30 กันยายน 2565

ตัวคุณหมอเองเม็ดเลือดขาวต่ำทำเอาตกใจมาก

(ภาพวันนี้: เช้าหลังฝน)

เรียนอาจารย์สันต์

ดิฉันเป็นแพทย์ นะคะ อายุ 35 ปี  มีปัญหาเรื่อง wbc ต่ำ ตอนแรกตกใจมาก wbc เหลือ 3000  แถม  Lymp  เด่น ไปปรึกษาหมอ hemato มาหลายคน แต่ได้มาอ่านบทความของอาจารย์  เลยหยุดยา omeprazole ไป ( ปกติ กินบ่อยเป็นประจำเพราะ มีปัญหา เรื่อง GERD gastritis แต่กินแล้วก็ไม่หาย  กำลังปรับพฤติกรรมการกินอยู่ค่ะ )  ไปเจาะอีกที ค่าเลือดเป็นปกติ แล้ว น่าจะเป็น จาก ยา PPI ตามที่อาจารย์บอก 
แค่อยากจะมาเขียนขอบคุณ อาจารย์ มากเลยค่ะ เกือบจะได้ไป ทำ invasive investigation อื่นๆแล้ว
— อยากให้อาจารย์เขียนบทความดีๆ อีก หนูจะรออ่านค่ะ 

ส่งจาก myMail สำหรับ Android

………………………………………………………………………..

ตอบครับ

ขอบคุณคุณหมอมากที่เขียนมาเล่า

คุณหมอไม่ได้ถามอะไร แต่ผมเอาจดหมายลงเพราะอยากให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นได้อ่านจากตัวอย่างตัวเป็นๆ ในประเด็นที่ว่า

1.. เมื่อตรวจสุขภาพประจำปี อย่าไปตื่นเต้ลล์กับเม็ดเลือดขาวต่ำระดับ 2-3000 แม้วงการแพทย์จะให้ค่าปกติไว้ 4000 เพราะหลักฐานวิจัยที่ดีมากทั้งที่อังกฤษและที่นิวซีแลนด์บ่งชี้ว่าเม็ดเลือดขาวต่ำระดับนี้ไม่สัมพันธ์กับอัตราตาย ต่างจากกรณีเม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติที่สัมพันธ์กับอัตราตายแน่นอน

2.. มนุษย์แต่ละพันธุ์เม็ดเลือดขาวสูงต่ำไม่เท่ากัน สมัยผมไปดูคนไข้ที่รพ.บริกแฮมแอนด์วีแมนที่เมืองบอลสตัน เห็นคนไข้เม็ดเลือดขาวต่ำกว่าสองพันก็รีบปรึกษาหมอโรคเลือด เขามาตบหลังว่าอย่างตื่นเต้น อย่างนี้เขาเรียกว่า  Benign Ethnic Neutropenia หรือเม็ดเลือดขาวต่ำเพราะชาติพันธุ์ เขาไม่ได้นับเป็นโรค งานวิจัยในคนผิวสี (อัฟริกัน) และคนตะวันออกกลางเป็นแบบนี้เสีย 25% to 50% น่าเสียดายที่เราไม่มีงานวิจัยในคนไทย จึงได้แต่เดาเอาว่าคงมีพอๆกับคนตะวันออกกลางแหละ

3.. คุณหมอเป็นตัวอย่างคนไข้ตัวเป็นๆว่ายาที่เรากินมันกดให้เม็ดเลือดขาวต่ำได้ ถ้ากดเบาพอหยุดยามันก็ดีขึ้น แต่ถ้ากดหนักหยุดยามันไม่ดีขึ้นก็มี นอกจากยาลดการหลั่งกรด (omeprazole) ที่คุณหมอเจอกับตัวเองแล้ว ยังมียาที่กดการสร้างเม็ดเลือดขาวอีกมาก เช่น ยาแก้ปวดแก้อักเสบข้อ (NSAID) ยาปฏิชีวนะ ทั้งกลุ่ม pennicillin (รวมทั้ง Amoxyl) กลุ่ม tetracyclin (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง minocyclin และกลุ่ม metronidazole ยารักษาความดันเลือดสูง เช่น ACE inhibitor ความจริงยารักษาความดันเลือดสูงเกือบทุกตัวรวมทั้งยาขับปัสสาวะล้วนส่งผลต่อจำนวนเม็ดเลือดขาว ยาลดกรดในกระเพาะ เช่น cimetidine ยาแก้แพ้ antihistamine ยาต้านไวรัส ไม่ว่าจะใช้รักษาตับอักเสบหรือรักษาเริม หรือแม้กระทั่งรักษาไข้หวัดใหญ่ ยาต้านซึมเศร้า เช่นยา bupropion ยาจิตเวช เช่นยา clozapine ยาต้านไทรอยด์ ทั้ง tapazol และ PTU ยากันชัก เช่น Sodium valproate ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น cyclosporine และ steroid ยาเคมีบำบัดทุกตัว แม้แต่ยาแก้ปวดพาราเซ็ตตามอลที่คนเขาชอบกินกันทั่วนี่ก็ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ นี่นับเฉพาะที่ผมนึกออกนะ ที่ผมนึกไม่ออกยังมีอีก..เพียบ

สมัยที่ผมเป็นนักเรียนแพทย์ เวลาสอบผมทำคะแนนวิชาเภสัชวิทยาแซงหน้าเพื่อนพันธ์ขี้เกียจท่องหนังสือด้วยกันตรงที่ เวลาตอบเรื่องผลข้างเคียงของยาเพื่อนเขา play safe คืออาศัยเดาแค่ คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาเกือบทุกตัว แต่ผมกล้ามากกว่าคือผมเดาว่ากดการสร้างเม็ดเลือดขาวด้วย เพราะผมรู้แกวว่ายาที่กดการสร้างเม็ดเลือดขาวมันมีเยอะ เดาไปเถอะ โอกาสผิดมีน้อยมาก หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Shah AD, Thornley S, Chung S-C, et al. White cell count in the normal range and short-term and long-term mortality: international comparisons of electronic health record cohorts in England and New Zealand. BMJ Open 2017;7: e013100. doi:10.1136/bmjopen-2016-013100

2. Reich D, Nalls MA, Kao WH, et al. Reduced neutrophil count in people of African descent is due to a regulatory variant in the Duffy antigen receptor for chemokines gene. PLoS Genet. 2009;5(1):e1000360. doi:10.1371/journal.pgen.1000360

[อ่านต่อ...]

28 กันยายน 2565

สาวน้อยปวดประจำเดือนแต่ไม่ยอมหาหมอ

(ภาพวันนี้: สนามหญ้าต่างเหรียญกำลังถูกรุกรานด้วยหญ้าคล้ายกันแต่รูปร่างสูงกว่า)

เรียนคุณหมอสันต์

หลานสาวอายุ 17 มีอาการปวดประจำเดือนมากนั่งร้องไห้เป็นวัน ฉันจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป บอกว่าจะเลือกหมอผู้หญิงให้ก็ไม่เอา รบกวนถามคุณหมอว่าฉันจะซื้อยาให้หลานสาวกินเลยโดยไม่ต้องไปหาหมอจะมีอันตรายไหมคะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

………………………………………………………….

ตอบครับ

ถามว่าหลานสาวปวดท้องเมนส์จะซื้อยาให้กินโดยไม่ไปหาหมอสูตินารีจะได้ไหม ตอบว่าได้สิครับ ตำรวจไม่จับหรอก

อ้าว.. หมอสันต์ตอบอย่างนี้จะใช้ได้หรือ บอกให้คนไข้ไปซื้อยากินเองโดยไม่ไปหาหมอ หิ หิ

คืออย่างนี้นะครับ อันว่าการปวดประจำเดือนนี้วงการแพทย์เขาแบ่งเป็นสองแบบนะครับ

แบบที่ 1. ปวดโดยไม่มีเหตุพิเศษ (primary dysmenorrhea) ซึ่งมักเป็นหลังประจำเดือนครั้งแรกไม่นาน (ไม่เกิน 6 เดือน) มักปวดอยู่นาน 2-3 วัน มักปวดบิดหรือปวดแบบเบ่งคลอด มักปวดต่อเนื่องคงที่และร้าวไปหลังขา เมื่อตรวจภายในก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

แบบที่ 2. ปวดโดยมีเหตุพิเศษ (secondary dysmenorrhea) มักมาเริ่มเอาตอนอายุ 20-30 ปี ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีเมนส์ก็ฃิลๆไม่เป็นไร หรือไม่ก็ปวดตั้งแต่ประจำเดือนครั้งแรกหรือครั้งที่สองเลย มักมีเลือดออกมากผิดปกติ หรือเลือดออกกะปริบกะปรอย เมื่อตรวจภายในมักพบเหตุผิดปกติเช่นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เป็นต้น มักไม่ค่อยสนองตอบต่อยาแก้ปวดประจำเดือนหรือยาคุมกำเนิด

การรักษาอาการปวดประจำเดือนไม่ว่าแบบไหน ควรเริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จัดการความเครียด ถ้าสูบบุหรี่อยู่ควรหยุด หากปรับวิธีใช้ชีวิตแล้วไม่ดีขึ้น ในกรณีที่เป็นการปวดประจำเดือนแบบไม่มีเหตุพิเศษในผู้ป่วยอายุน้อย อาจให้กินยาแก้ปวดประจำเดือน (เช่นยา Diclofenac, Ibuprofen, Ketoprofen, Meclofenamate, Mefenamic acid, Naproxen เป็นต้น) ไปได้ก่อนเลยโดยไม่จำเป็นต้องตรวจภายใน นี่เป็นหลักวิชาสากลเลยนะครับ เพียงแต่ว่าการจะให้ยากิน ตามหลักก็ควรจะไปให้หมอสั่งยาให้

แต่ในชีวิตจริง สมมุติว่าคุณพาหลานไปหาหมอแล้วบอกหมอว่า

“อิฉันจะให้หมอสั่งยาให้หลานอิฉันโดยไม่ให้หมอตรวจภายใน”

คุณคงนึกออกนะว่าหมอเขาจะตอบคุณว่าอย่างไร

ดังนั้นผมจึงแก้ปัญหาให้คุณแบบชีวิตจริง เพราะที่นี่คือประเทศไทย ใครใคร่ซื้อยาอะไรก็มีขายหมดทำไมเราไม่ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เสียเลยละ อีกอย่างหนึ่งยาแก้ปวดประจำเดือนที่ผมให้รายชื่อไว้ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นยาที่ FDA อนุญาตให้ใช้แก้ปวดประจำเดือนทั้งสิ้น ดังนั้นคุณซื้อให้หลานกินได้ ต่อเมื่อกินยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีเหตุอื่นชวนให้สงสัยว่าจะมีสาเหตุพิเศษ คุณค่อยกล่อมหลานให้ไปหาหมอเพื่อรับการตรวจภายในก็ยังไม่สายหรอกครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Ferries-Rowe E, Corey E, Archer JS. Primary Dysmenorrhea: Diagnosis and Therapy. Obstet Gynecol. 2020 Nov. 136 (5):1047-1058. 

[อ่านต่อ...]

27 กันยายน 2565

มอร์ฟีนในวาระสุดท้ายของชีวิต คุณเป็นแบบไหนในสองแบบ

(ภาพวันนี้: สังกรณี ใบมัน)

เรียนอาจารย์หมอสันต์ที่เคารพ

คุณยายหนูอายุ 91 ปี ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยทานข้าว ไม่ดื่มน้ำ ร่างกายซูบผอมลงมาก ยังพูดคุยได้บ้าง แต่บางวันก็เหนื่อยมาก ลูกๆ ตัดสินใจพาไปใส่ NG tube เพื่อฟีดอาหาร หนูจำได้ว่าคุณหมอพูดในแคมป์ SR ว่าคนแก่มาก เมื่อใกล้ถึงวาระสุดท้าย จะไม่อยากรับอาหาร อย่าพาไปใส่สายและบังคับให้อาหารนะ หนูเลยพยายามเบรคที่บ้าน แต่เนื่องจากเป็นรุ่นหลาน ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณแม่และพี่น้องของคุณแม่ตัดสินใจพาไปใส่สาย แต่คุณยายเมื่อได้อาหารทางสายแล้วก็ท้องเสียตลอด ไม่ได้ออกจาก รพ. เสียที จนไปๆ มาๆ ก็มาติดโควิด ตอนนี้อาการเหนื่อย หอบ บางช่วง sat ต่ำ มี secretion เยอะ เมื่อคืนต้องเอาเข้า ICU หมอถามว่าถ้าต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเจาะคอในอนาคต ร่วมกับให้มอร์ฟีนเพื่อให้คนไข้ไม่ทรมาน ทางญาติเห็นว่าอย่างไร

หนูเลยอยากขอปรึกษาอาจารย์หมอสันต์ เพราะจำได้ว่า อาจารย์พูดขั้นตอนแบบนี้เลย ว่าสุดท้ายหมอก็ต้องให้มอร์ฟีนคนไข้ แล้วคนไข้ก็ต้องจากไปแบบไม่มีสติ…หนูอยากถามว่า ในวาระสุดท้ายของตัวเราเอง และคนใกล้ชิด หากว่าเค้ามีความทรมาน ทุรนทุราย เราควรให้หมอให้มอร์ฟีนเพื่อให้คนไข้เกิดความสงบ หรือปล่อยให้เค้าทรมานและเสียไปตามธรรมชาติคะ จะปล่อยให้ทรมาน ลูกหลานก็ไม่สบายใจ ทนดูไม่ได้ แต่ถ้าให้ยา สติก็คงไม่เต็มร้อย เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากมาก รวมถึงอยากทราบไว้เป็นแนวทางเผื่อตัวเองในวาระใกล้ตายด้วยค่ะ 

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

……………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าอายุมากได้ที่แล้วใกล้เสียชีวิต หมอให้เลือกว่าจะต้องเจาะคอ ใส่เครื่องช่วยหายใจ และให้มอร์ฟีน ควรจะตัดสินใจเลือกเอาดี หรือไม่เอาดี ตอบว่าก็แล้วแต่นโยบายส่วนตัวของคนไข้แต่ละคนสิครับ กองเชียร์ไม่เกี่ยว เจ้าตัวอยากได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้นเลย ถ้าเป็นคนรุ่นคุณก็ยิ่งง่าย เขียนไว้เป็นเจตนารมณ์ก่อนตาย (advance directives) เป็นตัวหนังสือใส่ซองไว้ให้ลูกหลานเลย กฎหมายไทยก็รองรับ คนอยู่ข้างหลังจะไม่ลำบากใจ หมอก็ไม่อิดออด เพราะหมอต้องทำตามกฎหมายว่าเจตนารมณ์ก่อนตายของคนไข้เป็นสิ่งที่หมอพึงทำตามนั้น

แม้ผู้ป่วยที่ไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ก่อนตายไว้ แพทย์ก็ยังพยายามทำตามที่ตัวผู้ป่วยต้องการ เช่นใส่มอร์ฟีนในน้ำเกลือไว้ แล้วให้ผู้ป่วยหมุนหยดช้าเร็วเอาเองตามใจชอบ อยากได้น้อยก็หมุนให้น้ำเกลือหยดช้าลง อยากได้มากก็หมุนให้หยดเร็ว ไม่อยากได้เลยก็ขอให้หมอหยุดซะ

2.. ถามว่าตัวเองแม้ตอนดีๆอยู่นี้ก็ยังตรองไม่ตกเลยว่าจะเอาอย่างไรดี จึงถามหมอสันต์ว่าจะเอาอย่างไรดี ตอบว่ามันขึ้นอยู่กับคุณเป็นคนที่มีสติดีแค่ไหน ผมแบ่งเป็นสองแบบนะ

แบบที่หนึ่ง ผมแนะนำว่าตัวคุณตอนนี้อายุยังน้อย ให้ฝึกสติให้แข็งแรงจนสามารถสังเกตเห็นความเจ็บปวดของตัวเองเป็นช็อต ช็อต ได้โดยไม่ปล่อยให้มีความคิดไปต่อยอดความปวด ถ้าฝึกได้อย่างนี้แล้วเวลาป่วยมาจริงๆมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นเราก็แค่รับรู้มันว่ามัน “ปวดหนอ” ตราบใดที่ไม่ไปคิดต่อยอด มันก็มีแต่ความปวด (pain) แต่ไม่มีความทรมาน (suffering) และความปวดนี้มันมีวิธีที่จะรับมือกับมันอยู่สองขั้นตอน

ขั้นตอนแรก คือยอมรับมัน (stage of acceptance) คือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเมื่อปวด อย่าไปเกร็งสู้ ยอมรับยอมแพ้ลูกเดียว

ขั้นตอนที่สอง คือเปลี่ยนพลังความปวดเป็นพลังชีวิตของเราเสียเลย คือตัวความปวดมันเป็นพลังงานที่แปลกแยกไม่เข้ากับพลังปกติของชีวิต พอยอมรับมันได้เราจะรวมมันเข้ากับพลังชีวิตของเราได้ มันก็จะกลายเป็นความซู่ซ่ามีพลัง (stage of joy)

ถ้าคุณฝึกตัวเองมาได้ขนาดนี้ เวลาตายรับประกันไม่มีคำว่าทรมาน ไม่มีทุรนทุราย คุณจะผ่านไปได้อย่างสงบ กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และตายไปอย่างมีสติแบบช็อตต่อช็อต ไม่ว่าจะปวดมากปวดน้อย โดยไม่ต้องใช้ตัวช่วยอะไรทั้งสิ้น

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นแค่คำสอนหรือแค่ลมปากนะ มันเป็นของจริงที่ผมกลั่นมาจากประสบการณ์ของตัวเอง ตอนผมป่วยหนักเมื่อปีกลาย ผมหลังหัก สะโพกหัก แขนหักสองข้าง ต้องนอนเปลตัก(ทำด้วยโลหะ)เพื่อย้ายจากรพ.หนึ่งไปอีกรพ.หนึ่ง หมอเข้ามาจะฉีดมอร์ฟีนให้ ผมขอบคุณและบอกหมอไปอย่างสุภาพว่าไม่ต้องดีกว่าครับเพราะผมไม่ปวด ความจริงผมปวดมากและรู้ตัวว่าผมกำลังจะช็อกเพราะเลือดตกข้างใน ผมพยายามบอกหมอ (แพทย์ฝึกหัดที่ห้องฉุกเฉิน) เพื่อให้ท่านเร่งน้ำเกลือแต่ท่านก็เห็นว่าน้ำเกลือที่ให้ 200 หยดต่อนาทีนี่มันก็เร็วมากแล้ว ท่านคงคิดว่าแก่ๆขนาดนี้ให้เร็วกว่านี้ท่านคงกลัวหัวใจผมไม่ดีจะเป็นน้ำท่วมปอดท่านจึงไม่ยอมเร่งน้ำเกลือให้ ผมก็จึงไม่กล้าให้ท่านฉีดมอร์ฟืน เพราะกลัวว่าเมื่อยาทำให้หลอดเลือดขยายตัวแล้วผมจะช็อกกลางทางจากเลือดไม่พอไหลเวียน คนที่กระดูกหักไม่รู้กี่ท่อนต่อกี่ท่อน นอนบนพื้นเตียงโลหะแข็งๆ กระด๊อก กระแด๊ก ขณะรถวิ่งหนึ่งชั่วโมง ปวดแค่ไหนคุณคงเดาได้ แต่ผมก็ใช้หลักที่ผมบอกคุณไปแล้วนั่นแหละ มันเวอร์คดีมาก

แบบที่สอง ถ้าคุณมาถึงวาระสุดท้ายแบบคนไร้สติ หรือสติไม่แข็งแรง มีแต่ความหวาดกลัว กระวนกระวาย อยากหนีจากความจริงที่เผชิญอยู่เดี๋ยวนี้ไปให้พ้นแต่ก็ไม่รู้จะหนีไปทางไหน ปวดก็เกร็งเหงื่อแตกเหงื่อแตน ปากร้องด้วยความกลัวตาย หรือออกอาการตื่นตระหนกไม่อยากตาย แบบนี้มอร์ฟีนคือสิ่งเดียวที่พระเจ้าประทานมาให้เลยละ จะให้ดีคุณกระซิบบอกหมอว่าขอแบบโอเวอร์โด้สสักหน่อยก็ยิ่งดี เพราะถ้าคุณเข้ามาสู่โมเมนต์สุดท้ายของชีวิตแบบไร้สติ ไม่มีอะไรดีกว่าขอหมอเขาให้รีบๆฉีดยาหนักๆให้คุณหลับๆไปซะ อย่างน้อยคนอยู่หลังเขาจะได้ไม่เครียดกับคุณมาก แต่ตัวคุณเองจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่างไหนจะดีกว่ากันหากได้ยากับหากไม่ได้ยานั้น ผมเดาว่าไม่ต่างกันหรอก เพราะการที่ไม่ได้ฝึกสติมา ได้ยาหรือไม่ได้ยาคุณก็จะจบชีวิตแบบคนสติแตก..เหมียนเดิม

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 กันยายน 2565

ปัสสาวะเข้มทั้งๆที่ดื่มน้ำมาก..เป็นดีซ่านอะสิครับ

(ภาพวันนี้: ในเรือนเพาะชำอันรกรุงรังของหมอสันต์)

