษาหมอสันต์คือดิฉันมีความคิดว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปนี้มันไม่มีประโยชน์อะไร ควรจะหาทางตายไปเสีย ความคิดแบบนี้จะวนเวียนมาตอกย้ำจนเป็นความคิดประจำในหัว วันไหนความคิดนี้ไม่มาเป็นเรื่องแปลก มีแต่จะมาถี่ขึ้นๆ บางคืนนอนจากหัวค่ำถึงตีสี่นอนไม่หลับ คิดเรื่องนี้ตลอด พยายามเอาความคิดนี้ทิ้งไปอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เปรยกับพวกญาติพวกเขาก็ได้แต่ไล่ไปหาหมอแบบไม่ได้ใส่ใจใยดีอะไรกับดิฉันมากไปกว่ามรดกที่พวกเขาจะได้เมื่อดิฉันตายไป ดิฉันควรจะทำอย่างไรจึงจะเป็นอิสระจากความคิดนี้ได้

ขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………………………………………

ตอบครับ

วันหนึ่งสมัยที่ยังไม่มี GPS ผมขับรถเที่ยวไปในต่างประเทศ ขับไปๆเพลินๆเห็นบ้านสีแดงทรงประหลาดมีต้นเมเปิลแดงอยู่หน้าบ้าน โผล่ขึ้นมาหลังหนึ่ง ขับต่อไปๆเพลินๆอีกราวครึ่งชั่วโมงก็เห็นบ้านสีแดงทรงประหลาดกับต้นไม้แดงแบบเดิมโผล่ขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง มันหมายความว่าอย่างไร

ก็หมายความว่าุผมกำลังขับรถหลงทางเป็นวงกลม แล้วผมจะไปถึงไหนไหมเนี่ยตราบใดที่ผมยังไม่รู้ตัวว่ากำลังหลงทางอยู่ในวงกลม

ฉันใดก็ฉันเพล ถ้าอารมณ์อย่างหนึ่งอย่างใดโผล่ขึ้นมาในใจคุณซ้ำซาก หรือถ้าความคิดบางความคิดโผล่ขึ้นมาในใจคุณซ้ำซาก แปลว่าคุณตกอยู่ในวงจรของการย้ำคิด หรือวงจรถูกป้อนให้คิดให้ทำซ้ำซาก (compulsiveness) หรือพูดแบบบ้านๆก็คือคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ในบ่วง “กรรมเก่า” วงจรย้ำคิดนี่แหละคือการตกเป็นทาสขนานแท้ เพราะแม้กระทั่งการสนองตอบต่อสิ่งเร้าโดยใจของคุณเองซึ่งเป็นสิ่งที่คนอื่นล้วงเข้ามาไม่ได้ มีคุณคนเดียวจะกำกับได้ คุณยังไม่รู้วิธีกำกับมันเลย คุณก็เลยถูกป้อนให้คิดให้ทำซ้ำซากโดยไม่รู้ตัว แล้วจะมีรูปแบบของการเป็นทาสใดที่หนักหนาไปกว่าการที่ตัวเองตกเป็นทาสของความคิดตัวเองนี้อีกเล่า

ความซ้ำซาก (repetition) นี้มันมีพลังมากนะ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ล้วนหมุนวนอยู่ในวงกลมของความซ้ำซาก ร่างกายของเราก็ตกอยู่ในวงจรของความซ้ำซาก ดูร่างกายของผู้หญิงอาจจะเป็นตัวอย่างที่ชัดหน่อย ทุกเดือนต้องมีเหตุพิเศษ ความคิดของเราก็ไม่อยู่นอกกฎเกณฑ์นี้ เพราะรากฐานของระบบประสาทและสมองนั้นผูกขึ้นจากการวิ่งของกระแสประสาทในเซลประสาทซึ่งต่อกันเป็นวงจรซ้ำซาก การจะออกจากความซ้ำซากได้จึงยิ่งใหญ่เสมอหรือยิ่งใหญ่กว่าการเลิกทาสทีเดียว

เวลาผมทำแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตัวเอง ผมพูดกับผู้ป่วยเสมอว่า

“เพราะเรากินแบบเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม

เราจึงมาจบที่การเป็นโรคเรื้อรังอย่างนี้

เราไม่มีวันหายจากโรคเรื้อรังนี้ได้หรอก

หากเรายังกินแบบเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม”

หลักข้อเดียวกันนี้ใช้ได้เลยเมื่อใดก็ตามที่มีความเครียดเกิดขึ้นในใจ สไตล์การสนองตอบต่อสิ่งเร้าด้วยการคิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ ซ้ำๆซากๆ พาเรามาสู่ความเครียดเรื้อรัง ตราบใดที่เรายังคิดซ้ำๆสไตล์เดิม เราจะออกจากความเครียดเรื้อรังได้ไหมละ ท่านสาธุชนโปรดตรองดู หิ หิ

หลายท่านได้ดิบได้ดีมามีวันนี้ได้เพราะเป็นคนมีวินัยต่อตัวเอง นั่นก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดซ้ำซากทำอะไรซ้ำซาก แต่เป็นการทำซ้ำซากแบบมีสติกำกับ อย่าเผลอเอามาเป็นเรื่องเดียวกันกับการคิดอะไรซ้ำซากหรือการย้ำคิดโดยไม่รู้ตัว อย่างหลังนี้เป็นความซ้ำซากที่เราสร้างขึ้นมาให้ตัวเองแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์อุปมาเหมือนคนงานก่อสร้างปัญญาอ่อนทำการเชื่อมเหล็กต่อกรงขังตัวเองไว้ข้างในแล้วออกไปไหนไม่ได้ แต่ช่างปัญญาอ่อนคนนั้นเขายังร้องตะโกนให้คนอื่นมาช่วยได้เพราะมันเป็นกรงเหล็กมันยังตัดได้ แต่กรงของความย้ำคิดที่เราสร้างขึ้นในใจนี้ยิ่งกว่ากรงเหล็กเพราะถ้าตัดไม่เป็นยิ่งพยายามตัดมันยิ่งต่อใหม่ได้เร็วแบบแน่นหนากว่าเดิม คนอื่นก็ไม่มีใครที่ไหนจะมาช่วยตัดมันออกไปได้

ถามว่าแล้วจะออกจากวงจรย้ำคิดแบบไม่รู้ตัวนี้ไปได้อย่างไร ตอบว่าผมจะไม่คุยกับคุณแบบแพทย์คุยกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้านะ แต่ผมจะคุยกับคุณแบบเพื่อนมนุษย์ที่เราต่างมีกลไกการผูกโยงถักทอความคิดขึ้นมาพันตัวเองเหมือนๆกัน และล้วนทุกข์ทรมาณจากความย้ำคิดคล้ายๆกัน จะต่างกันก็แค่บางคนมากบางคนน้อย ความเหมือนกันนี้ทำให้ผมพอมีอะไรมาแชร์กับคุณได้

ขั้นที่ 1. คุณต้องชาร์จไฟก่อน คุณยามนี้เหมือนเครื่องคอมที่แบตสำรองกำลังจะหมด จะไปรันโปรแกรมอะไรยากๆยาวๆไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไรมันก็ไม่เวอร์คเพราะเครื่องตายเสียก่อนจะเซ็ทอัพโปรแกรมเสร็จ วิธีชาร์จไฟหรือสร้างพลังชีวิตก็เอาแบบง่ายๆบ้านๆเลย คือไปนอนตากแดด ร้อนก็เปลี่ยนไปนอนแช่น้ำเย็น หนาวก็แช่น้ำอุ่น หาโอกาสไปอยู่กับธรรมชาติเหยียบดินเหยียบหญ้าเดินป่าเดินดงฟังเสียงนกเสียงกา ไม่สนอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันหรือเป็นเรื่องเป็นราวทั้งนั้น ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นเลย ชาร์จไฟอย่างเดียว จะนานกี่วันกี่เดือนไม่รู้ ชาร์จจนไฟเขียวขึ้น

หรือหากคุณอยากชาร์จไฟแบบทางลัดก็มีวิธีนะ คุณไปหาอะไรทำที่เป็นการช่วยคนอื่นที่เขากำลังตกทุกข์ได้ยากโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่รู้จะทำอะไรก็เดินเก็บขยะตั้งแต่หน้าบ้านจนถึงปากซอยก็ได้ วิธีทำอะไรให้คนอื่นโดยไม่หวังอะไรตอบแทนนี้เป็นวิธีชาร์จพลังชีวิตขึ้นมาทางลัด

ขั้นที่ 2. เริ่มฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย ขณะที่ชาร์จไฟ คุณค่อยๆฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย จะฆ่าตัวตายแบบไหนดียังเป็นเรื่องไกลตัว ก่อนจะตายทั้งทีก็หาวิธีตายให้มันผ่อนคลายสบายๆหน่อย ฝึกสั่งให้กล้ามเนื้อร่างกายผ่อนคลายไปทีละส่วน เริ่มที่ใบหน้า ผ่อนคลายใบหน้า ฝึกยิ้มที่มุมปากแบบพระพุทธรูปในโบสถ์ด้วย ยิ้มคนเดียว ยิ้มเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ ผ่อนคลายทั้งตัว