คุณหมอสันต์ครับ

ผมอายุ 61 ปี อยู่คนเดียว เพราะลูกๆเขาพ้นอกไปหมดแล้ว วันนี้ผมปัสสาวะแล้วเอะใจว่าทำไมสีมันเข้มผิดสังเกตทั้งๆที่ผมเป็นคนมีนิสัยจงใจดื่มน้ำมากเป็นประจำจนตัวเองไม่มีโอกาสได้กระหายน้ำเลย ผมรอดูตัวเองหลายชั่วโมงโดยดื่มน้ำมากไปด้วย ปัสสาวะก็ยิ่งเข้ม ต่อมาก็เกิดอาการท้องเสียนิดๆ จึงกินยาปฏิชีวนะ แต่กลับมีอาการแปลกๆเพิ่มขึ้นมาคือคลื่นไส้อาเจียนบางครั้งเหมือนมึนๆงง มันเกี่ยวกับที่ปัสสาวะผมเข้มขึ้นทันทีทันใดหรือเปล่าครับ ต้องทำอะไรเป็นพิเศษไหมครับ

…………………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าดื่มน้ำมากเป็นประจำอยู่มาวันหนึ่งเกิดปัสสาวะสีเข้มขึ้นทันทีปึ๊ด..ด ทั้งที่ร่างกายไม่ได้ขาดน้ำเป็นอะไรไหม ตอบว่าก็เป็น “ดีซ่าน” อะสิครับ สีของปัสสาวะที่เข้มขึ้นทันทีทันใดโดยร่างกายไม่ได้ขาดน้ำนั่นคือสีของน้ำดี

วิธีวินิจฉัยยืนยันด้วยตัวเองต้องอาศัยตรวจอาการแสดงที่นักเรียนแพทย์เรียกว่า Hagta Sign หรือ “แหกตา” ดู คือให้คุณไปที่กระจกเงา เงยหน้าขึ้นเหลือบตาลงมองดูตัวเองในกระจกแล้วเอามือปลี้นหรือแหกหรือยกหนังตาบนขึ้นให้เห็นตาขาวส่วนที่ไม่เคยโดนแดดที่อยู่เหนือลูกตาดำ ปกติมันควรจะเป็นสีขาวจั๊วะ หากมันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ๋อยก็นั่นแหละ..แบบนี้บ้านๆเรียกว่าดีซ่าน การวินิจฉัยยืนยันด้วยวิธีแหกตานี้ ให้ดูเฉพาะตาขาวส่วนที่ปกติไม่โดนแสงแดดนะ คือส่วนตาขาวเหนือลูกตาดำ ส่วนตาขาวที่อยู่ข้างๆลูกตาดำซึ่งโดนแสงแดดเป็นประจำ ปกติมันก็เหลืองของมันอยู่แล้ว ใช้วินิจฉัยไม่ได้

2.. ถามว่าเมื่อวินิจฉัยว่าตัวเองเป็นดีซ่านแล้วควรทำอย่างไรต่อไป ตอบว่าก็ต้องไปหาหมอสิครับ เพราะน้ำดีปกติมันเป็นของดี ถ้ามันไม่ซ่าน หมายถึงว่ามันอยู่ในที่ตั้งของมันคือในท่อน้ำดีและถุงน้ำดี แต่ถ้ามันซ่านคือมันออกมาในกระแสเลือด มันไม่ใช่เรื่องดีเสียแล้ว เพราะสาเหตุมักเกิดจากอย่างใดอย่างในสามอย่างซึ่งล้วนไม่ใช่เหตุดี คือ

(1) เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัส หรือจากสารพิษใดๆก็ตาม ทำให้น้ำดีคั่ง (cholestatic) ในตับ

(2) เม็ดเลือดแดงแตก (hemolytic) เฉียบพลันจากการเป็นคนขาดเอ็นไซม์ G6PD หรือเหตุอื่นที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย เพราะต้นกำเนิดของน้ำดีก็คือเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุและทะยอยแตกตายไปตามปกติ แต่ถ้ามันรวมหัวกันแตกพร้อมๆกันตูมเดียวมันก็กลายเป็นดีซ่าน

(3) มีการอุดกั้น (obstructive) ทางเดินน้ำดีเฉียบพลัน อย่างเบาๆก็จากก้อนนิ่วกลิ้งมาอุด แต่อย่างหนักก็เป็นมะเร็งของท่อน้ำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งปากท่อน้ำดี (Ca ampula of Vater)

ทั้งสามเรื่องนี้ล้วนเกินปัญญาที่คนทั่วไปจะวินิจฉัยแยก หรือวินิจฉัยยืนยัน แล้วรักษาตัวเองได้ ถ้าทิ้งไว้นานสิ่งที่จะตามมาคือตับวาย แล้วก็ไตวาย แล้วก็สมองวาย แปลว่าตาย เด๊ดสะมอเร่ ดังนั้น รีบไปหาหมอดีที่สุดครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

22 กันยายน 2565

สร้างสรรค์เป็นอย่างไรคะ

(ภาพวันนี้: สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตทุกวันนี้คือ..ความมืด)

คุณหมอคะ

ดูรายการเจาะใจตอนของคุณหมอ ท้ายรายการมีประเด็นว่าผู้อยู่ในวัยเกษียณ เป้าหมายคือใช้ชีวิตแต่ละขณะ ให้ สงบเย็น และสร้างสรรค์  รบกวนคุณหมอขยายความคำว่าสร้างสรรค์  และยกตัวอย่างประกอบด้วยได้มั้ยคะ  เท่าที่ดิฉันคิดได้ การไม่สร้างปัญหาให้กับคนรอบข้าง ช่วยให้คนอยู่ใกล้เราสบายใจ ถือว่าอยู่ในคำนี้มั้ยคะ หรือต้องทำออกมาเป็นชิ้นงานที่จับต้องได้คะ

………………………………………………………..

ตอบครับ

ถามว่าที่หมอสันต์ให้ใช้ชีวิตไปทีละขณะอย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ เฉพาะคำว่าสร้างสรรค์ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าอยู่แบบเจี๋ยมเจี้ยมไม่สร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างใช่ไหม ตอบว่าแหะ แหะ เรากำลังพูดถึงสินค้าคนละสะเป๊กกันนะครับ

ก่อนอื่นมาพูดถึงการทำลายกับการสร้างสรรค์ก่อนว่าแต่ละอันมันมีรากมาจากไหน การทำลายก็อย่างเช่นสงคราม การฆ่า การทำร้าย การผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งหมดนี้มันมีรากมาจาก identity (ตัวตน) หรือการสำคัญมั่นหมายว่าเรานี้เป็นบุคคล หรือเป็นกลุ่มคน หรือเป็นชาติ หรือเป็นศาสนา ทำให้เกิดความงกอยากเอาเข้าพกเข้าห่อของตัวเอง พวกตัวเอง ชาติของตัวเอง ศาสนาของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นสงครามครูเสดรบกันอยู่สองร้อยปีเพียงแค่ต่างฝ่ายต่าง identify ตัวเองว่าเป็นคนละศาสนากับอีกฝ่ายหนึ่ง สงครามยูเครนมีรากมาจากการ identify ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นคนละประเทศกัน เมื่อมี identity ก็ต้องมีการปกป้องและเชิดชูให้ identity ที่ตัวเองยึดถือนั้นปลอดภัยและสูงเด่น กล่าวโดยสรุป ที่ไหนมี identity ที่นั่นมีการทำลายสิ่งหรือฝ่ายที่ถูกนิยามว่าไม่ใช่ identity เดียวกัน

แล้วการสร้างสรรค์ละ มันมีรากมาจากไหน มันมีรากมาจากบ่อรวมพลังปัญญา (wisdom หรือ insight หรือ intuition) ซึ่งทุกชีวิตเข้าถึงได้หากทิ้งเปลือกหุ้มอันได้แก่ความคิดที่ชงขึ้นมาโดย identity ไปเสียให้หมดก่อน เมื่อหมดความคิดที่จะปกป้องอัตตา ชีวิตก็จะเหลืออยู่แต่ความรู้ตัว (awareness) ซึ่งจะเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพลังปัญญานี้ ผู้เข้าถึงพลังปัญญานี้สามารถนำมันออกมาใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด และไม่ว่าจะใช้มันทำอะไร การใช้มันมักจะเป็นไปเพื่อชีวิตอื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เพราะผู้เข้าถึงพลังปัญญานี้มักเป็นผู้หลุดพ้นไปจาก identity หรือความคิดที่จะหวงแหนปกป้องหรือเชิดชูตัวตนใดๆแล้ว เมื่อมันเป็นไปเพื่อชีวิตอื่น มันจึงไม่มุ่งทำลายล้าง ตรงกันข้าม มันมุ่งไปทางสร้างสรรค์ ช่วยเหลือ อุ้มชู แบ่งปัน โดยอัตโนมัติ

ที่ผมพูดว่าเมื่อเกษียณอายุแล้วควรมุ่งใช้ชีวิตไปทีละขณะอย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ ก็หมายความว่าทิศทางการดำเนินชีวิตของผู้สูงวัยควรมุ่งวางความคิดปกป้องเชิดชูตัวตนซึ่งเป็นแค่ความคิดยึดถือ และเป็นแค่เรื่องราวผูกพันกับอดีตอนาคตซึ่งไม่ได้มีอยู่จริง หันมาใช้ชีวิตอยู่ที่เดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นของจริง ให้ความคิดยึดถือในตัวตนนั้นมันบางลงๆจนหมดไปได้ยิ่งดี ยิ่งมันบางลงมากเท่าใด ชีวิตก็ยิ่งสงบเย็นมากเท่านั้น เพราะเมื่อไม่ต้องพะวงปกป้องอัตตาก็ไม่มีเรื่องอะไรให้เร่าร้อน และยิ่งความคิดยึดถือในตัวตนบางลงเท่าได้ ก็ยิ่งเข้าถึงพลังปัญญาหรือปัญญาญาณได้มากขึ้นเท่านั้น ก็จะสามารถทำอะไรที่มีคุณค่าแก่ชีวิตอื่นหรือแก่โลกได้มากขึ้น

กล่าวอีกอย่างหนึ่ง การทำอะไรสร้างสรรค์เป็นคอนเซ็พท์ที่สื่อถึงการทิ้งตัวตนและเข้าถึงปัญญาญาณได้ ไม่ได้นับกันเป็นชิ้นงาน แต่งานที่ออกมามันจะนับเป็นชิ้นแบบการนับไก่นับปลาในตลาดก็ได้เหมือนกัน อย่างเช่นเดินออกไปซอยหน้าบ้านแล้วยิ้มให้คนที่เดินสวนกันมา นี่ก็เป็นการสร้างสรรค์แล้ว แม้จะเป็นชิ้นงานที่เล็กจนแทบนับไม่ได้ ปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่งเอาไว้ให้คนอื่นได้อาศัยร่มเงา เล่นดนตรีเพราะๆสักเพลงหนึ่งให้คนอื่นฟัง เขียนภาพสวยๆขึ้นมาภาพหนึ่งให้คนอื่นมีความสุขเมื่อได้ชม อะไรก็ได้ที่ทำเพื่อชีวิตอื่นไม่ใช่เพื่อปกป้องเชิดชูอัตตาตัวเอง เป็นการสร้างสรรค์ทั้งนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

 

[อ่านต่อ...]

21 กันยายน 2565

รีทรีตผู้ป่วยมะเร็ง Cancer Retreat (CR5) ครั้งแรกของการผสมผสานการแพทย์สองแบบ

(ภาพวันนี้: ดอกรัสเชียนเสจบนแจกัน)

ผมหยุดทำแค้มป์มะเร็งมาเป็นปีแล้ว ด้วยเหตุผลว่าสิ่งที่ทำให้ ไม่ตรงกับความคาดหวังของผู้ป่วย ผมทำได้แค่แนะนำวิธีอยู่กับมะเร็งอย่างไรให้ชีวิตมีคุณภาพ แต่ผู้ป่วยคาดหวังว่าทำอย่างไรให้มะเร็งหาย ครั้นจะให้ผมไปหาเอาการรักษาของแพทย์ทางเลือกเข้ามาผสมผสาน ผมก็ไม่มีความรู้อะไรเลยในเรื่องเหล่านั้น จึงตัดปัญหา..เลิกทำ

จนกระทั่งผมได้พบกับคุณหมอโบ (พญ.ภัควีร์ นาคะวิโร) ซึ่งเป็นแพทย์แผนปัจจุบันที่สนใจเรื่องการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคเรื้อรังด้วยหลักการดูแลรักษาแบบองค์รวม (holistic) ทั้งด้านกาย จิต สังคม จิตวิญญาณ และเป็นแพทย์แผนปัจจุบันที่เปิดใจกว้างว่าสำหรับโรคที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่หายอย่างโรคมะเร็ง ทางที่เหลือที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยในความเห็นของเธอก็คือการผสมผสานการแพทย์ทางเลือกที่มีอยู่เข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน (integrative health care) ซึ่งเป็นไอเดียที่ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงชวนเธอมาทำแค้มป์ผู้ป่วยมะเร็งที่เวลเนสวีแคร์ ให้เธอเป็นหัวหน้าแค้มป์จัดทำหลักสูตรของแค้มป์เป็นแม่งานในการสอนและดึงคนที่สามารถในศาสตร์ทางเลือกต่างๆมาช่วยกันสอนหรือช่วยกันทำ (ตัวหมอสันต์เองเข้าไปช่วยสอนเฉพาะเรื่องการจัดการความเครียดด้วยวิธีวางความคิด)

ในที่สุดคุณหมอโบก็ตกผลึกออกมาเป็น รีทรีตผู้ป่วยมะเร็ง ครั้งที่ 5 (CR5) ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงวันที่ 24 – 27 พย. 2565 ที่เวลเนสวีแคร์เซนเตอร์ มวกเหล็ก สระบุรี ผมจึงของดการตอบคำถามในวันนี้เพื่อให้พื้นที่แก่รายละเอียดของแค้มป์นี้ เผื่อจะมีประโยชน์สำหรับแฟนบล็อกทึ่ป่วยเป็นมะเร็งและสนใจที่จะมารีทรีตครั้งนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

…………………………………………………………..

รีทรีตผู้ปวยมะเร็ง ครั้งที่ 5 (CR5) ของ พญ.ภัควีร์ นาคะวิโร (หมอโบ)

วันเวลา

24 – 27 พย. 2565

สถานที่

เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ สระบุรี

คอนเซ็พท์ วัตถุประสงค์ เนื้อหา

เอาพื้นฐานการแพทย์แผนปัจจุบันในเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ชีวิต และการฟื้นฟูโรคมะเร็งหลังการรักษาด้วยการผ่าตัด ฉายแสง และเคมีบำบัด เป็นแก่นกลาง แล้วนำวิธีการรักษาโรคมะเร็งด้วยการแพทย์ทางเลือก ทั้งการแพทย์แผนไทย และอายุรเวดะ ที่เห็นร่วมกันว่าปลอดภัยเข้ามาคลุกเคล้าผสมผสาน ขึ้นมาเป็นประสบการณ์เรียนรู้สี่วันที่มีทั้งการฟื้นฟูของแผนปัจจุบันและการบำบัดรักษามะเร็งของแพทย์ทางเลือก

เนื้อหาประสบการณ์การเรียนรู้

  1. พยาธิสรีรวิทยาของโรคมะเร็ง และของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

2. การฟื้นฟูร่างกายหลังป่วยเป็นมะเร็งด้วยอาหารพืชเป็นหลัก

3. การออกกำลังกายสี่แบบหลังป่วยเป็นมะเร็ง

4. การจัดการความเครียด การวางความคิด การเปิดรับและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในชีวิต

5. หลักการพื้นฐานของการแพทย์แผนไทยและอายุรเวทและการนำมาใช้ในการรักษามะเร็ง

6. สมุนไพรและพืชที่ใช้รักษามะเร็ง ทั้งตามหลักวิชาของแพทย์แผนไทย และทั้งตามผลวิจัยทางการแพทย์แผนปัจจุบัน

7. สุขศาสตร์การนอนหลับ

8. ทักษะการทำอาหารพืชเป็นหลักเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

9. รับการบำบัดรักษามะเร็งโดยวิธีการแพทย์แผนไทยและอายุรเวท ทั้งนวดบำบัด น้ำมันบำบัด และใช้พืชสมุนไพรในรูปแบบต่าง ๆ (สำหรับผู้ไม่ประสงค์จะรับยาบำบัดมะเร็งใดๆที่นอกเหนือจากยาเคมีบำบัดของแพทย์แผนปัจจุบัน สามารถงดเว้นการบำบัดด้วยสมุนไพรได้)

รีทรีตผู้ป่วยมะเร็งจัดเพื่อใครบ้าง

  1. ผู้ป่วยมะเร็งทุกอวัยวะ ทั้งที่ผ่านการรักษาผ่าตัดเคมีบำบัดฉายแสงครบแล้ว และทั้งที่ปฏิเสธการรักษา
  2. ผู้ทำหน้าที่ผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็ง (care giver)

ตารางกิจกรรม

วันแรก

8.00 – 9.00          Registration ลงทะเบียน เช็คอินเข้าห้องพัก

9.00 – 9.30          Camp introduction แนะนำภาพรวมแคมป์และรายละเอียดกิจกรรม (พญ.ภัควีร์ นาคะวิโร)

9.30 – 16.00        Meet doctors พบแพทย์เป็นรายคน จัดทำประวัติ ตรวจร่างกาย รับคำอธิบายแนวทางบำบัดเฉพาะบุคคล (พญ.ภัควีร์ นาคะวิโร และทีมแพทย์แผนไทย) สลับกับการบำบัดรายคนด้วยวิธีนวดน้ำมันบำบัด(Shirodhara)

** 11.00 – 14.00 รับประทานอาหารกลางวัน

** 18.00 – 20.00 รับประทานอาหารเย็น

วันที่สอง

6.30 – 8.45         

– Vapor Aroma ไอหอมระเหยบำบัด

– Exercise for cancer: Balance and barefoot walking, Flexibility exercise ออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ฝึกการทรงตัว ฝึกความยืดหยุ่น (น.พ.ปัณณพัฒน์ ลาวัลย์ตระกูล และ พท.ป. สุภัสสรณ์ แก้วกลิ่น)

– Workshop: Trace element สาธิตการทำเครื่องดื่มเสริมแร่ธาติจากพืชธรรมชาติกว่า 100 ชนิด พร้อมทดลองดื่ม

– ดื่ม WeCare Tumeric Drink ช่วยปรับสมดุลและสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

8.45 – 10.00        รับประทานอาหารเช้าและเวลาส่วนตัว

10.00 – 10.45     กลุ่มบำบัด ทำความรู้จักและแชร์เรื่องราวต่อกันและกัน

10.45 – 11.00     พักเบรค

11.00 – 12.00    

– Pathophysiology of cancer and immunity system กลไกการเกิดมะเร็งและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกับมะเร็ง (พญ.ภัควีร์ นาคะวิโร)

– การรักษาแบบองค์รวมเพื่อให้ชีวิตสมดุล เพิ่มภูมิคุ้มกันโรคตามศาสตร์แผนไทย (พท.ป. สุภัสสรณ์ แก้วกลิ่น)

12.00 – 14.00    

Workshop PBWF Cooking สาธิตการทำอาหารเสริมภูมิคุ้มกันจากพืชเป็นหลัก และรับประทานอาหารกลางวัน

14.00 – 15.30    

– Thai Traditional Medicine Principle หลักการพื้นฐานและการรักษามะเร็งของแพทย์แผนไทย (พท.ป. สุภัสสรณ์ แก้วกลิ่น)

– Common symptoms in cancer  อาการรบกวนที่พบบ่อยจากมะเร็ง (พญ.ภัควีร์ นาคะวิโร)

– การรักษาสมดุลของธาติเพื่อรักษาอาการจากมะเร็งตามศาสตร์แผนไทย (พท.ป. จุฑารัตน์  บุญเมือง)

15.30 – 16.30     Workshop WeCare Tumeric Drink สาธิตการทำเครื่องดื่มเสริมภูมิคุ้มกัน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เข้ารับการบำบัดในวันนี้

15.30 – 18.00     Alternative treatment เข้ารับการบำบัดโดยศาสตร์แพทย์ทางเลือก (ทีมแพทย์แผนไทย)

18.00 – 20.00     รับประทานอาหารเย็น

วันที่สาม

6.30 – 8.30          – Vapor Aroma ไอหอมระเหยบำบัด

– Taichi and mindfulness ออกกำลังกายฝึกสมาธิ (นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์)

– Workshop: Kombucha สาธิตการทำเครื่องดื่มเพิ่ม Probiotics

– ดื่ม WeCare Turmeric drink ช่วยปรับสมดุลและสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

8.30 – 10.00        รับประทานอาหารเช้าและเวลาส่วนตัว

10.00 – 12.00     Stress management กลไกการเกิดความเครียดและการวางความคิด (นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์)

10.45 – 11.00     พักเบรค

12.00 – 14.00     Workshop PBWF Cooking สาธิตการทำเครื่องดื่มเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระจากพืช               ธรรมชาติ

รับประทานอาหารกลางวัน

14.00 – 15.30     Music therapy ดนตรีบำบัด (ทีมนักดนตรีบำบัด)

15.30 15.45        เสริฟ Easing Tea ชาเพื่อการผ่อนคลาย และแนะนำสมุนไพรที่ช่วยในการนอน และนำไปใช้ด้วยตัวเองที่ห้องพักในคืนนี้

15.45 – 16.45     Workshop WeCare Tumeric Drink สาธิตการทำเครื่องดื่มเสริมภูมิคุ้มกัน สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการบำบัดในวันนี้

15.45 – 18.00     Alternative treatment เข้ารับการบำบัดโดยศาสตร์แพทย์ทางเลือก (ทีมแพทย์แผนไทย)

18.00 – 20.00     รับประทานอาหารเย็น

วันที่สี่

6.30 – 8.00          – Vapor Aroma ไอหอมระเหยบำบัด

– Exercise for cancer: Aerobic & strengthening exercise ออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เสริมความแข็งแรงของหัวใจและกล้ามเนื้อ (น.พ.ปัณณพัฒน์ ลาวัลย์ตระกูล)

– ดื่ม WeCare Tumeric Drink ช่วยปรับสมดุลและสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

8.00 – 10.00        รับประทานอาหารเช้าและเวลาส่วนตัว

10.00 – 10.30     Sleep hygiene สุขศาสตร์การนอนหลับ (น.พ.ปัณณพัฒน์ ลาวัลย์ตระกูล)

10.30 – 10.45     พักเบรค

10.45 – 11.15     การนอนหลับกับศาสตร์แผนไทย (พท.ป. สุภัสสรณ์ แก้วกลิ่น)

11.15 – 12.00     ตอบคำถามและให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ (ทีมแพทย์แผนปัจจุบันและแผนไทย)

12.00 – 14.00     Workshop PBWF Cooking สาธิตการทำอาหารเพิ่มพลังงานจากพืช

รับประทานอาหารกลางวัน

14.00                   ปิดแคมป์

การลงทะเบียนเข้าแค้มป์ CR5

วิธีลงทะเบียนเข้าเรียน

1. โทรศัพท์ลงทะเบียนกับเวลเนสวีแคร์ที่หมายเลข  063 6394003 หรือ 02 038 5115
2. ลงทะเบียนทางไลน์ @wellnesswecare
3. ลงทะเบียนทางอีเมล host@wellnesswecare.com
ในทุกกรณีเมื่อได้ที่นั่งแล้ว จะต้องโอนเงินค่าลงทะเบียนเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาสมุทรปราการ ชื่อบัญชี  บริษัท เมก้า วี แคร์ จำกัด เลขที่บัญชี 007-368-5478 ภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้สำรองที่เรียนแล้ว หากพ้น 24 ชั่วโมงไปแล้วถือว่าสละสิทธิ์ ที่นั่งที่สำรองไว้ให้ท่านจะถูกจัดสรรไปให้ผู้อื่นโดยอัตโนม้ติ

     9. การตรวจสอบตารางแค้มป์

สามารถตรวจสอบตารางแค้มป์ล่วงหน้าได้โดยวิธีสอบถามทางโทรศัพท์ที่หมายเลข  0636394003 หรือทางไลน์ @wellnesswecare หรือทางอีเมล host@wellnesswecare.com

 ราคาค่าลงทะเบียน

ค่าลงทะเบียนสำหรับตลอดคอร์ส (เข้าแค้มป์ 4 วัน 3 คืน) คนละ 25,000 บาทสำหรับตัวผู้ป่วยเฉพาะผู้ลงทะเบียนภายใน 31 ตค. 65 กรณีลงทะเบียนหลัง 31 ตค. 65 คนละ 29,000 บาท ค่าลงทะเบียนนี้รวมถึงใช้จ่ายในการเข้าแค้มป์ ค่าอาหารวันละ 3 มื้อ ค่าที่พัก 4 วัน 3 คืน ค่าวิทยากร ค่าอุปกรณ์การฝึกทักษะ ค่าตรวจร่างกายโดยแพทย์ ค่าเจาะเลือดฉุกเฉินกรณีที่แพทย์สั่งให้เจาะ
แต่ราคานี้ไม่ครอบคลุมถึงค่าเดินทางไปและกลับระหว่างบ้านของท่านกับเวลเนสวีแคร์ (ผู้ป่วยไปเองกลับเอง) ไม่ครอบคลุมค่ายาและค่ารักษาพยาบาลส่วนบุคคลของแต่ละท่าน ไม่ครอบคลุมบริการพิเศษที่ท่านเลือกใช้เป็นการเแพาะตัวเช่นการนวดต่างๆ

กรณีเป็นผู้ติดตาม หรือผู้ดูแล หรือ caregiver จะต้องลงทะเบียนเป็นผู้ติดตามซึ่งมีค่าลงทะเบียนคนละ 19,000 บาทสำหรับ early bird และ 23,000 บาทหลัง 31 ตค. 65 ราคานี้รวมค่ากิน ค่าอยู่ ค่าที่พักห้องเดียวกับผู้ป่วยของตน ค่าเข้าร่วมเรียน แต่ไม่รวมการตรวจรักษาโดยแพทย์ ไม่รวมการบำบัดรักษาทุกรายการ (ไม่อนุญาตให้มีผู้ติดตามแบบไม่ได้ลงทะเบียน)

พญ.ภัควีร์ นาคะวิโร (หมอโบ)

……………………………………………………..

[อ่านต่อ...]

20 กันยายน 2565

ประกันบำนาญ ของจริงหรือของหลอก

(ภาพวันนี้: รัสเชียน เสจ ออกดอกมาต่อเนื่อง 3 เดือน)

เรียน คุณหมอที่เคารพรัก
ดิฉันอายุ 50 ปี ไม่ได้ทำงานแล้ว ไม่มีครอบครัว ไม่มีห่วงข้างหลัง เป็นห่วงแต่ตัวเอง มีเงินก้อนเดียว อยากวางให้ถูกที่ถูกทางค่ะ หวังให้ตัวเองมีเงินถึงวันตายเพื่อดูแลตัวเอง
สนใจประกันบำนาญค่ะ  คิดเองว่าเป็นการได้เงินใช้หลัง 60 ปี จนถึง 85 ให้คล้ายบำนาญ จะเข้าไปศึกษาก็เกรงว่าเชื่อใครไม่ได้ ถามคนขายประกันก็ว่าดี ถามนักลงทุนก็ว่าไม่ดี
คุณหมอเป็นบุคคลที่ดิฉันเชื่อใจมากที่สุดค่ะ ขอความกรุณาคุณหมอให้คำแนะนำด้วยนะค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ส่งจาก iPhone ของฉัน

………………………………………………………………….

ตอบครับ

ขอบพระคุณที่เชื่อถือหมอสันต์ สมัยหนุ่มๆผมเคยเปรยให้เมียผมฟังบ่อยๆว่า

“คนไข้บางคนเนี่ย เชื่อหมอสันต์ยิ่งกว่าตัวหมอสันต์เองเสียอีก”

ผมพูดแบบนี้คุณไล่ตรรกะให้ดีก็ควรจะเข้าใจนะว่าหมอสันต์เชื่อถือได้แค่ไหน

ก่อนตอบคำถาม ขออธิบายท่านผู้อ่านทั่วไปที่เป็นแฟนบล็อกวัยทำงานค่อนไปทางอาวุโสไว้หน่อยว่าการประกันบำนาญคืออะไร มันเป็นรูปแบบการประกันชีวิตประกันภัยแบบหนึ่งที่กรมการประกันภัยอนุญาตให้นำออกขาย มันมีหลักการสำคัญว่า

(1) กำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 60 หรือ 65 ปี ก็ได้ แล้วกำหนดอายุครบประกันที่ 85 หรือ 90 ปีก็ได้

(2) กำหนดวงเงินประกันไว้ เช่นสมมุติว่าวงเงิน 1 ล้าน แล้วผู้เอาประกันก็ทยอยจ่ายเบี้ยให้เขาไปทุกปี ดังนั้นต้องมีเวลาจ่ายเบี้ยอย่างน้อยสัก 10 ปีขึ้นไป สมมุติว่าคุณอายุ 50 จ่ายให้เขาปีละ 1 แสน สิบปีก็ครบ 1 ล้านพอดี ถึงตอนนั้นคุณอายุ 60 ปี จึงจะสิ้นสุดการชำระเบี้ย

(3) กำหนดการจ่ายสินไหมเป็นสามลักษณะ คือ

ลักษณะที่ 1. ถ้าขณะชำระเบี้ยไปยังอายุไม่ทันเกษียณก็เกิดตายเสียก่อน เขาคืนเงินที่จ่ายให้เขาไปทั้งหมดให้ทายาท (ไม่มีดอก)

ลักษณะที่ 2. ถ้าคุณอยู่ไปได้จนอายุครบเกษียณตามกรมธรรม เช่นครบ 60 ปี กฎหมายให้จ่ายสินไหมทดแทนในรูปของเงินบำนาญปีละ 12-15% ของวงเงินประกัน เป็นเวลาอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 15 ปี และอย่างสูงไม่เกินอายุครบประกัน (85 หรือ 90 ปี) แต่ถ้าเกษียณได้ไม่ทันถึง 15 ปีเกิดตายเสียก่อน เศษที่ยังไม่ครบ 15 ปี กฎหมายก็บังคับให้คิดเงินจ่ายคืนให้ทายาท

ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณซื้อกรมธรรมแบบจ่ายปีละ 15% ของวงเงินประกันคุณก็จะได้บำนาญปีละ 150,000 บาท ทุกปีจนอายุครบ 85 (หรือ 90 สำหรับบางบริษัท)

ลักษณะที่ 3. ถ้าคุณรับบำนาญไปจนอายุครบที่กรมธรรมกำหนด เช่น 85 ปีแล้วคุณยังไม่ตาย กฎหมายท่านว่าให้บริษัทประกันตัดหางปล่อยท่านได้ ไม่ต้องจ่ายบำนาญให้คุณอีกต่อไปแล้ว

เอาละ รู้จักประกันบำนาญกันดีแล้ว คราวนี้มาตอบคำถาม

1.. ถามว่าสินค้าตัวใหม่คือประกันบำนาญนี้ มันเป็นของจริงหรือของหลอก เชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้ ตอบว่ามันเป็นของจริง เชื่อได้ เพราะเมืองไทยนี้มีกฎหมายคุ้มครองโดยกรมการประกันภัย บริษัทผู้ขายประกันต้องมีเงินสำรองจ่ายสินไหมให้คุณฝากไว้กับกรม และชั่วดีถี่หากถ้าบริษัทเจ๊งไป กรมการประกันภัยก็จะเอาเงินก้อนนั้นออกมาจ่ายสินไหมให้คุณจนจบสัญญาประกันภัย

2.. ถามว่าการซื้อประกับบำนาญดีหรือไม่ดี ตอบว่าสินค้าทุกตัวมีทั้งข้อดีข้อเสีย

ข้อดีของประกันบำนาญ คือ

(1) ถ้าคุณมีรายได้ต้องเสียภาษีมากทุกปี เบี้ยประกันเอาไปลดภาษีได้

(2) ถ้าคุณอายุยืนเกิน 75 ปี คุณได้กำไรแหงๆ เพราะช่วงอายุ 75-85 ปีเป็นช่วงลุ้นว่าใครจะได้จะเสีย ถ้าคุณยังอยู่คุณได้ ถ้าคุณตาย บริษัทได้ ถ้าคุณอายุยืนมาถึง 85 ปีบริษัทเขาขาดทุน เพราะเขาต้องจ่ายเงินให้คุณทั้งหมดประมาณ 390%ของจํานวนเงินเอาประกันภัยที่คุณจ่ายให้เขา (แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงบริษัทเขาดอก เพราะเขาใช้หลักวิชาคณิตศาสตร์การประกันภัย ซึ่งเขารู้เต็มอกว่าอายุเฉลี่ยหญิงไทยคือ 76 ปี ชายไทยคือ 73 ปี ดังนั้นโอกาสที่เขาจะกำไรมีมากกว่าที่จะขาดทุน)

(3) ถ้าจากนี้ไปจนอายุ 60 ปีคุณไม่ขัดสนเงินทองมีเงินเหลือพอที่จะเจียดไปจ่ายเบี้ยประกันได้ การซื้อประกันบำนาญก็จะเป็นวิธีเก็บออมเงินไว้ใช้ในบั้นปลายที่มั่นคงปลอดภัยวิธีหนึ่ง

ข้อเสียของประกันบำนาญ คือ

(1) ถ้าคุณตายก่อนอายุ 75 ปี คุณขาดทุน เพราะเอาเงินที่จะจ่ายเบี้ยประกันนั้นฝากแบงค์กินดอกหรือถอนมากินมาใช้ตรงๆเสียก่อนตายย่อมเป็นกำไรมากกว่า

(2) ถ้าทุกวันนี้เงินคุณก็ไม่ค่อยพอใช้อยู่แล้ว เอาเงินนั้นใช้วันนี้เสียดีกว่าเอาไปซื้อประกันบำนาญ เพราะลำดับการใช้เงินมันต้องว่ากันตามความจำเป็น และความจำเป็นที่ปัจจุบันมีลำดับความสำคัญสูงกว่าความจำเป็นที่อนาคต

(3) ถ้าคุณไม่มีรายได้แล้ว สิทธิที่จะเอาค่าเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีไม่มีประโยชน์สำหรับคุณ

คุณชั่งน้ำหนักเอง ดีเสีย ดีหนักไปข้างไหน คุณตัดสินใจข้างนั้น

3.. ถามว่า อ้าว หาก 85 ปีแล้วยังไม่ตาย แล้วถึงตอนนั้นจะเอาเงินที่ไหนใช้ละ ตอบว่าถ้าห่วงอนาคตไกลขนาดนั้นก็มองหากรมธรรมที่ครบจ่ายบำนาญที่อายุ 90 ปีสิครับ

4.. ถามว่า อ้าว หาก 90 ปีแล้วยังไม่ตายละ ตอบว่าไม่ต้องห่วง เพราะภาษิตโบราณคนเมืองเหนือสอนไว้ว่า

“เก้าสิบ..ไข้ก็ตาย ไม่ไข้ก็ตาย”

ฮิ ฮิ ฮิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 กันยายน 2565

ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเร่งมากเกินไปมีลักษณะเป็นอย่างไร

(ภาพวันนี้: หน้าห้องแถวตลาดมวกเหล็ก ดูให้ดีมีทั้งดอกจริงดอกปลอม)

คุณหมอสันต์ครับ

ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานมากไปมีลักษณะเป็นอย่างไรครับ มีความสัมพันธ์กับโรคแพนิก หรือโรคหัวใจขาดเลือดหรือไม่ครับ

…………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าระบบประสาทอัตโนมัติทำงานเร่งมากเกินไปคืออะไร ต้องตอบเป็นประเด็นย่อยสี่ประเด็น คือ

1.1 ระบบประสาทอัตโนมัติคืออะไร ร่างกายเรานี้แบ่งเป็น 12 ระบบ ระบบประสาทเป็นระบบหนึ่ง ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนย่อยคือระบบประสาทกลางที่เราควบคุมสั่งการได้ กับระบบประสาทระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system) ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญทั้งหมดของร่างกายโดยเราสั่งการหรือควบคุมเอาอย่างใจเราไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ทำงานผ่านจิตสำนึกรับรู้หรือการสั่งการจากสมอง

1.2 ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานอย่างไร มันทำงานด้วยวงจรสนองตอบอัตโนมัติ (reflex) ซี่งรับสัญญาณเข้ามาทางประสาทรับรู้ (sensory) แล้วสั่งการออกไปทางปลายประสาทเคลื่อนไหว (motor) อย่างเป็นอัตโนมัติ

ตัวอย่างวงจรที่ง่ายที่สุดก็เช่นวงจรการเตะเท้าเมื่อถูกเคาะเอ็นหัวเข่าซึ่งมีกลไกการทำงานว่าเมื่อถูกเคาะเอ็นหัวเข่า ปลายประสาทรับรู้การยืดตัวของเอ็นจะส่งไฟฟ้ารายงานเข้าตามเซลล์ประสาทตัวที่หนึ่ง มายังแกนประสาทสันหลังแล้วปล่อยไฟฟ้านั้นให้เซลล์ประสาทตัวที่สองซึ่งจะทำไฟฟ้าไปสั่งให้กล้ามเนื้อหน้าขาหดตัว ทั้งหมดนี้เกิดโดยอัตโนมัติไม่ต้องให้สมองสั่ง วงจรแบบนี้มีไม่รู้กี่ล้านวงจรในร่างกาย วงการแพทย์ยังรู้จักแค่ส่วนน้อย ระบบนี้ควบคุมการทำงานอวัยวะทุกอวัยวะผ่านการเชื่อมต่อกันของเส้นประสาทอย่างซับซ้อน

วงจรสนองตอบอัตโนมัติที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกจะรวมเอาความจำและความคิดเข้าพ่วงเป็นส่วนหนึ่งของวงจรด้วย ยกตัวอย่างเช่นงานวิจัยดูการเกิดน้ำลายไหล (ซึ่งคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ) ทดลองให้สุนัขได้ยินเสียงกระดิ่งก่อนให้อาหาร นานเข้าสุนัขนั้นจะเกิดน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งทั้งๆที่ไม่ได้กลิ่นไม่เห็นอาหาร ทั้งนี้เป็นเพราะความจำของมันได้ถูกพ่วงเป็นส่วนหนึ่งของวงจรสนองตอบอัตโนมัตินี้

กลไกที่ผสมเอาความจำเข้าไปเป็นส่วนของวงจรอัตโนมัติแบบนี้ทำให้ความจำชงความคิดขึ้นมาเองแบบอัตโนมัติไม่เชื่อฟังใคร (compulsive) และความคิดเมื่อเกิดแล้วก็มีธรรมชาติจะเกิดอีกแบบเดิมๆซ้ำๆ (obsessive) ทำให้ความคิดอยู่นอกเหนือการควบคุมใดๆของจิตสำนึกรับรู้

1.3 ขาเร่งกับขาหน่วงของระบบประสาทอัตโนมัติเป็นอย่างไร ระบบประสาทอัตโนมัติมีหน้าที่หลักคือเตรียมร่างกายให้พร้อมเมื่อเกิดภาวะคุกคาม (stress) ทั้งระบบผูกโยงเป็นระบบใหญ่ที่มีสองส่วน คือซีกเร่ง (sympathetic) เรียกสั้นๆว่าซิม และซีกหน่วง (parasympathetic) เรียกสั้นๆว่าพาราซิม ทั้งสองส่วนนี้ทำให้อวัยวะทุกอวัยวะทำงานอย่างได้ดุลกัน ยามใดที่มีสิ่งคุกคาม ส่วนเร่งก็จะทำงานมากกว่า ยามใดที่ปลอดโปร่งไร้สิ่งคุกคาม ส่วนหน่วงก็จะทำงานมากกว่า

1.4 เมื่อระบบประสาทอัตโนมัติอยู่ในขาเร่งนานๆ จะเกิดอะไรขึ้น ในกรณีความเครียดระยะสั้น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีสิ่งคุกคามเช่นมีสัตว์ร้ายตรงเข้ามาจะทำร้าย ระบบซีกเร่งจะทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ส่งเลือดมากขึ้น หายใจเร็วขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้ออกซิเจนมากขึ้น หลอดเลือดหดตัวเพื่อเพิ่มความดันเลือด ฮอร์โมนเครียด (cortisol) ถูกปล่อยออกมามากขึ้น ทำให้มีความตื่นตัว มีการกักเกลือไว้ในเลือด เพิ่มน้ำตาลในเลือดให้สูงขึ้นพร้อมใช้เป็นพลังงาน เลือดแข็งตัวง่ายขึ้นพร้อมสำหรับการเกิดเลือดตกยางออก ทั้งหมดนี้เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการจะสู้ หรือจะหนี ในขณะที่ระบบซีกเร่งทำงานมากขึ้น ระบบของร่างกายที่ไม่สำคัญต่อการอยู่รอดฉุกเฉินจะถูกปิดหรือลดการใช้งานลงเพื่อสงวนทรัพยากร เช่นปิดหรือหน่วงระบบภูมิคุ้มกันโรคเพื่อให้ระบบการแข็งตัวของเลือดทำงานได้โดยไม่ถูกขัดขวาง ปิดระบบสืบพันธ์เพราะหน้าสิ่วหน้าขวานการสืบพันธ์ไม่สำคัญ ปิดระบบทางเดินอาหารเพราะในยามวิกฤติร่างกายมีระบบอาหารพร้อมใช้สำรองไว้ในตับเรียบร้อยแล้วไม่ต้องรอใช้อาหารที่กินเข้าไป 

เมื่อสิ่งคุกคามนั้นผ่านไป ระบบประสาทอัตโนมัติก็จะกลับมาทำงานแบบสมดุลตามปกติ ดังนั้นความเครียดระยะสั้นไม่เคยก่อปัญหากับร่างกาย ดีเสียอีกทำให้ร่างกายได้รับการทดสอบความพร้อมเป็นพักๆ

แต่เนื่องจากสิ่งคุกคามในยุคปัจจุบันไม่ใช่สัตว์ร้ายในป่า กลับเป็นความคิดของเราเอง ระบบประสาทอัตโนมัติจำแนกไม่ได้ว่าความคิดไหนเป็นของจริงหรือไม่จริง จึงสนองตอบต่อความคิดลบซึ่งมีลักษณะเป็นสิ่งคุกคามไปในทางเร่งเหมือนกันหมด การที่ความคิดมีธรรมชาติเกิดขึ้นเองแบบบังคับไม่ได้และซ้ำซากวกวนยืดเยื้อเรื้อรัง นอกจากจะทำให้จิตใจกระวนกระวายไม่สงบแล้ว ยังทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานภายใต้บรรยากาศที่ถูกประเมินว่ามีภาวะคุกคามเรื้อรัง หรือเครียดเรื้อรัง จึงต้องอยู่ในขาเร่งเรื้อรัง