ขั้นที่ 3. ฝึกรับรู้การหายใจและรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย นานๆครั้งก็สนใจหน่อยว่าตอนนี้กำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ สังเกตร่างกายดูหน่อยว่ามีความรู้สึกอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ใหม่ๆก็ความรู้สึกปวด เจ็บ คัน ต่อไปก็สนใจความรู้สึกที่ละเอียดขึ้น ลมพัดมาแขนเย็น ขนลุก หรือบางทีแค่หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกยาวๆ พร้อมกับสังเกตอาการซู่ซ่าบนร่างกาย สังเกตยังไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อเริ่มสังเกตความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกายได้ก็แสดงว่า ไฟเริ่มชาร์จติดแล้ว ผมหมายถึงพลังชีวิตเริ่มกลับมาแล้ว

ขั้นที่ 4. ฝึกสังเกต สังเกตอะไรก็ได้ที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัสผิวหนัง กลิ่น รส บางครั้งไม่มีอะไรให้สังเกต สังเกตลมหายใจตัวเองก็เบื่อ ให้สังเกตความเงียบ โต๋เต๋อยู่ในความเงียบ ปักหลักอยู่ในความเงียบ สังเกตเสียงต่างๆรอบตัว จากเสียงดังไปเสียงค่อย เมื่อมีความคิดผุดขึ้นมา ช่างมัน หันหลังให้ ไม่สนใจ สังเกตเสียงรอบตัวหนุกกว่า

จากปักหลักอยู่ในความเงียบเพื่อสังเกตเสียง ก็พัฒนามาเป็นปักหลักอยู่กับลมหายใจเพื่อสังเกตความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจ ความคิดไม่ใช่เรา เราเป็นผู้สังเกต ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต วิธีสังเกตก็คือแค่แอบดูเฉยๆว่า อ้า.. เจ้าความคิด “ตายเสียดีไหม” โผล่มาอีกแล้ว พอสังเกตเห็นมันแว้บเดียวแล้วก็รีบหลบกลับมาตามดูลมหายใจ สักพักก็แอบดูความคิดใหม่ ขยันแอบสังเกตดูความคิดของตัวเองไป เท่าที่กำลังสติจะเอื้อให้ทำได้

คุณฝึกทำแค่นี้ไปสักเดือนหนึ่งก่อน ถ้าผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ก้าวหน้า ยังคิดแต่จะตายดีไม่ตายดีอยู่เหมือนเดิม และถ้าคุณยังอยู่ (หิ หิ พูดเล่น) ให้เอาจดหมายอีเมลนี้มาขอเข้าเรียน Spiritual Retreat ที่เวลเนสวีแคร์ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี บอกเจ้าหน้าที่เขาว่าผมสัญญาว่าจะให้คุณเข้าเรียนแบบฟรีหมด กินฟรี อยู่ฟรี เรียนฟรี ชั้นเรียนหน้าสำหรับคนทั่วไปน่าจะประมาณ 15-18 มีค. 66

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

12 กุมภาพันธ์ 2566

"ศรีทนได้" ติดดี คอยตัดสินคนอื่น ชีวิตตรึงเครียดมากเลยค่ะ

(ภาพวันนี้: เหลืองอินเดีย ที่รั้วบ้านทาร์ซาน)

สวัสดี อ.สันต์ ที่เคารพรักค่ะ

  เป็นคนฟัง อ่าน พวก mindset ที่ดี มีความสุข ต้องทำอย่างไร มามากมายค่ะ ทฤษฎีแน่นปึ๊ก ลงมือทำกระปริดกระปอย จากการติดความคิดเยอะ…

คราวนี้ ปัญหาที่เผชิญตอนนี้คือ….ได้รับเลือกขึ้นเป็นหัวหน้าห้องจ่ายยาหลัก เดิมลูกน้องมีแค่พนักงานเภสัชกรรม ตอนนี้รวมเภสัชกรเพิ่มเข้ามา ก็ไม่กล้ารับตำแหน่งค่ะ เพราะ

1.กลัวทำได้ไม่ดีพอ ความสามารถไม่ถึง (ทั้งที่ทุกคนก็บอกว่า ทุกวันนี้ก็ทำอยู่แล้วนะ 555 แต่ตัวเองไม่เชื่อแบบนั้นค่ะ)

2.ตัดสินทุกคนไปหมด มองแต่ข้อไม่ดี เห็นแก่ตัวบ้าง ทำงานไม่จริงจังบ้าง ชอบว่าเหน็บแนมคนอื่น บลาๆๆ ของปุถุชน ทั่วไป

ติดดี เป็นแบบศรีทนได้ แต่ถ้าเหนื่อยมากจะมักมีสายตาต่อว่าคนอื่น แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร

3.รู้สึกแปลกแยก ไม่อยากเอาตัวเองไปอยู่กับคนพลังงานลบๆ  Fake , โดยส่วนตัวไม่ชอบโกหก ก็จะไม่ชอบคนชอบโกหกเพื่อผลประโยชน์ตัวเองมากๆ ค่ะ

สรุป ประเด็นที่จะปรึกษา อ.สันต์คือ

1.รู้สึกแปลกแยก ไม่สนใจเรื่องลบเลย มันควรปรับปรุงแก้ไขมั้ยคะ หรือก็อยู่อย่าง introvert แบบของเราไป เลือกทางที่ทำแล้วมีความสุขที่อื่นไป

2.อยากมีความสุขค่ะ ควรเริ่มจากตรงไหนดี อ.สันต์แนะนำให้ ฝึกวางความคิด แต่หนู อ. เคยแนะนำให้เริ่มจากสังเกตความคิดให้ได้ก่อนเถอะ 555…ทำได้บ้างไม่ได้บ้างค่ะ ขอสารภาพ ส่วนใหญ่ที่ทำไม่ได้เพราะเหนื่อยจาก ศรีทนได้ หลังเลิกงาน แล้วก็เอามาครุ่นคิดว่าจะลาออกดีมั้ย มาเสี่ยงเป็น Part time อะไรไปน่าจะมีความสุขกว่า ไม่ต้องวุ่นเรื่องคนอื่นรับผิดชอบแต่ตัวเองพอค่ะ

รบกวน อ.สันต์ด้วยค่ะ อยากเป็นคนดีที่มีประโยชน์จริงๆ และสุข สงบ และทรงพลังค่า

ด้วยความเคารพอย่างสูง 

……………………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าการเป็นคนเก็บกดแบบ “ศรีทนได้” เห็นคนโกหกตอแหล เห็นแก่ตัว ทำงานเหยาะๆแหยะๆ แล้วไม่ชอบเลย แต่ก็ทน บางครั้งก็ตำหนิด้วยสายตาไปบ้าง นิสัยตัวเองแบบนี้มันควรจะปรับปรุงแก้ไขไหม หรือว่าอยู่แบบ introvert คือไม่ยุ่งกับใครอย่างนี้ดีแล้ว

ตอบว่า การดำเนินชีวิตอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันทำให้คุณเป็นทุกข์ มันก็ต้องปรับปรุงแก้ไขสิครับ จะทู่ซี้ทำแบบเดิมให้มันเป็นทุกข์ซ้ำซากอยู่ทำไม เหตุแห่งทุกข์ของคุณก็คือความคิดของคุณนั่นแหละ คือความคิดที่ “อยาก” จะให้คนรอบตัวคุณเป็นอย่างที่คุณอยากให้พวกเขาเป็น หรือพูดจากอีกมุมหนึ่ง คุณ “ไม่ยอมรับ” ผู้คนรอบตัวคุณ หรือบรรยากาศรอบๆตัวคุณ

ผมไม่รู้ว่า “ศรีทนได้” ที่คุณพูดถึงนี้รากศัพท์มันมาจากไหนนะ แต่ผมเดาเอาจากจดหมายคุณว่ามันคงหมายถึงอาการเก็บกดความไม่พอใจคนรอบตัว ซึ่งกลไกของมันก็คือ “ไม่ยอมรับ” ก่อน แล้วก็นำไปสู่ “อยากเปลี่ยน” เขา เปลี่ยนไม่ได้ก็นำไปสู่ “อยากหนี”

แต่วิธีแก้ด้วยการหนีมันไม่เวอร์คดอก เพราะคุณหนีความคิดของตัวเองคุณจะหนีไปไหนพ้น พูดถึงตอนนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ สมัยหนึ่งประมาณ 20 ปีมาแล้ว ผมเป็นผู้อำนวยการรพ.เอกชนแห่งหนึ่ง วันหนึ่งก็มีหัวหน้าห้องไอซียู.ของรพ.เอกชนอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กันมาสมัครงาน ผมถามเธอว่าคุณอยากทำอะไร เธอตอบว่า

“ให้หนูทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องยุ่งกับคน” ผมถามเธอกลับว่า

“มีอยู่จ๊อบเดียว คือไปปั้นสำลีอยู่หลังโรงพยาบาล คุณจะเอาไหม”

ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

กลับมาเรื่องของเรา วิธีแก้มันต้องทำสองอย่างพร้อมกัน อย่างแรก คือปรับจูนความเข้าใจชีวิตของคุณเสียใหม่ อย่างที่สอง คือ ฝึกทักษะการวางความคิด 

คอนเซ็พท์ที่ต้องจูนก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ก็เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แค่นั้น คุณต้องเข้าใจว่าในชีวิตนี้นอกจากความรู้ตัวของเราแล้วอย่างอื่นมันเป็นแค่สิ่งที่อัตตาของเราอุปโลกน์ขึ้น เราอุปโลกน์ว่าให้มันเป็นอย่างนี้ แต่มันรู้เรื่องด้วยกับเราซะที่ไหนละ มันจึงไพล่ไปเป็นอย่างนั้น คุณต้องนั่งสัมนากับตัวเองให้เข้าใจคอนเซ็พท์อนิจจัง ทุกขังอนัตตาให้ถ่องแท้ก่อน นั่นเป็นงานชิ้นแรก ว่าที่คุณทุกข์เป็นบ้าอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะคุณไปพยายามบังคับสิ่งต่างๆนอกตัวให้เป็นไปตามที่ใจคุณอุปโลกน์จะให้มันเป็น