2.. ถามว่าการที่ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานในขาเร่งมากเกินไปมีความสำคัญกับโรคหัวใจขาดเลือดและโรคพานิก (panic disorder) หรือไม่ ตอบว่าสัมพันธ์กันแน่นอนครับ เพราะเมื่ออยู่ในขาเร่งมาก ระบบหัวใจหลอดเลือดก็ทำงานมากเกิน หลอดเลือดหดตัวมากเกิน ความดันสูงขึ้น หัวใจทำงานหนักขึ้น เลือดแข็งตัวเร็ว ยังไม่นับว่าจะมีการอักเสบของหลอดเลือดเกิดขึ้นอย่างเป็นเหตุเป็นผลตามกันอีกด้วย อย่างน้อยประเด็นหลังนี้เราก็พิสูจน์ได้ในการวิจัยระยะยาวในลิง ในส่วนของโรคพานิกนั้น อาการของมันแทบแยกไม่ออกจากโรคหัวใจขาดเลือด เพราะมันเกิดจากกลไกเดียวกันคือระบบประสาทอัตโนมัติเร่งตัวเองนานเกินไปนั่นแหละ

3.. ถามว่าแล้วจะรักษาตัวเองให้รอดพ้นจากการที่ระบบประสาทอัตโนมัติอยู่ในขาเร่งมากเกินไปได้อย่างไร ตอบว่าก็ต้องสร้างดุลชีวิตขึ้นมาไม่ให้มีความคิดลบไปกระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติตีความว่านี่คือภาวะคุกคามซ้ำซาก ดังนั้นหัวใจมันก็อยู่ที่การวางความคิดลบ มนุษย์เรารุ่นโบราณได้พัฒนาวิธีการที่ใช้ได้ผลดีมากไว้ให้แล้ว เราสามารถหยิบมาใช้ได้เลย งานวิจัยทางการแพทย์พบว่าวิธีปล่อยวางความคิดที่ได้ผลดีแน่นอนในการลดภาวะเครียดไม่ว่าจะวัดด้วยตัวชี้วัดไหนได้แก่ การทำสมาธิ (meditation) การฝึกโยคะ และการฝึกรำมวยจีน (Tai Chi – Gigong) ดังนั้น ฝึกทำทั้งสามอย่างนี้ได้เลย เป็นสิ่งดีแน่

ควบคู่กันไป ในการจะวางความคิดลบที่คุกคามเราลงให้ได้มากที่สุด จำเป็นต้องฝึกเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิต (paradigm shift) จากเดิมที่มองออกมาจากมุมว่าเรานี้เป็นบุคคลคนหนึ่งมีสถานะความเชื่อที่ต้องปกป้องหรือเชิดชู เปลี่ยนไปมองออกมาจากมุมว่าเรานี้แท้จริงแล้วเป็นความรู้ตัวที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับความคิด เป็นภาวะที่สงบเย็น ไม่ต้องพะวงว่าจะต้องปกป้องหรือเชิดชูอะไร

สรุปว่าทำสองอย่าง (1)วางความคิดด้วยสมาธิ/โยคะ/ไทชิ (2) เปลี่ยนมุมมองชีวิตจากการเป็นบุคคลคนนี้ไปเป็นความรู้ตัวที่ปราศผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับความเป็นบุคคลคนนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Pavlov, I. P. (1928). Lectures on conditioned reflexes. (Translated by W.H. Gantt) London: Allen and Unwin. Pavlov, I. P. (1927).

[อ่านต่อ...]

13 กันยายน 2565

ทำอย่างไรถึงจะมีรักอย่างตื่นรู้

(ภาพวันนี้ : ของเล่นใหม่ตั้งไว้หน้าบ้าน)

คุณหมอสันต์ครับ

ทำอย่างไรถึงจะมีรักอย่างตื่นรู้
พอดีน้องชายวัย 41 กับหลานชายอายุ 20 มาปรึกษาผมเรื่องความรักนะครับ คนแรกต้องไปหาหมอดูเหมือนจะมีอาการซึมเศร้า คนที่สองมีอาการวิตกกังวล กลายเป็นคนเครียดสะสม แสดงว่าอายุไม่ได้มีผลกับเรื่องแบบนี้ ตัวผมเองไม่เคยมีประสบการณ์อกหัก รักคุด กลัวว่าตอบไป ไม่เข้าใจ แล้วจะเข้ารกเข้าพง จึงเขียนมาสอบถามคุณหมอเผื่อจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นที่ตกอยู่ในภาวะแบบนี้ด้วยนะครับ
1. ที่คุณหมอบอกว่า…ความรักแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราได้ละทิ้งตัวตนดั้งเดิม 100 เปอร์เซ็นต์
แล้วเอาชนะการตอบสนองตัวตนของตัวเอง (belonging need) ตามสัญชาตญาณได้เท่านั้น ต่างจากการกระโจนเข้าสู่ความรักแบบการแลกเปลี่ยน ( barter trade) ผมเรียนถามคุณหมอนะครับ ว่าในชีวิตจริงมันเป็นไปได้ เหรอครับที่จะมีความรักแบบนั้นเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของหนุ่มสาว ขอทราบวิธีการที่ทำได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง ด้วยครับ

2.. ที่คุณหมอบอกว่า…โลกทัศน์ของเราเป็นเพียงสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองจากความทรงจำแบบปะติดปะต่อกัน
บางทีการใช้ชีวิตในแบบที่เราที่คิดว่าฉันสามารถเลือกอะไรเองได้อย่างอิสระเสรีนั้นแท้ที่จริงแล้วมันก็เหมือนกับตอบสนองวงจรชีวิตซ้ำๆแบบแผ่นเสียงตกร่อง หรือขนมปังเก่าบูดขึ้นราที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความอยากและความกลัว คำถามคือ…เราควรใช้ชีวิตแบบมุ่งตื่นรู้และอยู่กับปัจจุบันให้ยอมรับกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยการเริ่มจากขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา ได้อย่างไรครับหากการคิดบวกไม่สำเร็จ

3.. ที่คนสมัยก่อนเขาพร่ำสอนกันว่าให้เลือกคู่ชีวิตโดยดูคุณสมบัติส่วนตัวที่คู่ชีวิตพึงมี เช่น ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ ความประพฤติ ความเสียสละ และการพูดจากันรู้เรื่อง ที่เขาพูดมาแบบนั้นมันเป็น เพียงเรื่องในอุดมคติหรือเป็นเรื่องจริงครับ เพราะคนเราทุกคนก็มักจะมีแนวโน้มเลือกคบคนที่ตัวเองถูกใจ หรือคนที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่ตัวเองขาดหายไป เช่น บางคนเรียบร้อยก็เลือกคู่ชีวิตที่สร้างความตื่นเต้น มีลูกเล่น อยู่ด้วยแล้วไม่น่าเบื่อ สร้างสีสัน ซึ่งตรงกันข้ามกับบุคลิกที่ตัวเองเป็นโดยสิ้นเชิง และทำไมคนบางคนถึงเลือกคบคนที่รู้สึกว่าคบแล้วตัวเองยังต้องมาเหนื่อยในความสัมพันธ์ เหมือนอย่างน้องชายผมบอกว่า รู้สึกเหนื่อยในความสัมพันธ์แต่ยังต้องคบเพราะกลัวว่าจะสูญเสียและทำใจไม่ได้หากใครคนนั้นต้องเดินจากไปในชีวิตจริง ส่วนหลานนี่พยายามง้อแฟนให้กลับมาทั้งๆที่ผู้หญิงเขาเปลี่ยนไปไหนต่อไหนแล้ว เพราะถูกเลี้ยงดูมาแบบทะนุทนอม ชีวิตไม่เคยผิดหวัง นี่ก็กลัวว่าถ้าเป็นหนักๆ จะย้ำคิดย้ำทำ ไม่กินข้าวกินปลา คำถามคือ…เราจะสร้างภูมิคุ้มกันให้คนพวกนี้ผ่านเรื่องราวแบบนี้ไปได้อย่างไรครับก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนเครียดเรื้อรัง โดยไม่สร้างปัญหาให้กับคนรอบข้างและครอบครัว
4. เป็นไปได้ไหมที่เราจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ด้วยตัวเองก่อนที่จะมอบความรักให้แก่ผู้อื่นแล้วส่งผ่านความสุขโดยการแสดงออกให้แก่คนรอบข้างที่อยู่รอบตัวเห็น ถึงความสุขที่เรามี เราจะต้องทำอย่างไรครับ โดยที่มีความสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องมาทุกข์ร้อนเมื่อเกิดเหตุการณ์ของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง
5. เราจะสอนให้เด็กหรือผู้ใหญ่เลิกคาดหวังในเรื่องความรักได้อย่างไรครับ เหมือนที่คุณหมอ เคยบอกว่า….
ให้เรามีความรักโดยใช้ทัศนะแบบไม่ต้องจริงจังกับชีวิต เหมือนนักแสดงที่ไปจ่ายตลาด แล้วกลับมาอยู่บ้านก็เป็นเหมือนคนธรรมดา ถ้ามีความรักในทัศนะแบบนี้ได้ ชีวิตก็จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ร้อนในภายหลัง…ข้อความนี้
คุณหมอต้องการสื่อสารว่าเราควรวางใจตัวเองแบบไหนครับในเรื่องของการมีความรัก

6.. เมื่อเกิดวิกฤตในความรักเป็นไปได้หรือไม่ครับที่ผมจะแนะนำคนเหล่านั้นว่าไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลหรือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากคนอื่น เพราะมันเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เพราะยิ่งเราใช้ความคิดหาสาเหตุ
วิเคราะห์ปัญหาจากความทรงจำเก่าๆ มันคงหาทางแก้ไขไม่ได้ แต่ให้แก้โดยให้เราเข้าไป ขยันดูความคิด
ดูความรู้สึกที่เกิดจากข้างใน ซึมซับ ยอมรับ ยอมแพ้ และอยู่กับความรู้สึกเยี่ยงนี้ไปจนกว่ามันจะหายไป
ไม่ต่อยอดความคิดด้วยการสงสารตัวเอง ผมสามารถบอกพวกเขาแบบนี้ได้หรือเปล่าครับ
7. หัวใจหลักในการเลือกคู่ชีวิตหรือการมีความรักตามแบบฉบับของ Dr.Sant คืออะไรครับ? เราจะสอนให้เด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีอาการอกหัก รักคุดแบบเด็กๆ ที่ไม่เคยผิดหวัง ให้เลิกคาดหวัง ในความสัมพันธ์ได้อย่างไรครับ
(ผมเคยถามคนบางคนที่เปลี่ยนแฟนมาเป็น 10 คน เขาไม่เคยปรากฏอาการเศร้าโศกเสียใจนาน รวมถึงไม่เคยแม้กระทั่งกินข้าวกินปลาไม่ลง) แต่น้องชายกับหลานผมซึ่งเป็นคนที่ดู stable พอเกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ มันกลับตรงกันข้ามกัน ดูพวกเขาทุรนทุรายเกินปกติ พอมีความหวังให้พวกเขาพ้นบัวที่จมน้ำสู่ความตื่นรู้บ้างไหมครับ
ขอบคุณครับ

………………………………………………………………….

ตอบครับ

1. ถามว่าในชีวิตจริงมันเป็นไปได้หรือที่จะมีรักแท้อย่างไม่หวังผลตอบแทนบริสุทธิ์แท้ๆเพียวๆในความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาว ตอบว่ามันเป็นไปได้เมื่อตอนที่หนุ่มสาวคู่นั้นได้อยู่กันมาจนแก่จวนเจียนจะเข้าโลงแล้ว กล่าวคือเมื่อแรกหนุ่มสาวที่ต่างก็ฮอร์โมนแรงมารักกัน มันเริ่มด้วยตัณหาอย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 50% บวกความปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายอย่างมากสุดก็ไม่เกิน 50% เมื่อเริ่มต้นได้แล้วมันจึงจะค่อยๆพัฒนาไป เพราะฉนั้นในวัยหนุ่มสาวมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเล่นเกมค้าขายแลกเปลี่ยนเหมือนเด็กเล่นขายของกันก่อน ซึ่งในการเล่นขายของทุกคนก็เคยเล่นมาแล้วย่อมรู้ว่าต้องทำใจว่ามันอาจมีแบบว่ากำลังเล่นกันเพลินอยู่ดีๆ อ้าว..เบื่อละ กลับบ้านหาแม่ดีกว่า วงแตกดื้อๆ

2.. ถามว่าคนเราจะใช้ชีวิตแบบมุ่งตื่นรู้และอยู่กับปัจจุบันให้ยอมรับกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยการเริ่มจากขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา ได้อย่างไร ตอบว่า ได้ด้วยการทำสองอย่างพร้อมกัน คือ

2.1 ฝึกทักษะการวางความคิด ก็คือฝึกสติสมาธินั่นแหละ ควรจะเริ่มฝึกมาตั้งแต่เป็นเด็กจำความได้แล้ว แต่มาฝึกเอาตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่สาย

2.2 ฝึกถอยจากตัวตนที่เป็นคนๆนี้เข้าไปเป็นอะไรลึกๆข้างในที่ไม่เป็นอะไรเลยทุกครั้งที่มีโอกาส พูดง่ายๆเอาหลักที่เรียนจากพุทธศาสนาวันอาทิตย์มาใช้ซะมั่ง(กรณีเป็นชาวพุทธ) คือให้รู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วขยันเอามันมาใส่เอามาเทียบเคียงกับชีวิตประจำวัน

ทำสองอย่างแค่นี้เหละ เวอร์คชัวร์

3.. ถามว่าการเลือกคู่ควรจะเลือกตามที่คนเฒ่าคนแก่บอกว่าเลือกคนดีๆ หรือจะเลือกคนที่ถูกใจตัวเอง ตอบว่าเลือกคนที่เขาเอาเราสิครับ ที่น้องของคุณและหลานของคุณมีปัญหาก็เพราะไปเลือกคนที่เขาไม่เอาเรา ถูกแมะ

4. ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ด้วยตัวเองก่อนที่จะมอบความรักให้แก่ผู้อื่น ตอบว่าเป็นไปได้สิครับ และมันควรจะเป็นอย่างนั้นเสมอด้วย เพราะในการมีชีวิตอยู่นี้ หากลำพังตัวเราเองยังเอาตัวไม่รอดแล้วไปเที่ยวควานหาคนอื่นมาให้เราเกาะ ให้ยึด ให้ดึง คุณว่าคนนั้นเขาจะทนเราได้นานแมะ เพราะลึกๆเขาก็อาจจะมาด้วยเจตนาเดียวกันก็ได้ แล้วใครจะยอมให้ใครเกาะละครับ

5.. ุถามว่าจะมีความสัมพันธ์อย่างไรจึงไม่ต้องมาทุกข์เมื่อความสัมพันธ์นั้นเปลี่ยนไป ตอบว่า ตอบไปแล้วในข้อ 1 ไงครับ ย้ำอีกที ทำสองอย่าง (1) ฝึกทักษะสติสมาธิวางความคิด (2) เอาหลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าเทียบเคียงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตบ่อยๆ ทุกวันยิ่งดี

6. ถามว่าจะสอนให้เด็กหรือผู้ใหญ่เลิกคาดหวังในเรื่องความรักได้อย่างไร ตอบว่าความหวัง (expectation) คือการไม่ยอมรับสภาพการณ์ปัจจุบัน คือปัจจุบันเป็นแบบหนึ่ง ตัวเองอยากได้อีกแบบ เมื่อตั้งต้นด้วยความคาดหวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งความคาดหวังที่จะให้คนอื่นเป็นคนทำ ก็เชื่อขนมเจ๊กกินได้แล้วว่าจะจบด้วยความทุกข์ เพราะเราใช้ชีวิตไปผิดทาง คือชีวิตที่ไปถูกทางต้องใช้กันที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างยอมรับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาซึ่งทั้งหมดนั้นมันอยู่ในใจของเราเองเราพอคุมได้ เมื่อมีแฟนเราก็คิดพูดทำในส่วนของเราเสียให้ดี ส่วนข้างเขาจะทำ จะคิด จะพูดอย่างไรมันเกินเขตอำนาจของเราจะไปกะเกณฑ์ ส่วนนั้นเรามีหน้าที่แค่รับรู้และยอมรับ อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิด จะไปทำอะไรได้ละ ถ้าแฟนเขาจะถีบเราทิ้งก็โอเค. เพราะขอโทษ..มันเป็นตีนของเขา เราจะไปทำอะไรได้เล่า

7.. ถามว่าเมื่อคนอื่นอกหักจะบอกเขาว่ามันเป็นสิ่งที่เราคุมไม่ได้ไม่ต้องพยายามหาเหตุผลได้ไหม ตอบว่าได้สิครับ เป็นวิธีบอกที่ดีด้วย
8. ถามว่าหลักในการเลือกคู่ชีวิตของหมอสันต์คืออะไร ตอบว่าสมัยหนุ่มๆหมอสันต์ไม่เคยมีหลักอะไรทั้งสิ้น เมื่อมองย้อนหลังไปจากตอนนี้ผมหากจะมีรักมีคู่ครองผมก็จะใช้หลักเหมือนกับที่ทำกับทุกกิจกรรมของชีวิตคือสำรวจเรียนรู้มันดะไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และยอมรับอะไรเซอร์ไพรส์ที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งหมดไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบ

9.. ถามว่าพอจะมีความหวังให้พวกเขาที่อกหักพ้นจากสภาพบัวที่จมน้ำสู่ความตื่นรู้ได้บ้างไหม ตอบว่ามีสิ ก็สองอย่างที่พูดไปแล้วนั่นแหละ (1) ฝึกสติสมาธิวางความคิด (2) เอาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาอธิบายทุกย่างก้าวของชีวิต

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

.

[อ่านต่อ...]

11 กันยายน 2565

รู้แค่ที่ทั้งสองศาสนาสอนเหมือนกันก็พอ

(ภาพวันนี้: ดอกโพธิ์ทะเล)

เรียนคุณหมอสันต์

เห็นคุณหมอสันต์ศึกษาปฏิบัติแนวฮินดูและลัทธิโยคีมามากและรู้หลักศาสนาพุทธด้วย ผมรบกวนคุณหมอให้ช่วยแชร์หน่อย เพราะหาคนแบบนี้ได้ยาก ผมอยากรู้จริงๆว่าแท้จริงแล้วศาสนาฮินดูกับศาสนาพุทธเหมือนหรือต่างกันที่ตรงไหน เพราะอ่านเอาจากหนังสือศาสนาเปรียบเทียบแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นคำอธิบายที่ตื้นไป

เป็นการขอความรู้เชิงเปรียบเทียบเฉพาะเนื้อหานะครับ ไม่เกี่ยวกับรูปแบบความยึดติดเปลือกนอก

………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าฮินดูกับพุทธเหมือนกันตรงไหน ตอบว่าเหมือนกันตรงที่..อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายฟามว่า (1) สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง (2) ตัวตนเราเขาอย่างที่เราสมมุติกันขึ้นนั้นไม่ใช่ของจริง (3) หากเราหลงไปยึดถือว่าตัวตนของเราเป็นเรื่องจริงก็จะเกิดความทุกข์

2.. ถามว่าฮินดูกับพุทธต่างกันอย่างไร โอ้..นี่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งนะ แต่ขอตอบแบบตื้นๆก่อน ว่าต่างกันที่ฮินดูพูดถึง “อาตมัน” อันหมายถึงวิญญาณ ซึ่งเป็นชีวิตที่แท้จริงของทุกชีวิต และพูดถึง “ปรมาตมัน” ซึ่งเป็นสภาวะสูงสุดหรือสิ่งที่เหลืออยู่เมื่อพ้นไปจากความหลอนของโลกและชีวิตนี้แล้ว ขณะที่พุทธไม่พูดถึงเลย

แต่ถ้าจะให้ตอบแบบลึกซึ้ง ก็ต้องตอบว่าฮินดูสอนคนให้พ้นทุกข์แบบนุ่มนวลโดยเชียร์ให้ปล่อยวางตัวตนสมมุติที่เรียกว่า “self” นี้เสียก่อนโดยค่อยๆถอยลึกเข้าไปเป็นตัวตนส่วนลึกหรือตัวตนสูงสุดซึ่งเขียนง่ายว่า “Self” (ใช้ S ตัวใหญ่นะ) ซึ่งไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับ self

แต่พุทธสอนให้คนพ้นทุกข์แบบเตะผ่าหมากโครมว่า ทั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตนี้คือเรื่องโกหกพกลมทั้งเพ เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดแยกส่วนออกไปแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ แต่เมื่อถูกจี้ถามว่าแล้วมันเหลืออะไรนอกจากนั้นไหมละ มันไม่มีอะไแบบโบ๋โจ๋ว่างเปล่าเลยหรือ หรือว่ามันมีอะไรเหลือในรูปแบบอื่นที่เราไม่รู้จัก ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตอบด้วยการ…เงียบ