ส่วนเรื่องการฝึกทักษะวางความคิดผมก็พูดบ่อยจนเป็นแผ่นเสียงตกร่องแล้ว คุณย้อนอ่านดูแล้วก็เอามาทดลองปฏิบัติ ถ้าเครื่องมือทั้งหมดที่ผมแนะนำไปอันได้แก่ สติ, ลมหายใจ, การผ่อนคลายร่างกาย, การรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย, การสังเกตความคิด, การกระตุ้นตัวเองให้ตื่น, การจดจ่อสมาธิ ถ้าทั้งหมดนี้คุณพยายามแล้วไม่เวอร์คเลย คุณลองวิธีของโยคีตนหนึ่งชื่อ รามานา มหารชี วิธีของเขาสั้นๆตรงไปตรงมาคือ

“ฆ่าทุกความคิดทันทีที่มันโผล่ขึ้นมา”

เช่น พอความคิดว่า “เจ้าคนนี้มันโกหกตอแหล” โผล่ขึ้นมา คุณก็ เปรี้ยง..ง เลย ฆ่ามันเลย ไม่ใช่ฆ่าเจ้าคนโกหกตอแหลนะ นั่นมันอยู่นอกตัวคุณคุณไปทำอะไรไม่ได้ แต่ฆ่าความคิดที่พิพากษาคนอื่นว่าเขาเลว เพราะความคิดนี้มันอยู่ในหัวคุณเอง คุณฆ่ามันได้ เป็นต้น

2.. ถามว่าอยากมีความสุขควรเริ่มจากตรงไหนดี ตอบว่าเริ่มตรงลมหายใจนี้สิครับ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เริ่มได้เลย เพราะความสุขเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต ไม่เกี่ยวอะไรกับสถานะการณ์ในชีวิต สถานะการณ์ในชีวิตเช่นเจ้าคนนี้ขี้เกียจชอบเอาเปรียบ เจ้าคนนั้นชอบโกหกตอแหล นั่นเป็นสถานะการณในชีวิต นั่นไม่เกี่ยวกับความสุข นั่นเป็นเรื่องนอกตัว แต่การใช้ชีวิตคือการมีชีวิตอยู่ด้วยการหายใจเข้าออกทีละลม ทีละลม ตราบใดที่คุณยังหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลายร่างกายได้ได้โดยไม่มีความคิดลบที่อัตตาของคุณอุปโลกน์ขึ้นมาครอบ ตราบนั้นคุณก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ การใส่ใจฟูมฟักร่างกาย ฟูมฟักพลังชีวิต และบ่มความคิดให้มุ่งไปทางบวกและ “ยอมรับ” สิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่รอบๆตัว ก็ยิ่งจะทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ง่ายขึ้น

ส่วนที่อยากจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นนั้นก็ไม่ต้องห่วง เมื่อคุณมีความสุขแล้ว คุณจะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นเองโดยอัตโนมัติ เพราะอย่างน้อยคุณเดินผ่านคนอื่นคุณยิ้มให้เขาก่อนได้ คนอื่นก็ได้ประโยชน์จากการมีคุณอยู่ใกล้ๆแล้วทันที

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

11 กุมภาพันธ์ 2566

ความในใจของผู้สูงวัยคนหนึ่ง

(ภาพวันนี้: โป๊ยเซียนแคระ)

(คุณโอ๋ พยาบาลของเวลเนสวีแคร์ซึ่งมีหน้าที่ติดตามช่วยแก้ปัญหาให้ผู้มาเข้าคอร์สสุขภาพ RDBY ที่จบคอร์สกลับบ้านไปแล้ว ได้ส่งจดหมายความในใจสมาชิกแค้มป์ท่านหนึ่งเขียนมาให้ ผมเห็นว่าอ่านสนุกดีและมีประโยชน์มาก จึงขออนุญาตเอามาให้แฟนบล็อกได้อ่าน)

…………………………………………………..

ชื่อ:

อายุ: 69ปี

สภานะภาพทางสังคม_เศษฐกิจ : สมควรแก่อัตภาพ

การนำสารพิษเข้าตัว : ใจร้อน , too active, ตรงต่อเวลา กินของมันๆทอดๆแต่ใม่มากนัก _ ไม่สูบบุหรี่ แอลกอฮอล์บ้างเล็กน้อย ไม่เล่นกีฬาทุกชนิด 

สถานภาพสมรส : แต่งงาน (ภรรยาอายุ 69ปี)

ส่วนสูง(ปัจจุบัน) : 173ซม น้ำหนัก 60 กก 

สุขภาพ : (ก่อนพบว่าเส้นเลือดหัวใจตีบ) แข็งแรงว่าคนที่อายุเท่ากัน

สุขภาพ : (หลังจากเข้าอบรมกับคุณหมอสันต์) ก็คิดว่าแข็งแรงกว่าคนอายุเท่ากัน

เป้าหมายอนาคต : (ก่อนป่วย) อยากจะมีชีวิตอยู่ถึงอายุ80ปี

เป้าหมายขณะนี้ : ถ้าเป็นไปใด้ขอมีอายุถึง75ปีโดยเบียดเบียน_เป็นภาระคนรอบข้าง ให้น้อยที่สุด และเป็นคนแก่ที่ไม่เรื่องมาก 

คติประจำใจ : รักตัวเองมากกว่าทุกคนในโลกนี้ (แบบที่ประกาศเรื่องหน้ากากอ๊อกซิเจนในเครื่องบิน) 

โรคประจำตัวก่อนตรวจพบ : เส้นเลือดหัวใจตีบ, ใขมันสูง, HDLต่ำ(ใม่เคยเกิน40) , ความดันสูง 

เข้าเรื่องละ :

1).. อายุ62ปี เป็น fast stroke ตอนเช้าเป็นอัมพาตซีกขวาประมาณครึ่งนาที หายเอง ไปรพ … ตรวจ CT SCAN , MRI ใม่พบความเสียหายอย่างมีนัยยะสำคัญ 

ครั้งนั้นถ้าใด้พิจารณาอย่างถ่องแท้ใม่ตั้งในความประมาท และถือดีว่าตัวเองแข็งแรง ก็คงจะไม่มาถึงจุดเส้นเลือดหัวใจตีบ

2) ต้นเดือนมิถุนา 65 เดินเล่นเป็นปรกติด้วยความเร็วประมาณ 6 กมต่อชั่วโมงเริ่มรู้สึกแสบร้อนไปทั่วแผ่นอก (ทั้งซ้ายเเละขวา) เหงื่อออกมากตั้งแต่หัวลงมา เดินช้าลงแสบอกหายไป เดินเร็วขึ้นเริ่มแสบอีก ทดสอบแบบนี้อยู่ 3 วัน

3).. ไปหาหมอที่ รพ. … (เชียงใหม่) หลังจากตรวจ Troponin T level ใม่พบสิ่งผิดปรกติ จึงตรวจEKG พบสิ่งผิดปรกติ ตรวจ EST ผิดปรกติอีก คุณหมอแนะนำให้ฉีดสี พบว่าเส้นเลือดทั้ง 3 เส้นตันแบบยุ่งยาก ไม่สามารถทำ balloon หรือ stent ใด้แล้ว คุณหมอแนะนำว่าควรทำ by pass 

4).. ไปขอ 2nd opinion ศัลยแพทย์หัวใจที่ รพ … (กทม) แนะนำ by pass เช่นกัน

5).. ตั้งแต่เด็กมาใม่เคยเจ็บหนัก ทำให้กลัวการผ่าตัดมากๆ เลยคิดว่าใม่ทำ by pass 

6).. ภรรยาเป็น FC คุณหมอสันต์มานานแล้ว เลยแนะนำให้ดำเนินชีวิตใหม่ตามแบบคุณหมอสันต์ โชคดีที่เดือนนั้นทาง wellness เปิดอบรมเกี่ยวกับการรักษาแบบย้อนกลับที่ปากช่อง แต่โชคร้าย course เต็มแล้ว 

7).. หลังจากใด้คุยกับคุณพยาบาลโอ๋ โชคดีกลับมามีคนยกเลิก ผมเลยใด้เข้าอบรมพร้อมกับภรรยา (ผู้พิทักษ์ ผู้มีพระคุณที่แนะนำ course นี้)

8).. หลังจากอบรมมาได้ละทิ้งอุปนิสัย การกิน_อยู่โดยสิ้นเชิง เริ่มกินอาหาร plant based whole food และทำ IF 18 ชั่วโมง พร้อมทั้งออกกำลังกายด้วยการเดินเช้า 1 ชม และเย็น 1 ชม 

9).. แรงบันดาลใจในการกิน_อยู่แบบใหม่คือ 

           ก) ไม่อยากอยู่อย่างทรมาน (ยอมตายถ้าต้องทำ by pass )

           ข) ไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว ถ้าเกิดคนในครอบครัวต้องมาดูแลเราคนเดียวจะเป็นการเอาเปรียบพวกเค้ามากเกินไป 

10)..หลังจากทำข้อ 8 มาใด้สักสามเดือนทำให้น้ำหนักลดจาก 76 กกเหลือ 59 กก เริ่มตกใจละ (ไม่ใช่ทางสายกลางแล้ว) ก็เลยเปลี่ยนเป็นเดินแค่วันละครั้ง 1 ชม 

11)..น้ำหนักเริ่มอยู่ตัวที่ 60 กก ความทนทานของร่างกายและหัวใจเริ่มเพิ่มขึ้น สามารถเดินใด้ 1 ชั่วโมงด้วยความเร็ว 7 กมต่อชมติดต่อกัน 1 ชมโดยไม่หยุดพักและไม่เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด ชีพจรเต้นอยู่ที่115_120 bpm ,O2 ใด้ 97-98% และทำงานในสวนได้สามสี่ชั่วโมงโดยไม่เหน็ดเหนื่อย สามารถยกของหนัก_ลากของหนักใด้เต็มศักยภาพโดยไม่มีอาการ

12).. ตอนนี้คุณภาพชีวิตดีกว่าก่อนจะตรวจพบโรค ผลเลือดทุกค่าดีหมด HDLครั้งสุดท้ายคือ 54 ครั้งแรกในรอบ 68 ปี อีกทั้งผลรายงานตรวจด้วยเครื่อง biofeedback วิเคราะห์หลอดเลือดแดงและการไหลเวียนก็ออกมาดี_ดีมาก 

13).. การเปลี่ยนวิถีชีวิตต้องมีความศรัทธาในคุณหมอสันต์และองค์ความรู้เรื่อง PBWF ต้องเชื่อว่าถ้าทำแบบนี้แล้วชีวิตสามารถย้อนกลับใด้ 

14).. ผลย่อมเกิดจากเหตุ _ กลัวเป็นภาระแก่คนรอบข้างจึงทำให้ต้องมีวินัยเคร่งครัดในการกินอยู่ 

ทั้งหมดนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังลังเลว่าจะไปห้องผ่าตัดดีหรือจะไปตลาดผักผลไม้ดี 

ขอบคุณ

  1. ภรรยาและครอบครัว
  2. คุณหมอสันต์และคณะทุกท่าน
  3. ผู้ที่ผลิต ถั่ว_งา_นัท_พืชผักผลไม้ทั้งหลาย 
  4. ยมบาล..ที่ยังให้โอกาส

___________________

      ด้วยความเคารพ ….

[อ่านต่อ...]

10 กุมภาพันธ์ 2566

เลือดออกง่ายและตรวจพบภูมิคุ้มกันทำลายตนเองหลังป่วยเป็นโควิด19

(ภาพวันนี้: ไก่ดำ ในดงพวงแสด)

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

หนูอายุ 51 ปี มีอาการจ้ำเลือดออกตามตัวหลังป่วยเป็นโควิดได้ 2 เดือน ไปตรวจสุขภาพที่รพ. .. หมอตรวจเลือดดูการทำงานของเกล็ดเลือดและ factor 8 แล้วพบว่าปกติ ได้ส่งไปให้หมอโรคข้อ ซึ่งตรวจพบว่าหนูเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์เพราะมี ANA ได้ผลบวก แต่ไม่ได้ให้ยารักษา ได้แต่ให้ยาลดไขมัน แล้วนัดทั้งที่หมอโลหติและหมอรูมาตอยด์ทุก 3 เดือน ทำให้เกิดความกังวลสับสน ว่าตัวเองเป็นอะไร เป็นเพราะโควิดใช่ไหม ต้องทำตัวอย่างไร ต้องไปหาหมอเจาะเลือดทุกสามเดือนไหม เพราะไปทีหนูก็ประสาทกินที

ขอบพระคุณค่ะ

………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าการติดเชื้อโควิด หรือการฉีดวัคซีนโควิดทำให้เลือดออกง่ายขึ้นได้หรือไม่ ตอบว่าได้สิครับ งานวิจัยติดตามดูผู้ป่วยโควิด 19 พบว่ามีโอกาสเกิดความผิดปกติของระบบโลหิตวิทยาในระยะยาวได้มากกว่าคนที่ไม่เคยเป็นโรค แต่เกิดในเปอร์เซ็นต์เป็นที่ต่ำมาก เกิดได้ทั้งแบบเกิดลิ่มเลือดอุดตันง่ายขึ้น (thrombotic) และแบบเลือดออกง่าย (hemorrhagic) โดยส่วนใหญ่มักเป็นแบบแรกมากกว่าแบบหลังจนต้องมีงานวิจัยทดลองใช้ยากันเลือดแข็งป้องกันหลังป่วยเป็นโควิด 19 (ซึ่งก็ยังสรุปผลไม่ได้ว่าควรใช้หรือไม่ควรใช้)

2.. ถามว่าปัญหาทางโลหิตวิทยาหลังการติดเชื้อโควิดนี้ต่อไปจะเป็นรุนแรงแค่ไหน จะลากยาวไปนานแค่ไหน ตอบว่าคนจะตอบคำถามนี้ได้ตอนนี้มีคนเดียว คือพระพรหมครับ หิ หิ เพราะตอนนี้ยังไม่มีสถิติมากพอที่จะสรุปอะไรได้ ต้องตามลุ้นไปทีละคนแบบทีละวันครับ ข้อมูลที่มีพอจะสรุปเบื้องต้นได้ว่าหากพ้น 6 เดือนไปแล้ว ปัญหาจะอยู่ในทิศทางลดความรุนแรงลงและลดความถี่ลง ซึ่งข้อมูลนี้น่าจะพอทำให้คุณสบายใจได้

3.. ถามว่าการติดเชื้อโควิดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองเช่น ANA ให้เป็นผลบวกได้ไหม ตอบจากงานวิจัยหนึ่งว่าได้ครับ งานวิจัยนี้เปรียบเทียบระหว่างคนเป็นโควิดกับคนไม่เป็นพบว่าคนเป็นโควิดมีภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่ตรวจพบในรูปแบบของ ANA เพิ่มขึ้นมากกว่าคนไม่เป็น ยิ่งมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด (SARS‐CoV‐2‐specific antibody) มากก็ยิ่งมี ANA มาก

4.. ถามว่าตรวจพบ ANA ได้ผลบวกโดยไม่มีอาการปวดข้อจะเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้ไหม ตอบว่าการวินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นการวินิจฉัยโดยให้คะแนนตามเกณฑ์ เน้นที่การมีอาการปวดข้อ ดังนั้นคำวินิจฉัยมันจึงดิ้นได้ ยกตัวอย่าง ถ้าจำนวนข้อที่มีการอักเสบ ถ้าข้อใหญ่อักเสบ 2-10 ข้อ ได้ 1 คะแนน ถ้าข้อเล็กอักเสบ 1-3 ข้อได้ 2 คะแนน ถ้าข้อเล็กอักเสบ 4-10 ข้อได้ 3 คะแนน ถ้าข้อเล็กอย่างน้อย 1 ข้ออักเสบร่วมกับข้ออื่นๆรวมแล้วเกิน 10 ข้อขึ้นไปได้ 5 คะแนน ถ้าผลตรวจเลือดเช่น RF หรือ ACPA ได้ผลบวกก็ได้อีก 2-3 คะแนน ถ้า ESR สูงก็ได้อีก 1 คะแนน ถ้าปวดข้อมานานเกิน 6 สัปดาห์ก็ได้อีก 1 คะแนน ถ้า EST สูงก็ได้อีก 1 คะแนน จากคะแนนเต็มสิบหากนับรวมแล้วได้เกิน 6 ก็วินิจฉัยว่าเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ หิ หิ อย่างกับวิชากฎหมายเลยนะ ในภาพใหญ่ผมแนะนำว่าการบังเอิญตรวจเลือดพบ ANA ได้ผลบวกโดยไม่มีอาการอะไร ยังวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ไม่ได้ครับ

5.. ถามว่าต้องไปติดตามเจาะเลือดตรวจกับหมอโรคข้อและหมอโลหิตวิทยาทุก 3 เดือนไหม ตอบว่าเอาแบบที่คุณชอบเลยครับ ถ้าไม่มีอาการอะไรแล้วก็ไม่ต้องไปติดตามก็ได้ หมอเขานัดก็ขอเลิกนัดไปอย่างสุภาพว่าเราไม่สะดวก หมอเขาต้องนัดเพราะมันเป็นมาตรฐานการทำงานที่จะต้องติดตามดูผู้ป่วย ติดตามดูถึงตายได้ยิ่งดี แต่เราไม่ต้องไปเต้นตามหมอดอก เราเอาแค่พอเหมาะตามดุลพินิจและตามความสะดวกของเราก็พอแล้ว เพราะแม้เราขยันไปเจาะเลือดได้ผลออกมาอย่างโน้นอย่างนี้ก็ใช่ว่าหมอเขาจะเปลี่ยนแผนการรักษาตราบใดที่เรายังไม่มีอาการผิดปกติอะไร โถ ก็วงการแพทย์ยังไม่มีความรู้เลยว่าปัญหาทางโลหิตวิทยาหรือการเกิดภูมิคุ้มกันทำลายตนเองหลังเป็นโควิดนี้มันเกิดจากอะไรระยะยาวมันจะเป็นยังไงต่อไปแล้วจะไปรู้เรอะว่าจะรักษามันอย่างไร อย่างดีหมอเขาก็ช่วยบรรเทาอาการ ถ้ามีอาการ แต่ถ้าเราไม่มีอาการก็ไม่มีอะไรจะให้หมอเขาช่วยบรรเทา เว้นเสียแต่ว่าเราอยากไปหาหมอด้วยเหตุอื่น

พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อย สมัยผมยังหนุ่มทำงานเป็นหมอหัวใจที่รพ.ราชวิถี ผมบอกคุณป้าท่านหนึ่งว่า