3.. ถามหมอสันต์ว่าวิธีสอนแบบฮินดูและแบบพุทธ วิธีไหนที่ได้ผลดีกว่ากัน ตอบว่าผมไม่ทราบ ทราบแต่ว่าคล้อยหลังพระพุทธเจ้ามาได้ 500 ปีศาสนาพุทธก็เกือบเกลี้ยงไปจากอินเดีย กลับไปเป็นฮินดู..เหมียนเดิม ตัวผมเองเคยเห็นพระ (ฝรั่ง) องค์หนึ่งที่มาเป็นพระในศาสนาพุทธตระเวณอยู่ไปมาแล้วทั้งไทย พม่า ศรีลังกา ได้สิบกว่าปี แล้วก็ย้ายวิกเปลี่ยนไปเป็นพระฮินดูอยู่ที่อินเดีย ถ้าประเมินจากพระองค์นี้ท่านก็คงมองว่าวิธีของพุทธยาก

แต่ขณะเดียวกันผมก็เคยเห็นครูสอนทางจิตวิญญาณ ทั้งที่สอนตามฮินดูบ้าง และทั้งที่สอนตามพุทธบ้าง ข้างละหลายคน ที่เอาคำสอนที่ตัวเขาเองสอนมาใช้ในชีวิตจริงของเขาเองได้จริงๆทั้งสองค่าย คือผมเห็นมีคนหลุดพ้นจากความคิดยึดถือในตัวตนของตัวเองในทั้งสองค่าย แถมยังเห็นคนที่หลุดพ้นได้โดยไม่ได้เข้าค่ายไหนทั้งสองค่ายนี้เลย คือมาคนละทางเลย แสดงว่าความหลุดพ้นนี้คงไม่ได้ผูกขาดว่าจะต้องเข้าค่ายใดค่ายหนึ่งจึงจะหลุดพ้นได้กระมังครับ

ดังนั้นผมแนะนำว่าให้คุณสนใจแค่ที่ทั้งสองศาสนานี้สอนตรงกันก็พอ คือ

“คุณไม่ใช่ร่างกายนี้

คุณไม่ใช่ความคิดนี้”

ความรู้แค่นี่ก็เหลือแหล่มากเกินพอที่จะทำให้คุณหลุดพ้นได้แล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

09 กันยายน 2565

การออกกำลังกายกับความดันลูกตาคนเป็นต้อหิน

(ภาพวันนี้: รุ่งอรุณหน้าบ้าน)

เรียนคุณหมอสันต์

ตามที่คุณหมอเคยออกคลิปสอนการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในผู้สูงอายุ ใน https://youtu.be/8rvIMKpDM1I ดิฉัน อายุ 67ปี ได้ทำตามคลิป ทุกท่า ยกเว้น ท่าปลาดุก (เพราะทำไม่ไหวค่ะ) โดยทำมา 5~6 เดือนค่ะ  

ปกติดิฉันมีความดันตาปริ่มๆจะเป็นต้อหิน ค่าความดันตา 19~21  มม ปรอท คุณหมอตานัดให้ตรวจตาปีละ 1 ครั้ง พอดีเมื่อวานพาพี่สาวไปหาหมอตา เนื่องจากมีปัญหาโรคตา ดิฉันจึงขอตรวจความดันตาตัวเองโดยไม่ได้พบแพทย์  พบว่า ค่าความดันตาขึ้นเป็น 23, 24 (ตาซ้าย/ตาขวา) รู้สึกตกใจ ว่าทำไมขึ้น เมื่อได้ค้นข้อมูล พบว่า ท่าออกกำลังกายบางท่าอาจส่ว่างผลเพิ่มต่อความดันตาได้ ดิฉันจึงต้องรบกวนขอคุณหมอช่วยกรุณาพิจารณา ให้เป็นกรณีพิเศษ ว่าท่าใดในคลิป ที่อาจเพิ่มความดันตา จะได้หลีกเลี่ยงท่านั่นค่ะ  ดิฉันบริหารสม่ำเสมอตามคลิปนี้ของคุณหมอสันต์ คือทุก 2 วันค่ะ รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำค่ะ เพราะอยากแข็งแรงค่ะ

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะกรุณาช่วยตอบคำถามนี้ค่ะ

………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าการออกกำลังกายสัมพันธ์กับการเพิ่มหรือลดความดันลูกตาอย่างไร ตอบว่างานวิจัยพบว่าการออกกำลังกายสัมพันธ์กับการลดความดันในลูกตานะไม่ใช่เพิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ความสัมพันธ์นี้แปรผันตามขนาด หมายความว่ายิ่งออกกำลังกายในขนาดสูงยิ่งลดความดันในลูกตาได้มาก

2.. ถามว่าความดันในลูกตามีความสัมพันธ์กับท่าร่างของคนเราไหม ตอบว่าสัมพันธ์แน่นอนครับ มันก็เหมือนความดันเลือดนั่นแหละ สำหรับความดันในลูกตางานวิจัยพบว่าความดันในลูกตาจะขึ้นถ้าทำท่า (1) เบ่งเหมือนเบ่งอึ (valsava maneuver) แต่พอหายเบ่งมันก็ลง (2)  เมื่อออกแรงใช้กล้ามเนื้อมากๆ แต่พอหยุดใช้กล้ามเนื้อมันก็ลง (3) เมื่อเบ่งหายใจออกขณะใช้งวงช้าง (CPAP) ในคนเป็นโรคนอนกรน

3.. ถามว่าท่าออกกำลังกายของหมอสันต์มีท่าไหนที่ทำให้ความดันลูกตาขึ้นบ้าง ตอบว่าโห..หมอสันต์จะรู้ไหมเนี่ย เพราะไม่มีใครมาทำวิจัยให้ เอาเป็นว่าสำหรับคนที่เป็นต้อหิน ให้คุณใช้ผลวิจัยเก่าๆที่ฝรั่งทำไว้มาประยุกต์ใช้ก็แล้วกันว่าเวลาทำท่าตามหมอสันต์คุณอย่าไปเบ่ง อย่าไปกลั้น ถ้ามันจะออกก็ปล่อยมันออกไป (หิ หิ) และอย่าไปออกแรงตูมเดียวมากๆ ออกแรงแบบค่อยเป็นค่อยไป เน้นให้ได้เคลื่อนไหวพิสัยข้อมากกว่าเน้นการใช้แรงงานกล้ามเนื้อแบบหนักๆแรงๆ

4.. อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นต้อหินผมก็ยังแนะนำให้คุณออกกำลังกายด้วยวิธีตามที่ผมบอกในข้อ 3 เพราะมีข้อมูลวิจัยชิ้นอื่นๆอีกว่าคนแก่ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเคลื่อนไหวปร๋อไปปร๋อมาได้ดีจะมีความดันลูกตาต่ำกว่าและเป็นต้อหินน้อยกว่ากว่าคนแก่ที่สะง็อกสะแง็กเคลื่อนไหวลำบากและไม่ได้ออกกำลังกาย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

1.. Harris A, Malinovsky V, Martin B. Correlates of acute exercise-induced ocular hypotension. Invest Ophthalmol Vis Sci. 1994; 35: 3852–3957.2.

2..Conte M, Baldin AD, Russo MR, et al. Effects of high-intensity interval vs. continuous moderate exercise on intraocular pressure. Int J Sports Med. 2014; 35: 874–878.3.

3..Qureshi IA. Effects of mild, moderate and severe exercise on intraocular pressure of sedentary subjects. Ann Hum Biol. 1995; 22: 545–553.4.

4..Avunduk AM, Yilmaz B, Sahin N, et al. Comparison of intraocular pressure reductions after isometric and isokinetic exercises in normal individuals. Ophthalmologica. 1999; 213: 290–294.

7. Krist D., Cursiefen C., Junemann A. Transitory intrathoracic and abdominal pressure elevation in the history of 64 patients with normal pressure glaucoma. Klin Monbl Augenheilkd. 2001;218:209–213. 

8. Kiekens S., De Groot V., Coeckelbergh T. Continuous positive airway pressure therapy is associated with an increase in intraocular pressure in obstructive sleep apnea. Invest Ophthalmol Vis Sci. 2008;49:934–940. 

[อ่านต่อ...]

เจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วนจะออกกำลังกายอย่างไร

(ภาพวันนี้; แอบดูโต๊ะของศิลปิน)

คุณหมอสันต์ครับ

ผมเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบมีอาการเจ็บหน้าอกแบบไม่เร่งด่วน ควรออกกำลังกายได้หรือไม่อย่างไรครับ

อีกอย่างหนึ่งผมทานมังเป็นหลักไม่ทานเนื้อเลยเกิดอาการเวียนศีรษะเป็นเพราะเหตุไรครับ หรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอและควรทานเนื้อสัตว์ได้ขนาดไหนครับ

ขอบคุณครับ

………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าการออกกำลังกายสำหรับคนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบพักแล้วหายเจ็บความทำอย่างไร เรื่องนี้ผมเคยตอบไปนานแล้วแต่จะตอบไว้ตรงนี้อีกเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากคนส่วนใหญ่เมื่อถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดก็จะไม่กล้าออกกำลังกาย บางครั้งหมอเองก็ขู่ว่าห้ามออกกำลังกายเพราะการรักษาโรคนี้ในสมัยก่อนคือห้ามออกกำลังกายจริงๆ สมัยผมเป็นนักเรียนแพทย์นั้นไม่ให้ลงจากเตียงเลย เข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ต้องสอด bed pan กันในเตียงนั่นแหละ

แต่เดี๋ยวนี้เรารู้แน่ชัดแล้วว่านอกจากการจะต้องเปลี่ยนอาหารไปกินพืชให้มากขึ้นและกินไขมันให้น้อยลงแล้ว ยังจะต้องออกกำลังกายด้วยโรคหัวใจขาดเลือดจึงจะดีขึ้นได้ กลไกก็อธิบายได้ไม่ยากเพราะระบบหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจของเรานี้นอกจากหลอดเลือดเส้นใหญ่ๆที่เราเห็นตอนฉีดสีสวนหัวใจแล้ว มันยังมีหลอดเลือดฝอยเล็กๆที่มองตาเปล่าไม่เห็นต้องเอากล้องส่องดูสานกันเป็นร่างแหจำนวนมากโยงใยไปหากันได้หมด ปกติร่างแหเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกปิดไว้ แต่เมื่อเราขยันออกกำลังกายความจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนมากกว่าตอนพักจะกระตุ้นให้ร่างแหหลอดเลือดฝอยเหล่านี้ค่อยๆถูกเปิดออกใช้งาน ทำให้เราออกกำลังกายได้มากขึ้นๆ หัวใจก็แข็งแรงขึ้นๆ

นอกจากการเปิดหลอดเลือดฝอยเก่าออกมาใช้งานแล้ว เดี๋ยวนี้วงการแพทย์ยังรู้ไปถึงว่าหัวใจมีกลไกสร้างหลอดเลือดฝอยขึ้นมาใหม่ (angiogenesis) ด้วย และรู้ไปถึงว่ามีโมเลกุลที่ทำหน้าที่เป็นปัจจัยเร่งให้มีการสร้างหลอดเลือดใหม่ชื่อ vascular endothelial growth factor – VEGF และรู้ไปถึงว่ามีอาหารที่เพิ่มฤทธิ์ของ VEGF ทำให้ช่วยเพิ่มการงอกใหม่ของหลอดเลือด เช่น เปลือกแอปเปิล แครนเบอรี่แห้ง เชอรี่แห้ง บลูเบอรี่ ข้าวบาร์เลย์ พริก โสม หัวหอม สะหระแหน่ เมล็ดฟักทอง สลัดสีใบแดง โรสแมรี เมล็ดงา เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น 

คุยมาตั้งนานยังไม่ได้ตอบคำถามของคุณเลยถามว่าเป็นหัวใจขาดเลือดออกกำลังกายได้ไหม ออกอย่างไร ตอบว่า..คนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดต้องออกกำลังกาย ไม่ใช่ห้ามออกกำลังกาย วิธีออกกำลังกายก็คือให้ออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง (aerobic) เป็นหลัก เช่น เดินเร็ว หรือวิ่งจ๊อกกิ้ง โดยเริ่มเบาๆอุ่นเครื่องก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มการเคลื่อนไหวให้เหนื่อยมากขึ้น เหนื่อยหมายความว่าหายใจหอบขึ้นๆ หัวใจเต้นเร็วขึ้นๆ ทั้งนี้ให้อยู่ในย่านหนักพอควร (เหนื่อยร้องเพลงไม่ได้) ไม่ใช่หนักมาก (คือไม่เหนื่อยถึงกับพูดไม่ได้) เมื่อยังอยู่ในย่านหนักพอควรได้แล้วก็ค่อยเพิ่มระยะเวลาที่ใช้ออกกำลังกายไป โดยหมายเอาอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็นตัวเบรกที่สำคัญ เมื่อเริ่มมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกจึงค่อยชลอลงให้หายเจ็บหน้าอก แล้วจดหรือจำระดับการออกกำลังกายที่ทำให้เจ็บหน้าอกไว้ เช่นวิ่งได้นานกีนาทีถึงเจ็บ เดินได้ไกลกี่เมตรถึงเจ็บ จดบันทึกไว้

จากนั้นให้ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ฝึกออกกำลังกายในระดับที่ต่ำกว่าระดับที่ทำให้เจ็บหน้าอกเล็กน้อย ฝึกอยู่สองสัปดาห์แล้วจึงขึ้นไปทดสอบระดับที่ทำให้เจ็บหน้าอกใหม่ ถ้าเริ่มเจ็บหน้าอกอีกก็แสดงว่ายังไปต่อไม่ได้ ต้องกลับลงมาฝึกแบบเดิมอีกสองสัปดาห์ แต่ถ้าขึ้นไปทดสอบแล้วไปได้โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอก ก็แสดงว่าหัวใจแข็งแรงขึ้น ก็ให้ขยับระดับออกกำลังกายให้ยาวขึ่้นไปอยู่ระดับใหม่อีก 2 สัปดาห์ ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนสามารถออกกำลังกายแบบหนักพอควรได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีทุกวันก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ให้รักษาระดับออกกำลังกายไว้ประมาณนี้ แล้วไม่ต้องโลภมากเอาให้ได้มากกว่านี้ดอก เพราะหากขยับไปออกกำลังกายระดับหนักมากมันเป็นระดับที่คาดเดาความต้องการออกซิเจนของหัวใจในแต่ละวินาทีได้ยาก จึงมีความเสี่ยงที่หัวใจจะขาดเลือดกะทันหัน

2.. ถามว่ามีอาการเวียนหัวเป็นเพราะเปลี่ยนอาหารมาเป็นมังสวิรัติหรือไม่ ตอบว่าอาหารมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นมังสวิรัติหรือกินทั้งพืชและสัตว์ไม่ทำให้เกิดอาการเวียนหัว ยกเว้นคุณจะไปกินเห็ดเมาที่คนเขาไม่กินกันเข้า อาการเวียนหัวในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเกือบจะร้อยทั้งร้อยเกิดจากยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งยาลดความดันและยาลดการใช้ออกซิเจนของหัวใจ ซึ่งก็ต้องมาไล่ดูยาทีละตัตว่ากินยาอะไรอยู่บ้างแล้วเอายาที่ทำให้เวียนหัวออกไปเสีย

3..ถามว่าการเปลี่ยนอาหารจากกินเนื้อสัตว์มากินอาหารมังสวิรัติเข้มงวดจะขาดสารอาหารอะไรไหม ตอบว่าในห้าปีแรกจะไม่ขาดอะไร แต่หลังจากนั้นมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินบี.12 เพราะอาหารมังสสวิรัติที่สะอาดหมดจดไม่มีอะไรปนเปื้อนเลยและไม่มีอาหารหมักดอกจะไม่มีวิตามินบี.12 ดังนั้นควรกินวิตามินบี.12 เสริมอย่างน้อยสัปดาห์ละสัก 1 ครั้ง (ครั้งละ 1 มก.)

อาหารอีกส่วนหนึ่งที่อาจจะขาดได้ในคนออกกำลังกายมากคือแคลอรี่ เพราะอาหารมังสวิรัติมีกากมากแต่มีแคลอรี่ต่ำ เราจะทราบว่าเราขาดแคลอรี่จากการที่น้ำหนักลดลงเกินกว่าที่เราตั้งใจจะให้ลด หมายความว่าน้ำหนักลดลงไปจนดัชนีมวลกายต่ำกว่า 18.5 หากเป็นเช่นนั้นให้ลดอาหารเส้นใยลงมากินพืชที่ให้แคลอรี่มากเพิ่มขึ้นเช่น ธัญพืชต่างๆ หัวใต้ดินเช่นมันเทศมันฝรั่ง และพวกอาหารไขมันเช่น ถั่ว นัท อะโวกาโด้ เป็นต้น

ส่วนอาหารหมวดอื่นๆเช่นโปรตีน แร่ธาตุต่างๆทุกชนิด รวมทั้งวิตามินอื่นๆทุกชนิดที่นอกเหนือจากวิตามินบี.12 นั้นงานวิจัยพบว่าคนกินมังสวิรัติไม่มีขาด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

07 กันยายน 2565

ฝันร้าย และความรู้เรื่องผลของเบียร์ ไวน์ กัญชา ต่อ Cycle และ Stage ของการนอนหลับ

(ภาพวันนี้: ภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว)

กราบเรียนคุณหมอสันต์

ก่อนอื่นผมขอขอบพระคุณคุณหมอสันต์ที่อุทิศเวลาตัวเองมาให้ความรู้คนทั่วไป ตัวผมเองได้ใช้ประโยชน์ในการดูแลตัวเองมาหลายปี จากเดิมผมต้องกินยาลดความดันหลายตัวทั้ง amlodipine prazosin dihydrochlorothiazide มาเดี๋ยวนี้ผมเลิกยาได้หมดแล้ว แต่ผมมีปัญหาอยากปรึกษาเนื่องจากว่าในอดีตผมมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับตัวเอง (ขอไม่เล่า) ผมลืมมันได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนใหญ่ถ้าลืมไม่ได้มันจะมาหลอนผมในความฝัน สองสามปีหลังมานี้มันหายไปซึ่งผมก็ดีใจ แต่ไม่กี่เดือนมานี้มันกลับมาอีกแล้ว ทั้งๆที่ผมก็อายุ 65 ปีแล้ว ผมฝันร้ายเรื่องเดิมบ่อยๆ ตื่นแล้วไม่มีความสุขเลย ไปรักษากับคุณหมอ … ท่านจัดเวลาทำจิตบำบัดให้และให้ยา sertraline มากิน รักษาอยู่เดือนกว่าจนผมเบื่อก็ไม่ดีขึ้นจึงเลิก ผมหันเข้าหาแอลกอฮอล์ (เบียร์) กลับเกิดอาการนอนไม่หลับกลางดึกผสมเข้าไปอีกทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีคนแนะนำให้ผมใช้น้ำมันกัญชา ขอคำแนะนำคุณหมอสันต์ด้วยครับ

ขอบพระคุณอีกครั้ง

…………………………………………………………………..