“ปัญหาของคุณป้ามันนิ่งดีแล้ว ไม่ต้องขยันมาหาหมอแล้วก็ได้” เธอตอบว่า

“ไม่เป็นไรหรอกค่าคุณหมอ อิฉันอยู่บ้านมันก็ไม่มีอะไรทำ”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

6. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกัน คือปัญหาโลหิตวิทยาไม่ว่าจะลิ่มเลือดก่อตัวหรือเลือดออกตามหลังการฉีดวัคซีนโควิด19 ว่าก็มีได้เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้วงการแพทย์ทราบอุบัติการณ์เกิดแน่ชัดแล้วว่าเกิดได้แต่ในอัตราการเกิดที่ต่ำมาก เช่นข้อมูลของศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ (CDC) บ่งชี้ว่าโอกาสเกิดลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นในหลอดเลือดดำของสมอง (cerebral venous thrombosis) ซึ่งเป็นรูปแบบที่รุนแรงที่สุดถึงตายได้นั้นมีโอกาสเกิดเพียง 2.5 – 3.2 ต่อ 100,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเกิดที่ต่ำ ถามว่าแล้วจะคุ้มกับประโยชน์ที่จะได้จากการฉีดวัคซีนไหม ซึ่งวัคซีนที่ผลิตมาในยุคหวู่ฮั่นเมื่อเอามาฉีดในยุคโอไมครอนประโยชน์ที่ได้มันก็ต่ำเหมียนกัลล์ เมื่อประโยชน์ต่ำชั่งน้ำหนักแข่งกับความเสี่ยงต่ำ มันก็สุดแล้วแต่ท่านชอบละครับว่าจะฉีดหรือไม่ฉีด หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Payne AB, Adamski A, Abe K, Reyes NL, Richardson LC, Hooper WC, Schieve LA. Epidemiology of cerebral venous sinus thrombosis and cerebral venous sinus thrombosis with thrombocytopenia in the United States, 2018 and 2019. Res Pract Thromb Haemost. 2022 Mar 7;6(2):e12682. doi: 10.1002/rth2.12682. PMID: 35284775; PMCID: PMC8901465.
  2. Taeschler P, Cervia C, Zurbuchen Y, Hasler S, Pou C, Tan Z, Adamo S, Raeber ME, Bächli E, Rudiger A, Stüssi-Helbling M, Huber LC, Brodin P, Nilsson J, Probst-Müller E, Boyman O. Autoantibodies in COVID-19 correlate with antiviral humoral responses and distinct immune signatures. Allergy. 2022 Aug;77(8):2415-2430. doi: 10.1111/all.15302. Epub 2022 Apr 8. PMID: 35364615; PMCID: PMC9111424.

[อ่านต่อ...]

08 กุมภาพันธ์ 2566

มะเร็งเต้านมถ้าไม่กินทามอกซิเฟนไม่ฉายแสงจะกินเจจริงจังและนั่งสมาธิแทนได้ไหม

(ภาพวันนี้ : ต้นรังหน้าบ้านลุงดอนเปลี่ยนสี เป็นเครื่องหมายบอกถึงลี่ชุน..ฤดูใบไม้ผลิ)

เรียน อ. สันต์ ที่เคารพอย่างสูง
หนูอายุ 56 ปี อาชีพแพทย์ ยังมีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ไปตรวจ mammogram ultrasound เมือ่เดือนพฤศจิกายน 2565 เจอก้อนที่เต้านมข้างขวา  ทำ biopsy ผลเป็นมะเร็ง invasive CA ผ่าตัดตัดก้อนที่เต้านม เลาะต่อมน้ำเหลือง 6 ต่อมเมื่อวันที่ 17 มค 2566 ผล patho เป็น ductal carcinoma ไม่ลามต่อมน้ำเหลือง ก้อน 0.8 cm มี ER positive 81-90 %,PR positive 31-40%,Her 2 negative, Ki 67 positive 10 % สรุปคือจัดอยู่ใน luminal A state 1
การรักษาต้องได้รับ tamoxifen 5 ปี ไม่ต้องคีโม แต่ฉายแสงรอพบแพทย์ฉายแสงแต่น่าจะต้องทำค่ะ
หนูกลัวการกินยา tamoxifen มาก ได้รับยามาแล้วแต่ยังไม่กล้ากินค่ะ เพราะเป็นคนแพ้ยาเยอะ
เรียนปรึกษาอาจารย์ว่าถ้าหนูปรับมากินพืชผักผลไม้จริงจัง ลดเนื้อสัตว์ ทำจิตใจ จะไม่กิน tamoxifen และไม่ฉายแสงได้มั้ยคะ ใจนึงก็กลัวมะเร็งกลับเป็นซ้ำ ใจนึงก็กลัวผลข้างเคียงยาค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ
ส่งจาก iPhone ของฉัน

…………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าเป็นมะเร็งเต้านมแล้วหากเปลี่ยนอาหารมากินมังสวิรัตินั่งสมาธิจะให้ผลการรักษาดีเท่าการกินยาทามอกซิเฟนควบกับการฉายแสงไหม ตอบว่ายังไม่เคยมีใครทำวิจัยประเด็นนี้ไว้แม้แต่ชิ้นเดียวนะครับ ผมจึงตอบคำถามนี้ไม่ได้

2.. ถามว่าการกินยาทามอกซิเฟนในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนโดยมะเร็งยังไม่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง จะดีกว่ากินยาหลอกสักแค่ไหน คุ้มค่าหรือไม่ที่จะกิน ตอบว่าหากกินยานาน 2 ปี พบว่าอัตราปลอดโรคใน 4 ปีคือ 73% ถ้ากินทามอกซิเฟน และ 52% ถ้ากินยาหลอกครับ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่มีนัยยะ เมื่อเทียบกับพิษภัยของยาซึ่งมีน้อยกว่าประโยชน์ที่จะได้ วงการแพทย์ทั่วไปจึงยอมรับว่าการให้ยาทามอกซิเฟนเป็นมาตรฐานการรักษาในกลุ่มนี้ครับ

3.. ถามว่าการฉายแสงเฉพาะที่สำหรับคนเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 1 ที่ไม่แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองเมื่อเทียบกับไม่ทำจะต่างกันแค่ไหน ตอบว่างานวิจัยที่เป็นต้นแบบเรื่องนี้คือ The Early Breast Cancer Trial Collaborative Group ซึ่งให้ผลว่าการฉายแสงจะลดการกลับเป็นในสิบปีลงจาก 25% เหลือ 8% ซึ่งก็ถือว่าเป็นประโยชน์ที่มีนัยยะหากคำนึงถึงพิษภัยของการฉายแสงเฉพาะที่ซึ่งไม่ได้มากมายอะไรนัก และวงการแพทย์ก็ยอมรับเป็นมาตรฐานมาจนปัจจุบันว่ามะเร็งระยะที่ 1 ที่ไม่ลามไปต่อมน้ำเหลือง หากไม่ผ่าตัดเต้านมออกแบบราพณาสูร ก็ควรทำการฉายแสงควบหลังการผ่าตัดเสมอไป

4.. ถามว่าแล้วคุณหมอควรจะทำอย่างไรต่อไป ตอบว่า เออ มันก็ต้องเลือกไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแล้วแหละครับ ทางเลือกในการรักษาจากนี้ไปก็คือจะกินยาทามอกซิเฟนควบฉายแสง หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว หรือไม่ทำอะไรซักอย่าง

ผมเป็นแพทย์แผนปัจจุบันก็แนะนำได้แค่เท่าที่มีหลักฐานวิจัยสนับสนุนเท่านั้น ว่าคุณหมอควรกินยาทามอกซิเฟนควบกับการฉายแสงเฉพาะที่ครับ นี่เป็นทางเลือกที่ผมแนะนำที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง แต่หากคุณหมอไม่ยอมรับก็คงต้องไปทางเลือกอื่นคือไม่รักษาเลย

ส่วนการเปลี่ยนอาหาร การจัดการความเครียด หลังการเป็นมะเร็งนั้น อย่าไปมองมันเป็นทางเลือกของการรักษา ให้มองว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วไม่ว่าคุณหมอจะเลือกการรักษาแบบไหนหรือเลือกที่ไม่รักษาเลย คุณหมอก็ต้องกินให้ดีอยู่ให้ดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว

5.. ข้อนี้ผมแถมให้เพราะเห็นว่าคุณหมอชอบแนวไสยศาสตร์นิดๆจึงอาจมีประโยชน์ คืองานวิจัยติดตามสำรวจสัมภาษณ์ผู้ปฏิเสธผ่าตัดเคมีบำบัดฉายแสงแต่หายจากมะเร็งได้จำนวนพันกว่าคนของดร.เคลลี่ สรุปได้ว่าปัจจัยที่ทำให้หายสูงสุด 9 อย่างได้แก่

     5.1 เปลี่ยนอาหารที่เคยกิน ไปกินอาหารที่ไม่เคยกิน ซึ่งส่วนใหญ่เน้นเพิ่มการกินผักผลไม้ เลิกเนื้อสัตว์ น้ำตาล นมวัว แป้งขัดขาว

     5.2 หันมารับผิดชอบดูแลตัวเองจริงจังโดยไม่หวังพึ่งใครอีกต่อไปแล้ว

     5.3 เชื่อและทำตามปัญญาญาณ (intuition) ของตัวเองโดยไม่ฟังคำทัดทานทักท้วงใดๆทั้งสิ้น

     5.4 ใช้พืชสมุนไพรในการรักษา

     5.5 ปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวที่ค้างคาอยู่ในใจ

     5.6 สร้างความคิดบวกและอารมณ์บวก

     5.7 เปิดรับความเกื้อกูลทางสังคมจากคนอื่น

     5.8 หันกลับไปหารากเหง้าทางจิตวิญญาณของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือความเชื่อก็ตาม

     5.9 บอกตัวเองได้อย่างหนักแน่นว่าทำไมจะต้องมีชีวิตอยู่ ทำไมจะต้องไม่ตาย

     กลไกของทั้ง 9 วิธีมันทำให้มะเร็งหายได้อย่างไรไม่มีใครทราบ ได้แต่เดาเอาว่ามันทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้นจนทำลายเซลมะเร็งได้หมด แต่ว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่หลักฐานระดับเรื่องเล่า คือไม่มีผลวิจัยเปรียบเทียบยืนยันนะครับว่าหากทำทั้งเก้าวิธีนี้จะลดอัตราตายได้มากกว่าไม่ทำจริงหรือเปล่า หากลดได้จริงลดได้กี่เปอร์เซ็นต์ วิธีการเหล่านี้จึงไม่อาจใช้แทนวิธีมาตรฐานคือผ่าตัดฉายแสงและยาทามอกซิเฟนได้ อย่างดีที่สุดก็ควรใช้เป็นวิธีร่วมรักษา..ถ้าใจเราชอบ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Cummings FJ, Gray R, Davis TE, Tormey DC, Harris JE, Falkson GG, Arseneau J. Tamoxifen versus placebo: double-blind adjuvant trial in elderly women with stage II breast cancer. NCI Monogr. 1986;(1):119-23. PMID: 3534584.
  2. Early Breast Cancer Trialists’ Collaborative Group (EBCTCG); Darby S, McGale P, Correa C, et al. Effect of radiotherapy after breast-conserving surgery on 10-year recurrence and 15-year breast cancer death: meta-analysis of individual patient data for 10,801 women in 17 randomised trials. Lancet. 2011;378:1707–1716. 
  3. Turner, KA. Radical Remission: Surviving Cancer against All Odds. New York: HarperOne, 2014.
[อ่านต่อ...]

07 กุมภาพันธ์ 2566

ล้าง plaque ในหลอดเลือดได้จริงไหม

(ภาพวันนี้: หอมหมื่นลี้)

เรียนคุณหมอสันต์

ดิฉันดูยูทูป … เรื่อง Plaque … ของคลินิกแห่งนี้ ว่าสามารถล้างทะลวงตุ่มไขมันในหลอดเลือดด้วยการฉีดสารสกัดธรรมชาติเข้าไปทางหลอดเลือด อยากเรียนถามคุณหมอสันต์ว่าดีจริงไหมและควรไปทำไหม ดิฉันแนบลิ้งค์มาด้วยค่ะ

……………………………………………..

ตอบครับ

ปกติผมไม่ตอบคำถามเรื่องสินค้าสุขภาพที่เขาหลอกขายกันในตลาดเลยนะครับเพราะกลัวเจ็บตัว แต่นี่บังเอิญเป็นเรื่องหัวใจซึ่งผมเองเป็นหมอหัวใจ หากผมไม่ทำหน้าที่ให้ความกระจ่างแก่สาธารณชนก็เท่ากับผมเพิกเฉยต่อความด่างพร้อยในวงอาชีพของตนเอง จึงได้ตอบจดหมายฉบับนี้

ประเด็นที่ 1. Plaque คืออะไร ตอบว่าพล้ากก็คือตุ่มการหนาตัวของผนังหลอดเลือดเฉพาะจุดที่เกิดจากไขมันแทรกเข้าไปในผนังของหลอดเลือด กลไกการเกิดขั้นละเอียดที่วงการแพทย์ยอมรับกันทั่วไปแล้วก็คือเมื่อกินอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง จะทำให้ไขมันชนิดเลว (LDL) ในเลือดสูงขึ้น ไขมันเลวนี้เมื่อเจอกับอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งมักมีอยู่แล้วในร่างกาย ก็จะถูกทำปฏิกริยาเคมี (oxidized) ให้กลายเป็นโมเลกุลที่เป็นพิษต่อร่างกาย (oxLDL) จนระบบของร่างกายต้องส่งเม็ดเลือดขาวชนิดมาโครฟาจมาเก็บกิน แต่เนื่องจาก oxLDL มีจำนวนมาก ตัวเซลมาโครฟาจจึงกินกันจนท้องแตกตายกองพะเนินเทินทึกเป็นศพของเม็ดเลือดขาวอยู่บนผนังหลอดเลือดนั่นแหละ กลายเป็นตุ่มไขมัน เมื่อตุ่มนี้โตขึ้นจนขัดขวางการไหลของเลือดในหลอดเลือดหัวใจได้อย่างมีนัยยะสำคัญก็จะทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกเวลาออกแรง (stable angina) หรืออาการเจ็บหน้าอกแบบไม่ด่วน ซึ่งเป็นอาการหลักของโรคหัวใจขาดเลือด และยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งมีเหตุให้เยื่อคลุมผิวพล้ากนี้แตกออก จะทำให้ลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นที่ยอดของพล้ากจนอุดตันหลอดเลือดจนเลือดไหลผ่านไปไม่ได้เลย กลายเป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute MI) หรือการเจ็บหน้าอกแบบด่วนคือเจ็บนานเกิน 20 นาทีแม้พักก็ยังไม่หาย ต้องรีบไปโรงพยาบาลที่มีศูนย์หัวใจเพื่อทำบอลลูนฉุกเฉินลูกเดียว

การจะทำให้พล้ากนี้ลดขนาดลงหรือหายไปตอนนี้มีวิธีเดียวที่มีหลักฐานวิจัยยืนยัน คือต้องเปลี่ยนอาหารมากินอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำเป็นเวลานานหลายปีแล้วทำวิจัยติดตามสวนหัวใจดูจึงพบว่าพล้ากลดขนาดลงได้ วิธีอื่นยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าลดขนาดพล้ากลงได้ครับ

ประเด็นที่ 2. มีวิธีล้างหรือลากเอาพล้ากหรือตุ่มไขมันนี้ออกมาไหม ตอบว่าปัจจุบันนี้วงการแพทย์ทั่วโลกยังไม่มีวิธีล้างตุ่มไขมันออก และยังไม่มีวิธีลากเอาตุ่มไขมันออกมาเหมือนลากกบลากเขียดออกมาจากรู ยังไม่มีครับ

ส่วนการทะลวงตุ่มไขมันที่อุดกั้นหลอดเลือดให้โล่งนั้นมีวิธีทำกันอยู่ โดยกระบวนการรักษาแบบรุกล้ำของแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งใช้เครื่องมือที่เรียกว่าหัวกรอกากเพชร (rotablator) หมุนด้วยความเร็วสูงทะลวงให้โล่ง แล้วเอาลวด stent ถ่างค่ำไว้ วิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด (PCI) ซึ่งต้องทำโดยแพทย์โรคหัวใจที่ได้รับการฝึกอบรมมาทางด้านนี้และต้องทำในโรงพยาบาลที่มีศูนย์โรคหัวใจระดับมาตรฐานมีอุปกรณ์เครื่องมือพร้อม

ประเด็นที่ 3. การโฆษณาว่าล้างพล้ากได้นี้เป็นการหลอกลวงหรือไม่ ตอบว่าตรงนี้ให้เป็นดุลพินิจของท่านผู้อ่านเองนะครับ

ผมเพียงแต่อยากขอใช้โอกาสนี้สื่อสารถึงแพทย์รุ่นหลัง ว่าในการใช้วิชาชีพแพทย์ “หากิน” นั้น ขอให้น้องๆหมั่นคำนึงถึงพระดำรัสของสมเด็จพระราชบิดา (มหิดลอดุลยเดช) บิดาของวงการแพทย์ไทย ที่ทรงเขียนไปถึงสมาชิกสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬา เมื่อปีพ.ศ. 2471 ว่า

     “….ในขณะที่ท่านประกอบกิจแพทย์ อย่านึกว่าท่านตัวคนเดียว

จงนึกว่าท่านเป็นสมาชิกของ “สงฆ์” คณะหนึ่ง คือคณะแพทย์

ท่านทำดีหรือร้าย ได้ความเชื่อถือหรือความดูถูก

เพื่อนแพทย์อื่นๆจะพลอยยินดี เจ็บร้อน อับอาย ด้วย…”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

06 กุมภาพันธ์ 2566

หลอดเลือดหดตัว ถึงตายได้เลยหรือ?