ตอบครับ

ถามว่าแก่แล้วกลับมาฝันร้ายถึงเรื่องที่ตัวเองถูกทำมิดีมิร้ายเมื่อตอนหนุ่มๆซ้ำๆซาก ตื่นมาแล้วสุขภาพจิตเสีย มันมีความหมายอะไร จะทำอย่างไรกับมันดี ตอบว่า ฮะ ฮ้า วันนี้หมอสันต์ได้เป็นหมอทำนายฝันซะแล้ว เรื่องฝันนี้มันเยอะนะ ทนฟังเอาหน่อย แต่ผมจะคุยแค่ตามหลักวิชาแพทย์จริงๆ ไม่เอาวิชาทำนายฝัน

กลไกการหลับสัมพันธ์แนบแน่นกับกลไกการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทและสมองนั้นเมื่อเครียดจะผลิตสารเชื่อมต่อชื่อ norepinephrine (NE) ออกมาใช้ ยิ่งเครียดมากก็ยิ่งมี NE ในสมองมาก เรียกว่ามันเป็นฮอร์โมนเครียดในส่วนของสมองขณะที่คอร์ติซอลเป็นฮอร์โมนเครียดในส่วนของร่างกาย

ทางด้านการนอนหลับนั้นงานวิจัยคลื่นสมองทำให้เราทราบว่าการนอนหลับปกติของคนเราแบ่งออกเป็นรอบๆ (sleep cycle) วนกันไปเรื่อยคืนละประมาณ 4-6 รอบ แต่ละรอบจะวิ่งวนอยู่ 4 ระยะ คือ

ระยะไม่ฝัน1 (N1) นาน 1-5 นาที

ระยะไม่ฝัน2 (N2) นาน 10-60 นาที

ระยะหลับลึก (N3) นาน 20 – 40 นาที

ระยะหลับฝัน (REM sleep) นาน 10-60 นาที

อาจเหมาโหลพูดแบบบ้านๆก็ได้ว่าการนอนหลับแบ่งเป็นระยะไม่ฝัน (NREM) กับระยะฝัน (REM) ก็ได้ งานวิจัยพบว่าระยะไม่ฝันสมองไม่ได้อยู่ว่างๆแต่ยังสาละวนปล่อยไฟฟ้ามากในส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับความจำราวกับว่ากำลังจัดไฟลข้อมูลเข้าโฟลเดอร์แล้ว SAFE ไว้งั้นแหละโดยมี NE ซึ่งสื่อถึงความเครียดออกมาเล่นด้วย แต่พอเข้าระยะหลับฝันระดับ NE จะลดลงไปมากจนถึงไม่ปล่อยออกมาเลย ราวกับว่าการฝันนี้เป็นการเอาข้อมูลที่เซฟไว้แล้วออกมา edit ใหม่ งานวิจัยเนื้อหาของความฝันพบว่ามีเพียง 5% ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความจำเดิมจากตอนตื่นเมื่อวันก่อนนอน ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอารมณ์และความกังวล ประมาณว่าฝันเป็นผู้เอาความจำออกมาตัดเอาส่วนที่ดรามาวี้ดว้ายกระตู้วู้ทิ้งไปเพื่อให้เหลือแต่เรื่องราวส่วนที่จะเอาไปใช้งานในชีวิตจริงได้ ดังนั้นความฝันจึงสำคัญในแง่เป็นตัวก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ และเป็นตัวช่วยปรับแต่งอารมณ์ของเรื่องในอดีตไม่ให้เวิ่นเว้อน่ากังวลเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าหากความจำที่เก็บมาจากการหลับระยะไม่ฝันมันมีประเด็นความเครียดหรืออารมณ์มาก ฝันนั้นก็ย่อมจะออกแนวดราม่ามากตามไปด้วย

ในกรณีของคุณนี้มีเหตุพิเศษ คือยา Minipress ที่คุณได้มาเพื่อลดความดันมาหลายปีนั้น ชื่อจริงของมันคือ prazosin ซึ่งมีฤทธิ์ระงับฮอร์โมน norepinephrine (NE) ซึ่งเป็นตัวบีบหลอดเลือดทำให้ความดันสูง ฮอร์โมน NE นี้จะผลิตออกมาเมื่อเครียด และเป็นตัวสื่อความเครียดตัวหลักในสมองด้วย ปกติยาส่วนใหญ่ที่เรากินจะไม่สามารถผ่านจากเลือดไปหาสมองได้เพราะมีเยื่อกั้นชื่อ blood brain barrier (BBB) แต่ยา prazosin นี้มันผ่าน BBB ได้ มันจึงไปลดฤทธิ์ของ NE ในสมองและลดความเครียดในสมองลงได้ ทำให้สมองไม่บันทึกอารมณ์เครียดๆในช่วงหลับไม่ฝัน ส่งผลให้ช่วงหลับฝ้นมีแต่ฝันดี นั่นเป็นเหตุผลที่จิตแพทย์ฝรั่งบางคนใช้ยานี้รักษาโรคประสาทสงคราม (PTSD) ให้ทหารผ่านศึก พอคุณหยุดยาพรวดพราด NE ก็จะกระพือส่วนของอารมณ์ที่แทรกอยู่ในความจำร้ายๆเก่าๆเดิมๆออกมา

เพื่อแก้ปัญหานี้ผมแนะนำว่าให้แบ่งเป็นสองขั้น

ขั้นแรก ให้คุณเอายา prazosin กลับมากินใหม่ แม้ว่าความดันจะไม่สูงแล้ว แต่กินเพื่อรักษาโรคประสาทสงคราม ไม่ได้รักษาความดัน

ขั้นที่สอง ให้คุณเริ่มฝึกวางความคิดเข้าสู่ความรู้ตัวอย่างจริงจัง อ่านบล้อกเก่าๆของผมแล้วฝึกตาม ฝึกไปทั้งวันทั้งคืนจากตื่นจนชนนอนหลับ ฝึกจนถึงจุดหนึ่งที่ความรู้ตัวของคุณเริ่มจะกำกับความฝันของคุณได้ นั่นแหละคุณบรรลุแล้ว ถึงตอนนั้นก็ค่อยๆเลิกยา prazosin โดยจะไม่กลับมาฝันร้ายอีก

ส่วนเบียร์ก็ดี กัญชาก็ดี ซึ่งคนส่วนใหญ่หลงเข้าใจว่ามันช่วยให้หลับดีนั้น งานวิจัยคลื่นสมองขณะใช้สารสองตัวนี้กลับพบว่าทั้งสองตัวเป็นแค่มีฤทธิ์กล่อมประสาท (sedative) ซึ่งอาจทำให้ถูกตัดขาดจากความคิดชั่วคราวแล้วหลับลงได้ง่าย แต่มันไม่มีฤทธิ์ให้นอนหลับได้ดีขึ้นหรือยาวขึ้นแต่อย่างใด และเมื่อวิเคราะห์คลื่นสมองขณะนอนหลับภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์พบว่าเป็นการหลับแบบหลับๆตื่นๆโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว และเมื่อดูระยะของการหลับฝันพบว่าทั้งแอลกอฮอล์และกัญชาไปทำให้ระยะหลับฝันหรือ REM sleep สั้นลง นี่ไม่ใช่ความลับอะไร ใครๆเขาก็รู้กันทั่ว ประเด็นสำคัญคือวงการแพทย์ทุกวันนี้เห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ว่าระยะหลับฝัน (REM sleep) เป็นระยะการนอนหลับที่สำคัญและจำเป็นต่อการมีสุขภาพจิตดีเมื่อตื่นขึ้น ดังนั้นใครจะสรรเสริญว่า เบียร์ ไวน์ กัญชา ดีต่อการนอนหลับอย่างไรก็ช่างเขาเถอะ แต่หมอสันต์แนะนำว่า..อย่าใช้ดีกว่า

แต่สิ่งที่พึงทำตลอดการคือการปฏิบัติสุขศาสตร์ของการนอนหลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (1) นอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา (2) จัดเวลานอนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง (3) เตรียมความพร้อมก่อนนอน ผ่อนคลาย ไม่รับรู้เรื่องตื่นเต้น ทำท้องให้ว่าง (4) จัดห้องนอนให้ มืด เงียบ เย็น และใช้นอนอย่างเดียว ไม่ใช้ทำงาน (5) เลิกสารกระตุ้นและยา รวมทั้งชา กาแฟ ใกล้เวลานอน (6) ทำสมาธิแบบผ่อนคลาย วางความคิดให้หมด ก่อนล้มตัวลงนอน (7) ตื่นเช้าออกกำลังกายให้หนัก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

06 กันยายน 2565

"EMS 1669" ดาวโหลดไว้เสียแต่ตอนนี้เลย

เรียนคุณหมอสันต์

ฉันอายุ 75 ปี ไม่ได้มีการศึกษาสูงอะไร อยู่คนเดียว เมื่อหลายวันก่อนฉันรู้สึกว่าตัวเองโงนเงน ทรงตัวไม่ถนัด จะล้ม จนต้องนอนลงบนพื้นกระเบื้องกลางบ้าน พยายามโทรศัพท์มือถือไปบอกหลาน (ลูกน้องสาว) ที่ฉันเข้าใจว่าเขายังอาลัยอาวรณ์ฉันอยู่ แต่กดโทรศัพท์ผิดๆถูกๆไปเข้าสายใครไม่รู้ไม่ได้พูดกับหลานสักที ฉันลุกไม่ขึ้นจึงต้องนอนอยู่อย่างนั้นแต่หัวค่ำถึงรุ่งเช้าจึงลุกเดินได้ อยากถามว่าอาการของฉันเป็นอะไร ฉันจะอยู่คนเดียวได้ไหม ถ้าไม่ได้ฉันจะไปอยู่ที่ไหนดี หมอสันต์ช่วยแนะนำด้วย ฉันมีเงินอยู่ราว 2 ล้านบาท มีบ้านชั้นเดียว 60 วาหนึ่งหลัง

……………………………………………………………………………

ตอบครับ

(update 14 มค. 57)

ก่อนอ่านคำตอบนี้ผมขอแจ้งข้อมูลใหม่ว่าขณะนี้โปรแกรม EMS 1669 ของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินได้หยุดให้บริการด้วยเหตุใดไม่ปรากฎ สถาบันฯได้ให้ข่าวว่าจะเอาไปให้ 191 ทำต่อ ดังนั้นข้อมูลในบทความนี้อาจจะใช้การไม่ได้เสียแล้วครับ ส่วนเขาจะกลับมาให้บริการอีกหรือไม่ ให้เมื่อไหร่ ผมจะพยายามติดตามมาเล่าให้ฟังครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ตอบครับ

1.. ก่อนที่ผมจะลืม ให้คุณพี่ และท่านผู้อ่านทุกท่านดาวน์โหลดแอ็พมือถือชื่อ “EMS 1669” ไว้เสียแต่ตอนนี้เลยทุกคน โหลดเดี๋ยวนี้เลย แอ๊พนี้เป็นของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน ถ้ามีแอ๊พนี้ เวลาจะเรียกรถพยาบาลก็แค่กดปุ่มแดงอันเบ้อเร่อจึ๊กเดียว แล้วรถฉุกเฉินเขาจะวิ่งมาตามโลเคชั่นที่คุณถือโทรศัพท์อยู่ซึ่งแอ็พนี้มันจะแจ้งเขาไปเองแบบอัตโนมัติ คุณไม่ต้องเสียเวลาบรรยายบอกทางว่าเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อย่างไร เพราะเมืองไทยนี้เลขที่บ้านก็ไม่เรียงกัน ซอยก็ไม่เรียงกัน บางหมู่บ้านซอยคี่อยู่ซ้าย บางหมู่บ้านซอยคี่อยู่ขวา แถมบ้างบ้านของตำบลหนึ่ง ไปแทรกอยู่กลางซอยของอีกตำบลหนึ่งได้ไงก็ไม่รู้เหมือนกันเช่นบ้านหมอสันต์เป็นต้น เพราะฉะนั้น.. EMS 1669 จงเจริญ

2.. อีกอย่างหนึ่งอย่าท้อถอยที่จะใช้เครื่องมือสื่อสาร ถึงใช้ผิดๆถูกๆก็ต้องทู่ซี้ใช้ มีแฟนบล้อกท่านหนึ่งอายุแปดสิบกว่าบอกผมว่ากว่าจะส่งเฟซบุ้คมาหาหมอสันต์ได้ส่งผิดไปสามที่ เขารุมท้วงมากันใหญ่ ไม่เป็นไร ขอให้ทู่ซี้ใช้ ความสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารได้ถือว่าเป็น instrumental activity daily living (IADL) ซึ่งหากทำไม่ได้ก็จะหล่นจากการเป็นผู้ป่วยสมองเสื่อมระดับเบาลงไปเป็นระดับปานกลางทันที เพราะเมื่อใช้โทรศัพท์มือถือไม่ได้ก็จะขาดคุณสมบัติข้อที่ว่า “อยู่คนเดียวได้” ไปโดยปริยาย

3.. ถามว่ามีอาการโคลงเคลงจนจวนเจียนจะล้มจึงนอนลงแซ่วอยู่กลางลานบ้านข้ามคืนเป็นโรคอะไร หิ หิ ให้ข้อมูลมาแค่นี้จะตอบได้ไหมเนี่ย แต่ชื่อว่าหมอสันต์จะตอบหมดแหละ ถูกผิดอีกเรื่องหนึ่ง โอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคือคุณพี่เป็นอัมพาตเฉียบพลัน (stroke) สมัยก่อนวงการแพทย์สอนคนทั่วไปว่าวิธีวินิจฉัยสโตร้คคือ FAST ซึ่งแปลว่า

F คือ Face แปลว่าหน้าเบี้ยว

A คือ Arm แปลว่าแขนอ่อนแรง

S คือ Speech แปลว่าพูดไม่ชัด

T คือ Time แปลว่าให้รีบไปโรงพยาบาล

แต่ว่างานวิจัยตามหลังการเอา FAST ออกไปใช้พบว่า 14% ที่เป็นสโตร๊คไม่เก็ทว่าตัวเองเป็นสโตร๊คและไม่ได้รีบมาโรงพยาบาล เพราะมีอาการไม่เข้าสะเป๊ค เช่นมีอาการทรงตัวไม่อยู่อย่างคุณนี้บ้าง มีอาการตามืดบ้าง จึงคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นสโตร้ค ทำให้สมาคมหัวใจและสมาคมอัมพาตอเมริกา (AHA/ASA) เปลี่ยนสโลแกนการวินิจฉัยอัมพาตเฉียบพลันเสียใหม่ว่า BE-FAST คือ

B – Balance สูญเสียการทรงตัว

E – Eyes ตามืด

F – Face หน้าเบี้ยว

A – Arm แขนอ่อนแรง ยกไม่ขึ้น

S – Speech พูดไม่ชัด

T – Time เตือนว่าต้องรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

ดังนั้นครั้งต่อไปแฟนบล้อกหมอสันต์ท่านใดเป็นสโตร๊คโปรดใช้สโลแกนอันใหม่นี้นะ

4.. ถามว่าอายุ 75 ปี เป็นสโตร๊คมาแล้วจะอยู่บ้านคนเดียวได้ไหม ตอบว่าอยู่ด้าย..ย ทำไมจะไม่ได้ คนที่เขาอายุมากกว่านี้ เป็นอะไรมากกว่านี้ เขายังอยู่คนเดียวได้เลย

5.. ถามว่ามีบ้านหลังหนึ่ง มีเงินสองล้าน จะไปอยู่ไหนดี ฮิ ฮิ ตอบว่าก็อยู่บ้านตัวเองนั่นแหละครับจะดิ้นรนไปอยู่ที่ไหนอีกละเพราะเวลาไม่มีแล้ว เอ๊ย..ไม่ใช่ เพราะอยู่บ้านของเราดีที่สุดแล้ว แต่ว่าคุณพี่อย่าเที่ยวไปโพนทะนาว่ามีเงินสองล้านนะ เดี๋ยวจะถูกหลอกแฮ้บเงินผ่านมือถือแบบเนียนๆ แล้วก็ระวังคนชอบเลียนเสียงหล่อๆโทรมาบอกว่าเป็นหมอสันต์กำลังถังแตกฉุกเฉินช่วยโอนเงินให้หน่อย (มีคนโดนมาแล้วและเสียเงินไปแล้วด้วย) หิ หิ

สรุปว่า

“..บ้าน คือวิมานของเรา
ยามพบความเศร้า รีบกลับบ้านเราจะเปรมปรีดา
เพราะบ้านมีรัก น้ำใจ อภัยกรุณา
คอยเราอยู่ทุกเวลา ในชายคาเขตบ้านของเรา..”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

04 กันยายน 2565

คนแก่เซ็กซ์จัดอยากบรรลุธรรม

(ภาพวันนี้: อ่างลำตะคองที่สีคิ้ว เส้นโค้งขาวล่างขอบอ่างคือทางด่วนพิเศษใหม่)

คุณหมอสันต์ครับ

ผมเป็นวิศวกรอายุ 72 ปี ได้ติดตามหมอสันต์ในเรื่องคำสอนทางจิตวิญญาณมานาน และได้นำไปปฏิบัติซึ่งทำให้ชีวิตของผมดีขึ้นมาก เครียดน้อยลงแยะ ที่เขียนมานี้คือปัญหาเรื่อง sex ว่าผมทิ้งมันไม่ได้ หมอสันต์บอกว่าการฝึกม้าต้องเริ่มกั้นคอกก่อนเหมือนคนเราฝึกสติต้องเริ่มด้วยวินัย แต่ผมไม่มีเลย แค่ศีล 5 ผมก็อยู่ไม่ได้แล้ว เพราะมันติดที่ข้อ 3 ขอถามว่าผู้ชายอายุเท่าไหร่ sex drive ถึงจะหมด แล้วการจะหลุดพ้น ต้องกำจัด sex อย่างไร

ขอบพระคุณครับ

……………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าผู้ชายอายุเท่าไหร่เซ็กซ์ถึงจะหมด ตอบว่าจะหมดเมื่อตายเรียบร้อยแล้วครับ เพราะบางคนอีกหนึ่งนาทีจะตายก็ยังไม่หมด นี่ผมสังเกตเอาจากคนไข้ที่ตายต่อหน้าผมเป็นจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ชาย

อุปมา1. หลายปีมาแล้วผมไปดูภาพเขียนสมัยกลางในมิวเซียมแห่งหนึ่งที่เมืองเวียนนา เป็นภาพที่เขียนโดยคาราวักจิโอ (ถ้าผมจำไม่ผิด) แต่ที่จำได้แม่นคือเป็นภาพพระแก่ผมขาวสองคนกำลังกดดันที่จะมีเซ็กซ์กับหญิงสาวโดยอ้างจะขับไล่ซาตานให้ ภาพนั้นบอกสองอย่างคือ (1) แก่จนผมขาวหมดแล้วเซ็กซ์ก็ยังไม่หมด (2) บวชถือศีลไม่ยุ่งกับเซ็กซ์มานานตัั้งแต่หนุ่มจนแก่ คือพระแคธอลิกสมัยก่อนต้องบวชตั้งแต่เป็น novice คืออยู่ในวัยหนุ่ม แต่กดไว้จนแก่แล้วเซ็กซ์ก็ยังไม่หมด

อุปมา2. หลายสิบปีมาแล้วสมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัด ตอนนั้นนางอินทิรา คานธี เป็นใหญ่ คือเป็นนายกอินเดีย นายสัญชัยซึ่งเป็นลูกชายของเธอก็ตั้งตนเป็นอุปราช เขาแก้ปัญหาประชากรอินเดียล้นโดยการจับผู้ชายอินเดียตอนหมดทั้งหมู่บ้าน แม้คนอายุ 90 ปี 100 ปีก็จับตอนหมดจนประชาชนประท้วงเป็นข่าวไปทั่วโลก แต่ผมเห็นด้วยกับนายสัญชัย เพราะตอนนั้นผมเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่ที่รพ.เลิดสิน กลางคืนมีคนไข้แขกอินเดียอายุ 94 ปีท่านหนึ่งมาใช้บริการที่ห้องฉุกเฉิน คุณปู่เอาหลานเอาเหลนอายุสามสี่ขวบมาด้วยวิ่งกันเจี๊ยวห้องฉุกเฉิน ผมจึงปรามคุณปู่ว่าให้หลานเหลนของคุณออกไปวิ่งข้างนอกได้ไหม คุณปู่แขกอายุ 94 ปีตอบว่า

“พวกมันเป็นลูกของผมเอง”

ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

และเพื่อเป็นข้อมูลแก่ท่าน โครงการห้าวของนายสัญชัยไม่ได้ผล เพราะตอนนายสัญชัยเริ่มโครงการคุมประชากรนั้นอินเดียมีราว 600 ล้านคน ไทยมี 42 ล้าน แต่ทุกวันนี้อินเดียมี 1380 ล้านคน ไทยมี 69 ล้าน ถ้าอัตราเพิ่มประชากรแถบนั้นยังเพิ่มในระดับนี้ต่อไป อีกไม่นานจะมีคลื่นมนุษย์ที่เป็นเหมือนคลื่นน้ำมหาสมุทรไหลบ่าจากที่สูงไปที่ต่ำทั่วโลกรวมทั้งไหลมาที่พื้นที่สีเขียวๆอย่างไทยด้วย ถึงตอนนั้นใครหรืออะไรก็เอาไม่อยู่ทั้งนั้น

อุ๊บ.. อย่านอกเรื่อง กลับเข้าเรื่องของเราดีกว่า

2.. ถามว่าอยากจะบรรลุธรรม แล้วจะกำจัดเซ็กซ์ได้อย่างไร ขอตอบเป็นขั้นเป็นตอนนะ

ขั้นที่ 1.. คุณต้องเข้าใจว่าเซ็กซ์มันมาสู่การรับรู้ของเราในรูปของความรู้สึก คำพระเรียกว่า “เวทนา” อันว่าเวทนาที่กล้าแข็งที่สุดของมนุษย์สามอันดับแรกผมยกให้ตามลำดับดังนี้

(1) ความปวด

(2) ความหิว

(3) เซ็กซ์

การจัดอันดับเนี่ยผมจัดเองตามประสบการณ์ตัวเองนะ คนที่ไม่เคยหล่นจากหลังคาจนหลังหักสะโพกหักแขนหักอาจไม่จัดลำดับแบบนี้ก็ได้ แต่เอาเป็นว่าเซ็กซ์เป็นเวทนาระดับ top three ก็แล้วกัน เนื่องจากผมไม่ถนัดภาษาบาลี ต่อไปคำว่าเวทนานี้ผมขอใช้ภาษาอังกฤษแทนว่า feeling ก็แล้วกัน

ขั้นที่ 2.. คุณต้องเข้าใจว่า feeling มันมากลายเป็นพฤติกรรมของเราได้อย่างไร มันเริ่มในรูปของรายงานความรู้สึกจากปลายประสาทรับความรู้สึกของร่างกาย หรืออายตนะ (sense organ) นะ เมื่อใจเรารับรู้รายงานนั้น มันก็กลายเป็น feeling ขึ้นในใจ แล้วมันก็ต่อยอดไปเป็นความอยาก ซึ่งเป็นความคิด (thought) ซึ่งหากเราตามความคิดนี้ไปมันก็จะผลักดันเราไปสู่การกระทำ

ขั้นที่ 3.. คุณต้องเลือกยุทธวิธีที่จะรับมือกับ feeling ซึ่งมีสามยุทธวิธี คือ

(1) ตามมันไป ซึ่งคุณก็จะไปจบแบบคุณปู่แขกอายุ 94 ปีคนนั้น คือแก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้วลูกยังอายุสามขวบอยู่เลย