(ภาพวันนี้: ศรีตรังกับเฟื่องฟ้าที่หลังห้องนอนเวลเนสวีแคร์)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมอายุ 51 ปี เมื่อพย.65 หลังอาหารเย็นนั่งดูไอแพ็ดอยู่ ผมมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกขึ้นมาทันที รอดูตามที่คุณหมอแนะนำนาน 20 นาทีแล้วก็ยิ่งแย่เหมือนใกล้จะตาย เมียบอกผมหน้าซีดเหงื่อแตกเต็มหน้า จึงรีบไปโรงพยาบาล … หมอตรวจคลื่นหัวใจและว่าเป็น Acute MI จึงสวนหัวใจทันทีโดยให้ผมยินยอมใส่ขดลวดหรือทำบายพาสถ้าจำเป็น แต่พอสวนหัวใจไปแล้วกลับไม่พบอะไร ผมบอกหมอว่าอาการเจ็บหน้าอกผมลดลงแล้ว แต่หมอให้รีรออยู่บนเตียงผ่าตัดราวครึ่งชั่วโมงผมก็เจ็บแน่นหน้าอกขึ้นมาอีก หมอก็ฉีดสีอีก คราวนี้พบว่าหลอดเลือดข้างหน้าหดตัวตีบแคบจนสีเข้าไปไม่ได้ หมอฉีดยาขยายหลอดเลือดแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้น ผมนอนโรงพยาบาล 7 วันจึงได้กลับบ้านพร้อมกับยาอีกเพียบจากเดิมที่ไม่เคยกินยาเลย (หมดไปสี่แสน) หมอบอกว่าผมเป็นโรค Syndrome X มีการหดตัวของหลอดเลือดหัวใจ และบอกผมว่าอย่าเครียดแต่ผมเองไม่เห็นว่าผมจะเครียดอะไร ผมอยากปรึกษาคุณหมอสันต์ว่าโรคของผมนี้ควรจะปฏิบัติตัวต่อไปอย่างไรดี เพราะที่หมอโรงพยาบาลสั่งเสียมาก็มีแค่กินยาลดไขมัน ลดความดัน ยาขยายหลอดเลือด ยาแก้เจ็บหน้าอก ยาแอสไพริน ให้ลดความอ้วน และห้ามเครียด แล้วนัดทุกเดือนเหมือนการรักษาโรค heart attack ทั่วไป แต่ผมรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรที่ผมควรทำมากกว่านั้นและผมอยากมีความรู้เรื่องนี้มากขึ้นด้วย จึงขอรบกวนคุณหมอครับ

ขอบพระคุณครับ

…………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าโรค Syndrome X คืออะไร ตอบว่าชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าไม่รู้ว่ามันคืออะไร วงการแพทย์ได้แต่เดาเอาว่าคืออาการเจ็บแน่นหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดที่เกิดจากโรคในระดับหลอดเลือดฝอยที่ฉีดสีวินิจฉัยไม่ได้เพราะเรามองไม่เห็นหลอดเลือดฝอยด้วยตาเปล่า นี่เป็นมั้งศาสตร์นะ สาเหตุแท้จริงไม่มีใครทราบ

ยังมีอึกวินิจฉัยอีกคำหนึ่งอาจจะเหมาะกับกรณีของคุณมากกว่าคือคำว่า coronary spasm ซึ่งแปลว่าหลอดเลือดหัวใจหดตัวรุนแรง เพราะในกรณีของคุณนี้การสวนหัวใจครั้งที่สองมีหลักฐานชัดว่าหลอดเลือดเกิด spasm ขึ้นพอแก้ด้วยยาขยายหลอดเลือดก็หายไปชั่วคราว

2.. ถามว่าอะไรเป็นเหตุให้หลอดเลือดหัวใจหดตัวรุนแรงหรือ spasm ตอบว่าอาจแบ่งได้เป็นสามเหตุใหญ่ๆนะ คือ

2.1 กลไกการบีบและขยายหลอดเลือดโดยระบบประสาทอัตโนมัติ เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าผนังหลอดเลือดซึ่งมีสามชั้น ชั้นกลางชื่อ tunica media เป็นชั้นของกล้ามเนื้อบีบหลอดเลือดซึ่งควบคุมโดยเส้นประสาทอัตโนมัติ ซึ่งทำงานถ่วงดุลกันระหว่างขา “เร่ง (sympathetic)” และขา “หน่วง (parasympathetic)” ปัจจัยใหญ่สองตัวที่จะทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติบีบหลอดเลือดก็คือภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ (dehydration) กับภาวะเครียดหรือถูกคุกคามใกล้เลือดตกยางออก

2.2 กลไกการขยายหลอดเลือดโดยไนตริกอ๊อกไซด์ กลไกนี้เป็นกลไกที่อาจจะสำคัญที่สุดแต่คนทั่วไปไม่ทราบ กล่าวคือผนังชั้นในสุดของหลอดเลือดชื่อ endothelium ทำหน้าที่ผลิตสารเคมีชื่อไนตริกออกไซด์ ( nitric oxide) ออกมาทำให้หลอดเลือดขยายตัว ฤทธิ์ของไนตริกออกไซด์เป็นฤทธิ์ขยายตัวหลอดเลือดที่แรงที่สุดในบรรดาสารเคมีทุกชนิดที่ร่างกายมี และวงการแพทย์ใช้ไนตริกออกไซด์แก้ปัญหาวิกฤติให้แก่ผู้ป่วยหัวใจในไอซียูมานานแล้ว การที่ร่างกายจะทำการผลิตไนตริกออกไซด์ได้ดีต้องอาศัยเซลเยื่อบุที่ทำงานได้ดี มีสารอาหารที่เป็นโมเลกุลตั้งต้นการผลิตที่เพียงพอ และอาศัยการสร้างเซลต้นกำเนิดเยื่อบุใหม่ชื่อ endothelial progenitor cell (EPC) ซึ่งสร้างที่ไขกระดูกแล้วเอามาทำงานที่เยื่อบุหลอดเลือด ซึ่งทั้งหมดนี้ได้จากการกินอาหารแบบพืชเป็นหลัก

งานวิจัยหนึ่งทำที่ญี่ปุ่นตีพิมพ์ในวารสาร Atherosclerosis เอาคนญี่ปุ่นที่เกาะโอกินาวามาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินปกติ อีกกลุ่มหนึ่งส่งผักพื้นบ้านโอกินาวาให้กินถึงบ้านวันละห้าเสริฟวิ่งทุกวันนาน 2 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มกินผักมีการเพิ่มปริมาณของเซล EPC มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้นยังมีการเพิ่มระดับโปตัสเซียม แมกนีเซียม โฟเลท และลดระดับของเสียโฮโมซีสเตอีนซึ่งเป็นอีกเหตุหนึ่งของโรคหลอดเลือดได้มากกว่าอีกด้วย

2.3 การกระตุ้นโดยสารพิษที่เยื่อบุหลอดเลือด เช่น บุหรี่ ยาฆ่าหญ้าหรือยาฆ่าแมลง ไขมันในเลือดในปริมาณสูง เกลือ (sodium) ในเลือดในปริมาณสูง เป็นต้น

สรุปว่า นอกจากที่หมอเขาแนะนำให้ลดความเครียดและกินยาแล้ว สิ่งที่คุณจะทำได้ก็คือการเปลี่ยนอาหารจากการกินเนื้อสัตว์เป็นหลักมากินพืชเป็นหลัก หรือกินมังสวิรัติได้ยิ่งดี เพราะคนอย่างคุณนี้ชีวิตแขวนอยู่กับกลไกการทำงานของไนตริกออกไซด์เป็นสำคัญซึ่งกลไกนั้นต้องการอาหารพืช นอกจากนั้นยังควรระวังปัจจัยกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวอันได้แก่ (1) ร่างกายขาดน้ำ (2) ความเครียด (3) สารพิษเช่นบุหรี่ ยาฆ่าหญ้า (4) ไขมันในเลือดสูง (5) กินเกลือมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Mano R, Ishida A, Ohya Y, Todoriki H, Takishita S. Dietary intervention with Okinawan vegetables increased circulating endothelial progenitor cells in healthy young women. Atherosclerosis. 2009 Jun;204(2):544-8. doi: 10.1016/j.atherosclerosis.2008.09.035. Epub 2008 Oct 11. PMID: 19013573.

……………………………………………………….

[อ่านต่อ...]

05 กุมภาพันธ์ 2566

นพ.สันต์พาพนักงานฝึกสมาธิแบบสามประสาน

ภาพวันนี้: ทะเลหมอกที่หน้าบ้าน เดือนกุมภา)

(หมอสันต์ พาพนักงานเวลเนสวีแคร์ฝึกสติสมาธิ)

เราทำงานในแต่ละวัน บางวันเราหงุดหงิด โกรธ ไม่มีความสุข เราก็อธิบายกับตัวเองว่าเพราะเพื่อนร่วมงานคนนั้นพูดอย่างนั้นเราได้ยินแล้วจึงเป็นทุกข์ เพราะลูกค้าคนนี้พูดอย่างนี้ เราได้ยินแล้วจึงเป็นทุกข์ คือเราอธิบายกับตัวเองว่าเพราะสิ่งเร้าจากภายนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรอบตัวเรามากระทบเรา ทำให้เราเป็นทุกข์ ถ้าคนรอบตัวเราทำตัวดี เราก็คงจะเป็นสุข

ผมอยากให้พวกเราหัดมองมาจากอีกทางหนึ่งนะ ตื่นเช้ามาเราก็รู้สึกดีๆ สงบๆ อยู่ เรียกว่านิ่งๆ อยู่ตรงกลางๆ แต่พอมีสิ่งเร้าจากข้างนอกเข้ามา ใจเราก็เผลอแกว่งเข้าไปหาสิ่งนั้นถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบ หรือแกว่งหนีสิ่งนั้นถ้าเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ การแกว่งเข้าไปหาก็คือความ “อยากได้” การแกว่งหนีก็คือความอยากเหมือนกัน คือ “อยากหนี”

วิธีใช้ชีวิตให้สงบเย็นก็คือการอยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่แกว่งเข้าหาสิ่งที่ชอบ ไม่แกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ อะไรเข้ามาหา โอเค.หมด ยอมรับมันตามที่มันเข้ามา ไม่กอดรัดเอาไวเพราะกลัวมันจะจากไป ไม่ขับไล่ไสส่งให้มันรีบๆไปเร็วๆ แค่ยอมรับให้มันผ่านเข้ามา ให้มันผ่านออกไป ตามธรรมชาติของมัน อยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่แกว่งหาสิ่งที่ชอบ ไม่แกว่งหนีสิ่งที่ชัง แค่ “ยอมรับ” มันตามที่มันเป็น Acceptance นี่เป็นคีย์เวอร์ดหรือคาถาสำคัญในการใช้ชีวิต ยอมรับ หรือ Acceptance

แล้วการ “แกว่งหา” หรือ “แกว่งหนี” มันปรากฎต่อเราในรูปใดละ มันปรากฎต่อเราในรูปของความคิด ก็คือความอยากนั่นแหละ อยากได้ อยากหนี คำว่าอยากหนีอาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อเป็น กลัว กังวล โกรธ เกลียด ก็จะร้องอ๋อทันที เพราะความอยากหนึก็คือความกลัว หรือกังวล หรือโกรธเกลียดนั่นเอง

ดังนั้นหัวใจของการมีชีวิตที่สงบเย็นคือการรู้จักลดทอนอิทธิพลของความคิดไม่ให้มันใหญ่เกินไป ผมเรียกง่ายๆว่าการ “วางความคิด”

ทำไมความคิดจึงมีอิทธิพลต่อเรามาก ก็เป็นเพราะเราไปสนใจมันมาก ในชีวิตนี้อะไรก็ตามที่เราให้ความสนใจมันจะใหญ่คับฟ้าขึ้นมาทันที ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนเราสนใจและขลุกอยู่แต่ในความคิด ความคิดก็จึงใหญ่มากจนเราเองเอาไม่อยู่ หากเราหันเหความสนใจออกจากความคิดมาสนใจสิ่งอื่นที่ไม่มีพิษไม่มีภัยแทน ความคิดก็จะค่อยๆหมดพิษสงไปเอง

เรามาเริ่มด้วยเครื่องมือวางความคิดชิ้นแรกก่อนนะ คือการผ่อนคลายร่างกาย เอ้าทุกคนนั่งให้หลังตรง คราวนี้ลองสั่งให้คอบ่อไหล่ผ่อนคลาย แล้วตามไปดูว่ามันผ่อนคลายจริงหรือเปล่า ถ้ายังไม่ผ่อนคลายก็สั่งใหม่ ให้มันผ่อนคลาย relax..x เอาจนมันผ่อนคลายจริง แล้วก็มาสั่งให้หน้าผาก หัวคิ้วที่ขมวดอยู่ ให้ผ่อนคลาย แก้มสองข้างให้ผ่อนคลาย รอบๆปากให้ผ่อนคลาย ยิ้มที่มุมปากนิดๆเหมือนพระพุทธรูปในโบสถ์ ถ้ายิ้มไม่ได้ก็แสดงว่ายังไม่ผ่อนคลาย เอ้าทุกคนลองยิ้มดูซิ

เมื่อมีความคิด กล้ามเนื้อจะเกร็งตัว สองอย่างนี้คือความคิดกับการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเป็นสองด้านของสิ่งเดียวกัน เราแก้ที่ข้างหนึ่ง ก็จะมีผลต่ออีกข้างหนึ่งด้วย เมื่อเราผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ความคิดก็จะฝ่อหายไป

การผ่อนคลายกล้ามเนื้อนี้จะทำได้ง่ายขึ้นหากเราควบกับเครื่องมือตัวที่สอง คือการหายใจ เอ้าทุกคนลองหายใจเข้าลึกๆอัดลมเข้าไปเต็มๆ แล้วกลั้นนิ่งไว้สักพัก แล้วปล่อยลมหายใจออกแบบให้มันออกไปตามสบาย แล้วสั่งให้กล้ามเนื้อทั่วตัวผ่อนคลายขณะหายใจออก ทำอย่างนี้หลายๆครั้ง

จะเห็นว่าการพ่วงการผ่อนคลายกล้ามเนื้อกับการหายใจนี้ทำให้เราผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ง่ายขึ้น

คราวนี้เรามาทดลองใช้เครื่องมือตัวที่สาม คือพลังชีวิต

ชีวิตนี้ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบง่ายๆสี่ส่วนนะ คือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด (3) พลังชีวิต (4) ความรู้ตัว

ในสี่อย่างนี้ ร่างกายเรารู้จักแล้ว ความคิดเรารู้จักแล้ว ความรู้ตัวเราพอเดาได้ว่ามันก็คือความตื่นความสามารถที่จะสังเกตรับรู้อะไรได้ ส่วนที่เรายังไม่ค่อยรู้จักก็คือพลังชีวิต

วันนี้เรามารู้จักพลังชีวิตกันหน่อย พลังชีวิตก็คือพลังงานที่ขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินไปได้ ส่วนที่หยาบที่สุดของมันก็คือลมหายใจ เราสูดมันเข้ามาจากข้างนอก ถ้าเราตามดูหรือผ่าศพดูก็จะพบว่าลมหายใจเข้าไปแค่ในปอดแล้วก็กลับออกมา จบแค่นั้น แต่หากเราตามโมเลกุลของก้าซในอากาศไปก็จะพบว่าออกซิเจนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจนั้นเกาะติดไปกับเม็ดเลือดซึ่งไหลกระจายไปทั่วร่างกายแล้วออกจากเม็ดเลือดเข้าไปในเซลล์ร่างกายทุกเซลล์ ไปก่อเป็นพลังงานของเซลล์เช่นพลังงานความร้อนทำให้ตัวเราร้อนกว่าอากาศข้างนอก แล้วพลังงานนั้นก็แผ่กลับออกไปสู่ข้างนอกผ่านผิวหนังและทุกรูขุมขนออกไป

เมื่อเราสนใจพลังชีวิต เรารับรู้พลังชีวิตได้สองทาง ทางร่างกายก็รับรู้ผ่านความรู้สึกบนร่างกาย เช่นความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่า อีกแบบหนึ่งคือรับรู้ผ่านความรู้สึกในใจ เป็นความกระดี๊กระด๊า กระตือรือล้น อยากรู้อยากเห็นอยากทำ

เอ้ามาลองหันเหความสนใจจากความคิดมาอยู่กับพลังชีวิตกัน ผมจะให้ลองใช้เทคนิคที่ผมเรียนมาจากพระภิกษุท่านหนึ่งนะ ท่านตายไปนานแล้ว เทคนิคของท่านมีสามขั้นตอน คือ สูดลม กองลม กระจายลม

สูดลม ก็คือสูดหายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด

กองลม ก็คือเอาลมที่สูดเข้าไป ไปกองไว้ตรงไหนสักแห่งที่ตัวเองถนัด ตรงนี้ใช้จินตนาการช่วยนิดๆในช่วงแรกจะกองไว้ที่หัว หรือคอ หรือหน้าอก หรือท้อง ก็ได้เอาตามถนัด จะให้ดีให้อยู่ในแนวเส้นตรงของกระดูกสันหลังนะ แบบที่โยคีเขาเรียกว่าจักระนั่นแหละ เลือกเอาสักจุดที่ชอบ ขณะที่เอาลมไปกองไว้นี้ก็ต้องกลั้นหายใจด้วยนะ

กระจายลม ก็คือปล่อยให้ลมหายใจออก ผ่อนคลายร่างกาย ติดตามสังเกตรับรู้ หรือ feel ความรู้สึกเมื่อพลังชีวิตแผ่สร้างออกจากกลางตัวไปทั่วตัวผ่านทุกรูขุมขนสู่ภายนอก ในรูปของความรู้สึกวูบวาบ ซู่ซ่า หรือจิ๊ดๆจ๊าดๆเหน็บๆชาๆ และรับรู้ความรู้สึกกระดี๊กระด๊าแจ่มใสที่เกิดขึ้นในใจ

เอ้ามาลองปฏิบัติดู ตั้งกายตรง หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้นานๆ พอทำท่าจะกลั้นไม่อยู่แล้วค่อยปล่อยให้ลมมันออกมาโดยไม่ได้ขับไล่ ผ่อนคลายร่างกาย แล้วตามสังเกตความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าขณะพลังชีวิตแผ่สร้านกระจายไปทั่วร่างกาย ผ่านทุกรูขุมขนออกไปสู่ภายนอก เป็นความรู้สึกวูบวาบ ซู่ซ่า ใหม่ๆเป็นจินตนภาพ นานไปจะเป็นความรู้สึกจริงๆ

หายใจเข้าลึกๆ รับเอาพลังจากภายนอกเข้ามา เอามากองไว้ที่ใดที่หนึ่งในตัว กระจายออกไปทั่วตัวกลับสู่ภายนอก รับรู้ความรู้สึกซู่ซ่า มองเข้าไปในใจตัวเอง รับรู้ความรู้สึกมีพลัง กระดี๊กระด๊า แจ่มใส ทำซ้ำๆสักหลายๆครั้ง

คราวนี้เราจะผสมสามเทคนิคเข้าด้วยกันนะ คือ หายใจลึก ผ่อนคลายร่างกาย รับรู้พลังชีวิต วิธีทำก็คือหายใจเข้าลึกๆรับเอาพลังเข้ามา กลั้นไว้เอาลมไปกองไว้ที่หนึ่ง ยิ้ม ปล่อยลมออก ผ่อนคลาย รับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกาย และรับรู้ความรู้สึกกระดี๊กระด๊าเบิกบานในใจ

เทคนิคสามประสาน หายใจลึก ผ่อนคลายร่างกาย รับรู้พลังชีวิต นี้ใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาทุกโอกาส คิดได้เมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น

ในวันนี้ผมจะให้เวลา 5 นาที เพื่อฝึกทำเทคนิคสามประสานนี้ ผมจะตีระฆังทุกนาทีเพื่อเตือนไม่ให้ใจลอย เอาเริ่มกันเลยนะ 5 นาที ฝึกสามประสาน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]