(2) กดมันไว้ (ด้วยศีล) ซึ่งถ้ากดไม่อยู่คุณก็จะไปจบแบบพระฝรั่งที่ต้องมาหาวิธีหลอกอึ๊บเด็กเอาตอนแก่ผมขาวแล้ว

(3) เฝ้าสังเกตดูมัน ฮ่า..นี่เป็นสุดยอดวิชา ต้องพูดกันยาว

เมื่อ feeling เกิดขึ้น คุณเฝ้าสังเกตดูมันอย่างมีสติ ปล่อยให้มันเข้ามา อย่าไปเก็บกด แต่อย่าเสียสติไปกับมัน แค่สังเกตดู

โดยธรรมชาติของ feeling มันมา..แล้วมันก็ไป

คุณฝึกอย่างนี้คุณจะเริ่มรู้จัก feeling ลึกซึ้งขึ้นๆ คุณจะรู้ว่ามันมีอยู่เป็นชั้นๆ มีหลายชั้น การสังเกตดู feeling เหมือนการแกะชั้นหอมชั้นกระเทียม อย่าง feeling ในเรื่องเซ็กซ์นี้ ชั้นนอกหยาบกระด้าง ถัดเข้าไปเป็นความเร่าร้อน ลึกเข้าอีกไปมีความหยาดเยิ้ม ลึกเข้าไปอีกเป็นความนุ่มนวลแผ่วเบาสบาย คุณต้องปักหลักสังเกตให้มั่น อย่าเสียสติหลุดเข้าไปอยู่ในชั้นใดชั้นหนึ่ง แต่ถ้าหลุดไปแล้วก็แล้วไป เอาใหม่ ล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก คุณแกะไปทีละชั้นๆ จนไปถึงชั้นในสุด มันเป็นความว่างเปล่า เหลือแต่ความรู้ตัว ไม่เหลืออะไรเลย ฮ่า การสังเกตดู feeling ของคุณครั้งนั้นจบแล้ว

คุณอายุ 72 ปีแล้ว เป็นรุ่นพี่หมอสันต์ ผมไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะพูดอะไรไปคุณพี่ก็คงไม่เชื่อ ขอพูดประเด็นเดียว ว่าปูนนี้แล้วจะเลือกยุทธวิธีไหนใช้ชีวิตแบบไหนไม่มีใครว่าอะไรได้หรอก ผมจะแค่ remind ว่าชีวิตนี้มันสั้นมาก เผลอแป๊บเดียวก็ตายเสียแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้ช่างจำกัด โอกาสที่จะได้ใช้ประโยชน์จากร่างกายนี้เริ่มนับถอยหลังได้ คุณพี่จะใช้มันทำอะไร..คุณพี่เลือกได้นะ ใจคอคุณพี่จะจมอยู่กับเดิมๆที่ทำมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่โดยไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยรู้เลยเหรอครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

03 กันยายน 2565

แค้มป์คุณภาพชีวิตผู้สูงวัย 14-16 ตค. 65 เอาแบบที่งานวิจัย FINGER ว่าสมองจะไม่เสื่อม

(ภาพวันนี้: เขาหัวง้มหลังแบน ซ้อนๆๆกันหลายลูกที่สีคิ้ว)

14-16 ตุลาคม 2565 จังหวะดีคณะที่จองการประชุมที่เวลเนสวีแคร์ไว้เขาของด ผมจึงถือโอกาสใช้ห้องที่ว่าและอากาศที่เย็นๆของเดือนตุลาจัดแค้มป์ “สุขภาพชีวิตผู้สูงวัย” คืออยากทำอะไรให้ผู้สูงอายุได้ทำอะไรที่ดูเหมือนจริงจัง แต่ทำเล่นๆ แบบว่า

“Focus on enjoyment, not achievement.”

“ใส่ใจความสนุก ไม่ใส่ใจความสำเร็จ”

ผมบอกหมอเน็ทซึ่งเป็นทั้งคู่หูและผู้ช่วยของผมว่าทำอะไรก็ได้ให้ผู้สูงวัยได้มีโอกาสใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับที่งานวิจัย FINGER ค้นพบว่าป้องกันและแก้สมองเสื่อมได้..คือ

(1) อาหารพืชเยอะๆและหลากหลาย

(2) ได้ออกกำลังกายหลายชนิดหลายประเภท

(3) ได้ทำกิจกรรมท้าทายสมองที่ไม่เคยทำมาก่อน

ซึ่งหมอเน็ทก็ปั่นออกมาเป็นตารางอย่างที่เห็นข้างล่างนี้

ประจวบกับเมื่อวันก่อนมีคนไปร้องเพลงที่ปากช่องแล้วกลับมาสรรเสริญเยินยอว่านักเปียโนคนหนึ่งที่ปากช่องเล่นเปียโนให้นักร้องรุ่น “เดอะ” ร้องเพลงได้ทุกเพลง เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสว.นักร้อง ผมจึงได้เชิญนักเปียโนท่านนั้นมาร่วมแจมอาหารเย็นกับสมาชิกแค้มป์ด้วยหนึ่งวัน

ดังนั้นแฟนบล็อกหมอสันต์ท่านใดสนใจจะมาร่วมแจมในแค้มป์เบาๆนี้ก็เชิญได้เลยนะครับ

ตารางกิจกรรม

วันแรก (14 ตุลาคม 2565) 

09.00-09.30    Registration ลงทะเบียนเข้าแค้มป์ เช็คอินเข้าห้องพัก 

09.30-11.00   Meet Dr.Sant พบกับหมอสันต์ ทำความรู้จักกันในวันเบาๆและตอบคำถามสุขภาพทุกเรื่อง  

10.00-12.00   Sudoku เกมท้าทายสมองแบบญี่ปุ่น  (คุณหมอเน็ท) 

12.00-14.00    Cooking demo and lunch สาธิตสอนทำอาหาร PBWF และอาหารเที่ยง 

14.00-17.00  Watercolor painting ฝึกเขียนภาพสีน้ำ

18.00-20.00    Dinner รับประทานอาหารเย็น ควบร้องเพลงกับเปียโน  

วันที่ 2 (15 ตุลาคม 2565) 

70.00 – 8.00 Let’s see how fit you are? ทดสอบความฟิตร่างกาย

(1) One Minute Sit-to-Stand test ลุกนั่งภายใน 1 นาที 

(2) Time Up and Go test การลุกเดินและวนกลับ 

(3) Balance and flexibility exercise  ฝึกการทรงตัว

(4) Six-minute walk test ทดสอบสมรรถนะด้วยการเดิน 6 นาที  

08.00 – 09.30  Breakfast and personal time  รับประทานอาหารเช้า และพักผ่อนส่วนตัว 

9.30 – 10.30 Health overview ภาพรวมของการมีสุขภาพดีและการใช้ตัวชี้วัดสุขภาพ 7 อย่าง(คุณหมอเน็ท) 

10.30 – 11.30 Fun with herbs and spices สนุกกับสมุนไพรและเครื่องเทศ เกมทายชื่อสมุนไพรและเครื่องเทศ (มอง จับ ดม ชิม), เกมเลือกสมุนไพรและเครื่องเทศให้คนขี้โรค

11.30-12.00 Relaxing Yoga โยคะเพื่อการผ่อนคลาย 

12.00 – 14.00  Lunch อาหารกลางวัน 

14.00-15.30   Strength training ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ(คุณหมอเน็ท) 

16.00 – 17.00  Line dance สนุกกับการเต้นไลน์ด้านซ์ 

18.00 – 20.00  Dinner รับประทานอาหารเย็น

วันที่ 3  (16 ตุลาคม 2565) 

07.00 – 08.00 Stress management จัดการความเครียดด้วยการฝึกสมาธิและไทชิ (คุณหมอสันต์)

08.00 – 09.30  Breakfast and personal time รับประทานอาหารเช้า และพักผ่อนส่วนตัว 

09.30 – 12.00  Little green world เพลิดเพลินกับโลกใบเล็กในขวดโหล(โดยครูอ้น) 

12.00 – 13.00  Lunch อาหารกลางวัน 

13.00 น.         Camp Finale ปิดแค้มป์ 

ค่าลงทะเบียน

แค้มป์คุณภาพชีวิตผู้สูงวัย (Senior quality life camp) คนละ 12,000 บาท

ราคานี้รวมอาหาร ที่พัก และอุปกรณ์กิจกรรม

ในกรณีที่แชร์ห้องพักก้นได้ (ห้อง double bed) ห้องละ 2 คน จะได้ส่วนลดค่าห้องคนละ 1,000 บาท

ไม่จำกัดอายุผู้เข้าร่วมแค้มป์

วิธีลงทะเบียนเข้าเรียน

โทรศัพท์ลงทะเบียนกับเวลเนสวีแคร์ที่หมายเลข 0636394003

หรือไลน์ @wellnesswecare

หรืออีเมล host@wellnesswecare.com

การเตรียมตัวไปเข้าคอร์ส

     แนะนำให้เตรียมเครื่องแต่งกายที่เคลื่อนไหวทำกิจกรรมและออกกำลังกายสะดวก ควรมีรองเท้าผ้าใบที่เดินบนพื้นหินขรุขระได้ และควรมีหมวกกันแดด และครีมกันแดด

การเดินทางไปเข้าคอร์ส

     เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ตั้งอยู่ในมวกเหล็กวาลเลย์ เลขที่ 204/39 ม.5 ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือขึ้นรถตู้กทม.-มวกเหล็ก หรือรถไฟ (ลงสถานีมวกเหล็ก) ในกรณีเดินทางด้วยรถตู้หรือรถไฟ ต้องหารถรับจ้างจากตลาดมวกเหล็กเข้ามาส่งเอาเอง เวลเนสวีแคร์ซึ่งตั้งอยู่ในมวกเหล็กวาลเลย์อยู่ห่างจากตลาดมวกเหล็กราว 4 กม.

    กรณีเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ให้ใช้ Google Map โดยพิมพ์คำว่า Wellness We Care Center

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

02 กันยายน 2565

อย่าถอยกลับไปสนามหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า

(ภาพวันนี้; บ้านของเพื่อนบ้านในวัยหนุ่มสาว สร้างบ้านทรงกล่อง แล้วเปิดอ้าซ่าหน้าทะลุหลัง)

คุณหมอสันต์ครับ

1.. ผมได้ฝึกวางความคิดมาหลายปี เวลาเกิดความคิดขึ้นในหัว แล้วลองใช้เสียงโอม เมื่อมีความคิดเกิด, ตามดูลมหายใจเข้า-ออก, การทำ body scan , การผ่อนคลายร่างกาย จากการสังเกตตัวเอง พบว่า บางทีการนั่งนิ่งๆ เป็นชั่วโมง ร่วมกับการผ่อนคลายร่างกาย แต่ยังเกิดความคิดจาก conditional reflex เดิมๆ จริงๆ แล้วพบว่า มันยากมากที่จะวางความคิดเดิมๆทั้งชีวิตที่มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ในหัวลงได้ เพราะมันเป็นความคุ้นชินแบบต่อยอด สังเกตดูเรื่องมันก็แนวเดิมๆ ต่อยอดไปเรื่อยๆ  คำถามคือ เราจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความคิดสั่วๆ ที่เป็นอัตโนมัติในหัวแบบนี้ได้อย่างไรครับ ถ้าหากเราใช้เครื่องมือพวกนี้ครบถ้วนแล้ว แต่เจ้าความคิดยังเกิดขึ้นอยู่ จนยังเข้าไม่ถึงสมาธิ และทำให้การวางความคิดไม่สำเร็จ

2.. เราจะเข้าไปสังเกตความคิดที่เกิดขึ้นโดยตรงโดยไม่ต้องทำสิ่งที่บอกในข้างต้น ได้หรือไม่ครับ คือเน้นแต่ความตื่นตัวอย่างเดียวทีละแว๊บๆ ใช้ชีวิตไปในแต่ละขณะๆ เท่านั้น เพราะเคยไปสัมภาษณ์คนที่กระทำผิดซ้ำ หรือคนที่เคยทำผิดค่านิยมของคนในสังคม  เท่าที่สังเกตพบว่า คนพวกนี้มีจุดร่วมกันอย่าง หนึ่งคือ เป็นคนไม่คิดไรมาก ยอมรับทุกอย่างง่ายดาย วางอะไรในชีวิตได้ง่าย ไม่รู้สึกผิดในสิ่งที่ตนทำในอดีต มีชีวิตอยู่แต่กับปัจจุบัน หมายถึง พวกเขามักไม่สนใจคนอื่น สังคมรอบตัว คนแนวๆ นี้ดูมีบุญนะครับ เพราะความคิดเก่าๆเจาะเข้ามาในหัวเขาไม่ได้เลย กรรมคงตามเขาไม่ทัน 555  คงตามทันแต่คนที่คิดมาก หรือพวก  perfectionist ที่วางอีโก้ไม่ได้

คำถามคือ… คนที่มีบุคลิกคิดมาก อีโก้สูง จะวางความคิด และสร้างนิสัยใหม่แบบที่พวกที่กล่าวมาในข้างต้นได้อย่างไรครับ ถ้าพื้นฐานเราเป็นคนมีอัตตาสูงและยังใช้เครื่องมือที่คุณหมอให้ไม่ดีพอ มันมีวิธีการอะไรที่เป็นธรรมชาติ ให้ชีวิต acceptance  ในทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้ไหมครับ 

3.การสังเกตความคิดโดยเริ่มจากการดูภาพในหัว สังเกตลมหายใจตัวเอง แล้วหลับตาสังเกตเสียงจากสิ่งแวดล้อมภายนอก แล้วกลับมาดูความเงียบภายในตัวเอง หรือเมื่อเกิดความคิดมาแล้วย้อนดูหัวเรื่อง ตามลม ดูความคิดที่เป็นภาพในหัว รวมถึงวิธีการตื่นตัวรอดูความคิดที่เกิดขึ้น วิธีการพวกนี้ทำโดยไม่ต้องใช้สมาธิในรูปแบบเลยได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ

…………………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. จะเข้าไปสังเกตความคิดตรงๆโดยไม่ต้องมัวแต่รำมวยใช้เครื่องมือต่างๆที่หมอสันต์สอนได้ไหม

ก่อนจะตอบคำถามนี้ สมมุติว่าผมเป็นนายช่างใหญ่ แล้วมีเท็คนิเชี่ยนลูกน้องคนหนึ่งมาถามว่า

“พี่ครับ ผมขอต่อปลั๊กไฟโดยไม่ต้องใช้คีม คัตเตอร์ ไขควง ได้ไหมครับ”

คุณจะให้ผมตอบว่าอย่างไร ผมก็ต้องตอบว่า

“ได้สิวะ หากเอ็งสามารถใช้ปากและฟันปอกสายไฟได้”

ฉันใดก็ฉันเพล ผมตอบคุณว่าได้สิครับ ถ้าคุณสามารถเจาะเข้าไปในเกราะอันแน่นหนาของความคิดที่ฟอร์มเป็นอัตตาของคุณได้ด้วยมือเปล่า

2.. ถามว่าจะเอาแบบอย่างโจรคืออยากทำไรก็ทำไปไม่คิดไรมากอยู่มันไปทีละขณะดีไหม ตอบว่าดีแน่นอนครับ โดยเฉพาะสำหรับคนมีคอนเซ็พท์มากหรือบ้าดีอย่างคุณ ปราชญ์ทุกยุคก็ล้วนเน้นย้ำความสำคัญของการที่จะต้องเลิกเป็นคน “บ้าดี” ให้ได้เสียก่อน คุณคงเคยได้ยินเรื่องหลวงพ่อนิกายเซ็นพาสามเณรบ้าดีไปเดินป่าข้ามลำธาร สบโอกาสหลวงพ่อก็อุ้มสาวเดิมข้ามน้ำโชว์ให้สามเณรดูซะเลย แต่ว่านั่นเป็นเรื่องระดับคอนเซ็พท์หรือนโยบายแค่นั้นนะ ผมเชื่อว่าคุณเปลี่ยนคอนเซ็พท์หรือทิศทางในการแสวงหาของคุณได้ไม่ยากหรอก แต่การลงมือทำจริงๆนี่สิ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คุณจะต้องใช้ “เครื่องมือ” การที่โจรประกอบความเลวแล้วอยู่ได้โดยไม่ทุกข์นั้นก็เป็นเพราะโจรเขาใช้เครื่องมือวางความคิดได้เก่งกว่าคุณ

ว่าที่จริงๆแล้วผมอยู่มาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ก็ยังไม่เคยเห็นครูคนไหนระดับเจ๋งๆที่จะสอนให้หลุดพ้นจากความคิดได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเลยนะ ผมเดาว่าคุณเป็นชาวพุทธ ยกตัวอย่างในคำสอนของพุทธะก็ได้ เวลาชาวพุทธมีญาติป่วยหนักจนหมดปัญญารักษา เขานิยมนิมนต์พระมาสวดข้างเตียงใช่ไหม บทสวดที่พระสวดให้คนป่วยฟังนั่นแหละ เป็นของดี ขอโทษนะผมต้องอ้างเป็นภาษาอังกฤษเพราะผมอ่านพระไตรปิฎกบ้างแต่ก็อ่านได้แต่ฉบับภาษาอังกฤษ ไม่รู้ภาษาบาลี สูตรนั้นเรียกว่า The Seven Factors of Enlightenment ฝรั่งเรียกง่ายๆว่า “Bhikkhu Sutta” ซึ่งผมแปลว่า “ปัจจัย 7 อย่างที่ช่วยให้ตรัสรู้ได้” ทั้งเจ็ดอย่างในบทสวดนั้นมีอะไรบ้าง ผมจะโค้ดต้นฉบับภาษาอังกฤษและบาลีมาแล้วแปลเป็นไทยให้ในภาษาของผมเองให้คุณดูนะ

  1. Mindfulness (sati) สติ
  2. Investigating (dhamma vicaya) การคัดสรรเลือกเฟ้น
  3. Energy (viriya) ตื่นตัวใส่พลัง
  4. Rapture (piti) เบิกบาน
  5. Relaxation (passaddhi) ผ่อนคลาย
  6. Concentration (samadhi) จดจ่อสมาธิ
  7. Equanimity (upekkha) ยอมรับง่ายๆตามที่มีที่เป็น

คุณดูทั้งเจ็ดข้อนี้ให้ดีนะ ทุกอันมันไม่ใช่คอนเซ็พท์หรือเข็มทิศบอกทางนะ แต่มันเป็นเครื่องมือปฏิบัติดีๆนี่เอง ยกเว้นตัวสุดท้ายซึ่งอาจจะเป็นทั้งเครื่องมือด้วยเป็นทั้งเป้าหมายด้วย ดังนั้นผมแนะนำว่าคุณอย่ามัวแต่ถอยกลับไปสนามหลวงเพื่อตั้งลำหาทิศทางใหม่อยู่ร่ำไป แต่ให้คุณเอาดีกับการใช้เครื่องมือของคุณให้ได้ คีมอันเดียวกันแต่พอไปอยู่ในมือของช่างคนละคน คีมอันนั้นทำอะไรได้ต่างกันมาก อย่าโทษคีมแล้วเที่ยวไปเสาะหาวิธีซ่อมแบบใหม่ ให้ฝึกใช้คีมเอาดีจากการใช้คีมให้ได้

3.. ถามว่าการสังเกตความคิดตามลำดับที่หมอสันต์สอน จะทำโดยไม่ต้องใช้สมาธิเลยได้ไหม ตอบว่าได้สิครับ เพราะในบรรดาเครื่องมือทั้งหลายที่ผมสอน คุณไม่ต้องเชี่ยวชาญทุกชิ้นหรอก คุณถนัดคีมก็ใช้คีมมาก คุณถนัดไขควงก็ใช้ไขควงมาก เครื่องมือบางชิ้นคุณอาจจะไม่ได้หยิบมาใช้เลยคุณก็อาจจะจบงานซ่อมของคุณได้

อันที่จริงเมื่อพูดถึงคำว่าสมาธิ คุณอย่าไปยึดติดกับสมาธิแบบลึกๆนิ่งๆแบบนั่งเข้าฌานสิ สมาธิที่เราใช้ประโยชน์นี้เราเอาแค่เอาไว้จดจ่อที่อะไรสักอย่าง (selective attention) เพื่อกีดกันไม่ให้ความคิดเจ้าประจำเจาะยางเข้ามาได้ง่ายๆ เหมือนเราเป็นหญิงสาวไปดูหนังกับหนุ่มที่ไม่ไว้ใจเราพาน้องไปด้วยเพื่อกันท่าไม่ให้เจ้าหนุ่มลามปาม เมื่อคุณกันท่าความคิดเจ้าประจำออกไปได้สำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคุณต้องถอยออกมาสมาธิเพื่อเปิดโอกาสให้ความคิดอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าปัญญาญาณได้มีโอกาสโผล่ขึ้นมาบ้าง ย้ำ ปลายทางของการใช้สมาธิคือเพื่อกันความคิดเก่าออกไปเพื่อเปิดให้ความคิดชนิดใหม่คือปัญญาญาณได้โผล่บ้าง ปัญญาญาณนี้แหละที่จะนำทางคุณให้เห็นให้คุณยอมรับสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นแล้วปล่อยวางความคิดยึดถือในอัตตาได้สำเร็จ นั่นคือปลายทางที่แท้จริง ไม่ใช่ว่าเราจะนั่งสมาธิกันเพื่อให้เกิดสมาธิลึกๆหรือเหาะเหินเดินอากาศได้ ไม่ใช่อย่างนั้น

กล่าวโดยสรุป ให้คุณพยายามต่อไป

“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น”

หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

01 กันยายน 2565

หมอห้ามกินผลไม้เพราะกลัวฟรุ้คโต้ส

(ภาพวันนี้: เชจ สมุนไพรฝรั่งกำลังออกดอก)

เรียนอาจารย์สันต์ที่เคารพ

หนูกำลังลดน้ำหนักและน้ำตาลในเลือดเริ่มสูง มีคุณหมอแนะนำหนูห้ามกินผลไม้และให้กินอาหารโลว์คาร์บ โดยบอกว่าผลไม้มีฟรุคโต้สสูง ตัวฟรุ้คโต้สต้องเผาผลาญที่ตับทำให้เกิดไขมันแทรกตับ ทำให้เกิดไตรกลีเซอไรด์สูง ทำให้กรดยูริกสูง

ขอปรึกษาความเห็นอาจารย์สันต์ค่ะ

………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ในประเด็นน้ำตาลเพิ่มโดยรวม ในภาพใหญ่วงการแพทย์ทั่วโลกตกลงกันได้เอกฉันท์ว่าทุกวันนี้คนกินน้ำตาลเยอะเกินไป ควรจำกัดน้ำตาลที่เพิ่มเข้ามาในอาหารและเครื่องดื่น (added sugar) นอกเหนือจากน้ำตาลที่พึงมีในอาหารนั้นตามธรรมชาติ โดยออกกฎหมายบังคับให้แสดง added sugar ไว้แยกเป็นอีกบรรทัดหนึ่งใต้ total sugar ในฉลากอาหาร (อเมริกัน) ที่ต้องแยกอย่างนี้ก็เพื่อมุ่งให้ลดน้ำตาลที่ใส่เพิ่มเข้ามา แต่ไม่ลดการกินพืชผักผลไม้ตามธรรมชาติ ซึ่งก็ตามมาด้วยการที่อุตสาหกรรมอาหารพากันตั้งชื่อใหม่ให้น้ำตาลด้วยคำแปลกๆในฉลากอาหาร (มีถึง 56 ชิ่อรวมทั้งชื่อ “ฟลอริด้า คริสตัล” หิ หิ) เพื่อหลอกผู้บริโภคว่าอาหารนั้นไม่ได้ใส่น้ำตาลเพิ่ม

สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) แนะนำว่าควรลดการกินน้ำตาลเพิ่ม (added sugar) จากวันละ 22 ช้อนชาเหลือไม่เกินวันละ 6 ช้อนชาในผู้หญิง ไม่เกิน 9 ช้อนชาในผู้ชาย ขณะที่ WHO และรัฐบาลอเมริกันโดย USDA แนะนำว่าไม่ควรกิน added sugar เกิน 10% ของแคลอรี่ต่อวัน กล่าวโดยสรุปเป็นเอกฉันท์ว่า added sugar ในเครื่องดื่มไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่กินเลยได้ ก็จะดี

2.. ในประเด็นพืชผักผลไม้ ทุกองค์กรแนะนำให้กินพืชผักผลไม้มากขึ้นโดยไม่มีองค์กรไหนแนะนำให้จำกัดการกินพืชผักผลไม้เลยไม่ว่าจะหวานมากหวานน้อยก็ตาม เพราะพืชผักผลไม้ที่หลากหลายสัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรังลดลง รวมทั้งโรคเบาหวานด้วย

3.. ในประเด็นความกังวลว่าฟรุ้คโต้สในพืชผักผลไม้และน้ำปั่นไม่ทิ้งกากจะก่อผลเสียต่อร่างกายนั้น งานวิจัยในแล็บพบว่าตัวถ่วงดุลไม่ให้เกิดผลเสียนี้คือกากที่มากับพืชผักผลไม้นั้นเอง เพราะกากเป็นตัวชลอการดูดซึมฟรุ้คโต้ส ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยเชิงระบาดวิทยาที่พบว่าผู้บริโภคผลไม้มากไม่ว่าจะหวานหรือไม่หวานเป็นโรคเรื้อรังรวมทั้งโรคเบาหวานน้อยกว่าผู้บริโภคผลไม้น้อย ดังนั้นฟรุ้คโต้สในผลไม้ต่างจากฟรุ้คโตสในน้ำเชื่อมที่ใช้ทำน้ำหวานขาย ทุกองค์กรทั่วโลกจึงต่างพยายามสอนคนว่าไหนๆจะกินรสหวานทั้งทีขอให้กินรสหวานที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆตามธรรมชาติอันได้แก่กาก ไวตามิน แร่ธาตุด้วย แทนที่จะกินรสหวานเพื่อเอาแต่ความหวานอย่างเดียว

4.. ประเด็นฟรุ้คโต้สที่เรากินกันทุกวันนี้มันมาจากไหน งานวิจัยเชิงระบาดวิทยาย้อนหลังพบว่าในสมัยที่ยังไม่มีหัวน้ำเชื่อม high fructose corn syrup (HFCS) คนอเมริกันกินฟรุ้คโต้สจากน้ำตาลทรายและพืชผักผลไม้กันอย่างมากสุดก็ได้ฟรุคโต้สเฉลี่ยไม่เกินคนละ 15 กรัมต่อวัน แต่พอมีหัวน้ำเชื่อมออกมาทำน้ำหวานทุกชนิดขาย คนอเมริกันปัจจุบันนี้กินฟรุ้คโต้สเฉลี่ยคนละ 55 กรัมต่อวัน ไม่นับวัยรุ่นที่กินคนละ 72 กรัมต่อวัน พูดง่ายๆว่าฟรุ้คโต้สที่เขากลัวกันคือน้ำหวานทั้งหลายซึ่งอยู่ในเครื่องดื่มซอฟท์ดริ๊งค์ ทั้งน้ำผลไม้ทิ้งกาก ชา กาแฟ น้ำอัดลม ที่ใส่ขวดใส่กล่องขาย

5.. แล้วใครกันนะที่พยายามสร้างความกลัวผลไม้ โดยอาศัยลูกเล่นโยงให้เข้าใจผิดว่าฟรุ้คโต้สในผลไม้มีปริมาณมากเท่ากัน ดูดซึมได้มากเท่ากัน และมีคุณค่าทางโภชนาการมากเท่ากันกับฟรุ้คโต้สในหัวน้ำเชื่อม ตอบว่าก็จะมีใครที่ไหนละครับถ้าไม่ใช่อุตสาหกรรมอาหารที่ได้ประโยชน์จากการสร้างความกลัวคาร์โบไฮเดรต สร้างความกลัวพืช เพื่อให้คนยังคงบริโภคเนื้อสัตว์กันมากๆต่อไปเหมือนเดิม นี่เป็นธรรมดาของการทำมาหากินโดยอาศัยวิทยาศาสตร์เทียมเป็นเครื่องมือ พวกนี้จะโปรโมทอาหารโลว์คาร์บบ้าง อาหารปาลิโอบ้าง อาหารคีโตบ้าง ซึ่งล้วนมีหลักฐานวิทยาศาสตร์ชัดเจนแล้วว่าในระยะยาวทำให้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจหลอดเลือดมากขึ้น

การโปรโมทให้คนกลัวผลไม้โดยใส่ไฟว่าผลไม้จะทำให้เป็นตับอักเสบจากไขมันแทรกตับนั้นเป็นการกุเรื่องโดยไม่มีหลักฐานข้อมูลความจริงรองรับ และเป็นการไขว้เองฟรุ้คโต้สในหัวน้ำเชื่อมมามั่วกับฟรุ้คโต้สในผลไม้ นับถึงวันนี้ยังไม่เคยมีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการกินผลไม้มากกับการเป็นโรคตับอักเสบจากไขมันแทรกตับ (NASH)

การโปรโมทให้คนกลัวผลไม้โดยอ้างว่าจะทำให้เป็นเบาหวานมากขึ้นก็ไม่จริง เพราะงานวิจัยที่ดีมากชิ้นหนึ่งของฮาร์วาร์ดแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการกินผลไม้ชนิดต่างๆซึ่งมีระดับความหวานแตกต่างกันกับการลดโอกาสเป็นโรคเบาหวาน โดยเขาตามดูคน 187,382 คนนานสิบกว่าปี ( 3,464,641 คน-ปี) ในระหว่างติดตามมีคนเป็นเบาหวานเกิดขึ้น 12,198 คน เมื่อวิเคราะห์พบว่าความเสี่ยงเป็นเบาหวานลดลงตามปริมาณการกินผลไม้ที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลไม้หวานหรือไม่หวานก็ตาม แต่แน่นอนว่างานวิจัยอีกมากบ่งชี้ว่าการดื่มเครื่องดื่มใส่น้ำตาลมาก สัมพันธ์กับการเป็นเบาหวานมากขึ้น

ในแง่ของคนที่เป็นเบาหวานแล้ว มีงานวิจัยที่ดีมากอีกงานหนึ่งแบ่งกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งรักษาเบาหวานโดยการจำกัดผลไม้ อีกกลุ่มไม่จำกัดปริมาณเลยทั้งหวานและไม่หวาน แล้วตามดูผลไป 12 สัปดาห์พบว่าผลการรักษาในแง่ของน้ำตาลในเลือดและความไวต่ออินสุลินไม่ต่างกันเลย แสดงว่าการจำกัดผลไม้ไม่ใช่วิธีรักษาโรคเบาหวานที่ได้ผล

6.. ในประเด็นกลไกการเผาผลาญน้ำตาล นั้นวิทยาศาสตร์ทราบแน่ชัดแล้วว่ากลูโค้สกับฟรุ้คโตสมีการเผาผลาญแตกต่างกัน ดังนี้

กรณีที่ 1. หากเป็นกลูโค้สเมื่อเข้าไปในกระแสเลือดแล้ว 80% จะถูกอินสุลินเอาไปเก็บไว้ในเซลล์แล้วถูกเซลล์เผาผลาญไปหมด ที่เหลือราว 20% จะเข้าไปในตับเพื่อให้เซลล์ตับเปลี่ยนเป็นพลังงานสำรองชื่อไกลโคเจนเก็บไว้ในตับ เหลือน้อยมาก ประมาณ 5% จะถูกนำไปสร้างเป็นไขมันผ่านกลไกที่เรียกว่า de novo lypogenesis กล่าวคือเปลี่ยนกลูโคสเป็น acetyl coA แล้วเปลี่ยนต่อไปเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์เก็บแทรกไว้ในตับและแจกไปเก็บไว้ตามเซลล์ไขมันทั่วร่างกาย หากยังเหลืออีกอินสุลินก็จะเอาไปยัดเยียดเก็บไว้ในเซลกล้ามเนื้อจนเซลกล้ามเนื้อรับไม่ไหว ซึ่งเป็นที่มาของการที่เซลกล้ามเนื้อพากันดื้อขัดขืนต่ออินสุลินอันเป็นปฐมเหตุของโรคเบาหวาน

กรณีที่ 2. หากเป็นฟรุคโต้ส ร่างกายจะเผาผลาญต่างออกไปโดยเกือบทั้งหมดจะถูกเผาผลาญที่ตับ กล่าวคือ 29-54% ถูกเปลี่ยนเป็นกลูโค้ส 25% ถูกเปลี่ยนเป็นแลคเตท ทั้งสองตัวนี้ต่างก็ถูกเอาไปเผาผลาญเป็นพลังงานทั้งหมด อีก 15-18% ถูกน้ำไปเก็บเป็นไกลโคเจน มีแค่ราว 1% ที่ถูกนำไปสร้างเป็นไขมันเก็บแทรกไว้ในตับหรือในเซลไขมันต่างๆ

7.. ถามว่าก็ในเมื่อหัวน้ำเชื่อม (HFCS) มีผลเสียต่อสุขภาพแล้วทำไมไม่แบนมันเสีย หิ หิ ตอบว่าคุณมาจากส่วนไหนของโลกหรือครับ ไม่รู้หรือว่าในโลกนี้ใครเป็นหมู่ใครเป็นจ่า อุตสาหกรรมอาหารเป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้กำหนดว่าคุณจะได้กินอะไร จะไม่ได้กินอะไร นี่คือสัจจธรรม

นอกจากกำลังภายในของอุตสาหกรรมอาหารแล้ว หลักฐานวิทยาศาสตร์ระดับสูงที่จะพิสูจน์ว่า HFCS ทำให้เกิดโรคที่นอกเหนือไปจากโรคที่ก่อโดยกลูโค้สยังไม่มี และคงจะไม่มีจนกว่ามนุษย์จะสูญพันธ์ไปแล้ว เพราะการวิจัยระดับสูงเพื่อเปรียบเทียบมันทำไม่ได้ในชีวิตจริงดอก การปะติดปะต่อเชิงตรรกะทางสรีรวิทยาว่าฟรุ้คโตสต้องเผาผลาญโดยตับเท่านั้น ซึ่งผลที่เหลือจากการเผาผลาญของตับคือไตรกลีเซอรไรด์ กรดยูริก และอนุมูลอิสระ ซึ่งล้วนไม่ใช่ของดี โอเค. ฟังดูแล้วน่าเลื่อมใส แต่ว่านั่นมันเป็นแค่หลักฐานในห้องวิจัยซึ่งเป็นหลักฐานระดับต่ำ ไม่ใช่หลักฐานวิจัยการเกิดโรคจริงในคนแบบแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ เรื่องนี้จึงจะเถียงกันต่อไปได้ไม่มีวันเลิก ตอนนี้หากยึดถือตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ระด้บเชื่อถือได้เราบอกได้แค่ว่าน้ำตาลที่เพิ่มเข้ามานอกเหนือจากน้ำตาลในอาหารธรรมชาติ (added sugar) เป็นส่วนเกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ บอกได้แค่นั้น

8.. การเสพย์ติดรสหวานเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครยอมพูดถึง ผู้บริโภคก็ไม่โวยวายเพราะไม่อยากลงแดงจากการไม่ได้เสพย์รสหวาน วงการแพทย์รู้อยู่แล้วว่าการเสพย์ติดน้ำตาลมีกลไกในสมองเหมือนการเสพย์ติดยาเสพย์ติดทั้งหลายเพราะการเลิกต้องมีการลงแดง (withdrawal symptom) และในบรรดารสอาหารที่คนเสพย์ติด รสหวานเป็นรสที่คนเสพย์ติดมากที่สุด

กล่าวโดยสรุปน้ำตาลทุกชนิดและการเสพย์ติดรสหวานเป็นผลเสียต่อสุขภาพ วิธีแก้ปัญหานี่ง่ายนิดเดียว ก็คือให้คุณเลิกเสพย์ติดรสหวานเสีย ยอมลงแดงสักพัก แล้วเลิกซื้อน้ำหวานกิน สุขภาพคุณก็จะดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปยุ่งกับว่าฟรุ้คโต้สกับกลูโค้สใครเลวกว่ากัน ไม่ต้องไปลากผลไม้มาพัวพันว่าไม่ดีด้วย ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรกับคนทำอาหารขาย แค่เลิกเสพย์ติดรสหวานและเลิกดื่มเครื่องดื่มใส่น้ำตาลด้วยตัวคุณเองเสีย แค่นี้ก็โอแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Muriel P, López-Sánchez P, Ramos-Tovar E. Fructose and the Liver. Int J Mol Sci. 2021 Jun 28;22(13):6969. doi: 10.3390/ijms22136969. PMID: 34203484; PMCID: PMC8267750.
  2. Muraki Isao, Imamura Fumiaki, Manson JoAnn E, Hu Frank B, Willett Walter C, van Dam Rob M et al. Fruit consumption and risk of type 2 diabetes: results from three prospective longitudinal cohort studies BMJ 2013; 347 :f5001
  3. Christensen, A.S., Viggers, L., Hasselström, K. et al. Effect of fruit restriction on glycemic control in patients with type 2 diabetes – a randomized trial. Nutr J 12, 29 (2013). https://doi.org/10.1186/1475-2891-12-29
  4. 1. Walker RW, Dumke KA, Gran MI. Fructose content in popular beverages made with and without high-fructose corn syrup.  Nutrition 2014; 30 (7-8) : 928–935 DOI: http://dx.doi.org/10.1016/j.nut.2014.04.003
  5. 2. R. J. Johnson, M. S. Segal, Y. Sautin et al., “Potential role of sugar (fructose) in the epidemic of hypertension, obesity and the metabolic syndrome, diabetes, kidney disease, and cardiovascular disease1-3,” The American Journal of Clinical Nutrition, vol. 86, no. 4, pp. 899–906, 2007.
  6. 3. I. H. Fox and W. N. Kelley, “Studies on the mechanism of fructose-induced hyperuricemia in man,”Metabolism, vol. 21, no. 8, pp. 713–721, 1972.
  7. 4. M. A. Lanaspa, L. G. Sanchez-Lozada, C. Cicerchi, et al., “Uric acid stimulates fructokinase and accelerates fructose metabolism in the development of fatty liver,” PLoS One, vol. 7, no. 10, Article ID e47948, 2012.
  8. 5. E. Fiaschi, B. Baggio, S. Favaro, et al., “Fructose-induced hyperuricemia in essential hypertension,”Metabolism, vol. 26, no. 11, pp. 1219–1223, 1977.
  9. 6.  K. L. Stanhope and P. J. Havel, “Fructose consumption: potential mechanisms for its effects to increase visceral adiposity and induce dyslipidemia and insulin resistance,” Current Opinion in Lipidology, vol. 19, no. 1, pp. 16–24, 2008.
  10. 7. K. A. Lê, D. Faeh, R. Stettler et al., “A 4-wk high-fructose diet alters lipid metabolism without affecting insulin sensitivity or ectopic lipids in healthy humans,” The American Journal of Clinical Nutrition, vol. 84, no. 6, pp. 1374–1379, 2006.
  11. 8. G. A. Bray, S. J. Nielsen, and B. M. Popkin, “Consumption of high-fructose corn syrup in beverages may play a role in the epidemic of obesity,” The American Journal of Clinical Nutrition, vol. 79, no. 4, pp. 537–543, 2004.
  12. 9. F. B. Hu and V. S. Malik, “Sugar-sweetened beverages and risk of obesity and type 2 diabetes: epidemiologic evidence,” Physiology and Behavior, vol. 100, no. 1, pp. 47–54, 2010.
  13. 10.  V. S. Malik, M. B. Schulze, and F. B. Hu, “Intake of sugar-sweetened beverages and weight gain: a systematic review,” The American Journal of Clinical Nutrition, vol. 84, no. 2, pp. 274–288, 2006.
  14. 11.  R. A. Forshee, P. A. Anderson, and M. L. Storey, “Sugar-sweetened beverages and body mass index in children and adolescents: a meta-analysis,” The American Journal of Clinical Nutrition, vol. 87, no. 6, pp. 1662–1671, 2008.
  15. 12. V. Ha, J. L. Sievenpiper, R. J. de Souza, et al., “Effect of fructose on blood pressure: a systematic review and meta-analysis of controlled feeding trials,” Hypertension, vol. 59, no. 4, pp. 787–795, 2012.
  16. 13. M. B. Schulze, J. E. Manson, D. S. Ludwig et al., “Sugar-sweetened beverages, weight gain, and incidence of type 2 diabetes in young and middle-aged women,” Journal of the American Medical Association, vol. 292, no. 8, pp. 927–934, 2004.
  17. 14. S. Z. Sun, G. H. Anderson, B. D. Flickinger, P. S. Williamson-Hughes, and M. W. Empie, “Fructose and non-fructose sugar intakes in the US population and their associations with indicators of metabolic syndrome,” Food and Chemical Toxicology, vol. 49, no. 11, pp. 2875–2882, 2011.
  18. 15. D. I. Jalal, G. Smits, R. J. Johnson, and M. Chonchol, “Increased fructose associates with elevated blood pressure,” Journal of the American Society of Nephrology, vol. 21, no. 9, pp. 1543–1549, 2010.
  19. 16.  Y. H. Kim, G. P. Abris, M. K. Sung, and J. E. Lee, “Consumption of sugar-sweetened beverages and blood pressure in the United States: the national health and nutrition examination survey 2003–2006,”Clinical Nutrition Research, vol. 1, no. 1, pp. 85–93, 2012.
  20. 17. K. L. Teff, S. S. Elliott, M. Tschöp et al., “Dietary fructose reduces circulating insulin and leptin, attenuates postprandial suppression of ghrelin, and increases triglycerides in women,” Journal of Clinical Endocrinology and Metabolism, vol. 89, no. 6, pp. 2963–2972, 2004.
  21. 18.  M. I. Goran, S. J. Ulijaszek, and E. E. Ventura, “High fructose corn syrup and diabetes prevalence: a global perspective,” Global Public Health, vol. 8, no. 1, pp. 55–64, 2013.
  22. 19. A. Masotti, “Comment on: Visinoni et al. The role of liver fructose-1,6-bisphosphatase in regulating appetite and adiposity, Diabetes, vol. 61, pp. 1122–1132, 2012,” Diabetes, vol. 61, no. 12, article e20, 2012.
  23. 20. J. R. Palmer, D. A. Boggs, S. Krishnan, F. B. Hu, M. Singer, and L. Rosenberg, “Sugar-sweetened beverages and incidence of type 2 diabetes mellitus in African American women,” Archives of Internal Medicine, vol. 168, no. 14, pp. 1487–1492, 2008.
[อ่านต่อ...]