หมอสันต์พูดถึงวิธีฝึกการใช้ชีวิต
(ภาพวันนี้: มอร์นิ่งวอล์คในมวกเหล็กวาลเลย์)
(หมอสันต์พูดกับสมาชิกแค้มป์ SR-20)
ความยากมีเป็นธรรมดาในช่วงแรก
เมื่อวานนี้ท่านหนึ่งเปรยถึงความยากลำบากของการฝึกใช้เเครื่องมือวางความคิดหลายชิ้นพร้อมกัน ไหนจะต้องพะวงถึงลมหายใจ แล้วต้องยิ้ม ต้องผ่อนคลายร่างกายอีก แล้วต้องรับรู้พลังชีวิตอีก โฮ้ย..เครียด
คือการฝึกวางความคิดเป็นการฝึกทักษะ มันอาศัยการทำซ้ำจนชำนาญ การใช้เครื่องมือทุกอย่างมันยากเฉพาะเมื่อเราเริ่มฝึก สมัยผมเด็กอายุประมาณ 8 ขวบ อยู่บ้านนอกที่จังหวัดพะเยา สมัยนั้นรถยนต์ยังไม่มี ทุกคนไปไหนมาไหนใช้จักรยาน ทุกคนขี่จักรยานเป็นตั้งแต่เด็ก แล้วอยู่ๆก็มีคนแก่ชาวจีนลี้ภัยมาจากแผ่นดินใหญ่มาอยู่กับญาติของเขาที่ตำบลของผม เขาอายุราว 50 ปี แต่ขี่จักรยานไม่เป็น เขาก็ต้องหัดจักรยาน โดยเขาใช้สนามหญ้าหน้าโรงเรียนเป็นที่หัดทุกเย็น คุณเชื่อไหม เวลาที่เจ็กแปะท่านนี้หัดจักรยาน จะมีผู้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ประมาณยี่สิบสามสิบคนไปยืนมุงดูเพราะเป็นของแปลกในชีวิต ไม่เคยเห็นที่คนอายุห้าสิบแล้วขี่จักรยานไม่เป็น เป็นความบันเทิงในการชมด้วย เพราะเวลาเขายกเท้าทั้งสองขึ้นปั่นตัวเขาจะสั่นเทิ้มแข็งทื่อเกร็งไปหมด ยิ่งมีเด็กมายืนดูเขายิ่งกลัวจักรยานไปชนเด็ก ความกลัวนั้นทำให้มือเขาเกร็งแข็งพาเอาจักรยานพุ่งตรงรี่เข้าไปหากลุ่มเด็กจะชนเอาจริงๆ เด็กๆอย่างพวกเราก็แตกฮือวิ่งหลบกันเป็นที่สนุกสนาน
การเบลนด์ทุกเครื่องมือให้เป็นหนึ่งเดียว
เมื่อก่อนตรุษจีนที่ผ่านมานี้ผมขับรถไปเที่ยวทางใต้ ขากลับแวะที่ไร่กาแฟที่ชุมพรชื่อ “ก้องกาแฟ” ก้องเป็นชื่อเจ้าของ คุณก้องเขาก็ชวนพวกเรานั่งดื่มกาแฟ เขาเอากาแฟแบบนั้นผสม (blend) กับแบบนี้แล้วต้มแล้วให้ทดลองดื่มแล้วชี้แนะว่ารสของมันออกแนวนี้ซึ่งเราดื่มแล้วก็เห็นจริงตาม คือกาแฟหลากชนิดเอามาผสมหรือเอามาเบลนด์กันรสชาติมันกลับกลมกล่อมดีขึ้น เช้านี้เราจะฝึกเบลนด์เครื่องมือทั้งสี่ชิ้นที่เราเรียนไปเมื่อวานให้มันเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
เริ่มต้นเราจะเบลนด์การตามดูลมหายใจกับการรับรู้พลังชีวิตก่อน เพราะจริงๆแล้วสองอย่างนี้มันเป็นของอย่างเดียวกัน หมายถึงลมหายใจเข้าไปแล้วมันก็ออกมาเป็นพลังชีวิตนั่นแหละ เมื่อตะกี้ครูโยคะให้เปล่งเสียงโอมตอนจบ คราวนี้เรามาเริ่มที่การเปล่งเสียงโอมนี่ก็แล้วกัน เสียงโอมนี้แยกออกแล้วมันเป็นการเบลนด์กันของสามเสียงย่อย
คือเสียง อา… อ้าปากนะเปล่งแล้วให้คุณรับรู้การสั่นสะเทือนของร่างกายท่อนล่างตั้งแต่สะดือลงไป เอาลอง อา..า….า
เสียงที่สองก็คือเสียงอู ทำปากจู๋แบบนี้ ทำเสียงต่ำๆ ขณะเปล่งเสียงนี้ให้รับรู้การสั่นสะเทือนของร่างกายท่อนกลางคือประมาณหน้าอก เอ้าลองทำ อู….
เสียงที่สามคือเสียงอึม..ม ปิดปากนะ อย่างนี้ ขณะเปล่งเสียงให้รับรู้การสั่นสะเทือนของร่างกายตั้งแต่คอขึ้นไปถึงศรีษะ
คราวนี้เอาทั้งสามเสียงมารวมกันเป็นเสียงโอม..ม แล้วรับรู้การสั่นสะเทือนของร่างกายทั้งร่างกาย
เอ้าลองทำพร้อมกัน โอม..ม…..ม
ทำเสียงเบาๆ เน้นสนใจรับรู้ความสั่นสะเทือนบนร่างกาย
คราวนี้ทำเสียงแค่ครึ่งลมหายใจออกแล้วหยุดเสียง ครึ่งหลังแค่หายใจออกเฉยๆ แต่ยังติดตามรับรู้การสั่นสะเทือนของร่างกายอยู่
คราวนี้รอบสุดท้าย ไม่ต้องเปล่งเสียงโอมเลย แค่หายใจธรรมดา แล้วตั้งใจรับรู้การสั่นสะเทือนของร่างกายที่เกิดจากการหายใจ
คราวนี้ไม่รับรู้แค่การสั่นสะเทือนอย่างเดียว แต่รับรู้ทุกอย่างตั้งแต่การสั่นสะเทือน ซู่ๆซ่าๆ เหน็บๆชาๆอุ่นๆร้อนๆ ที่เกิดจากการหายใจ รับรู้หมด
นี่ก็เท่ากับว่าเราได้เบลนด์การหายใจกับการรับรู้พลังชีวิตเข้าด้วยกันแล้ว
ทีนี้จะรับรู้พลังชีวิตให้ได้ชัดขึ้นมันต้องผ่อนคลายร่างกายให้มากขึ้น เราก็เบลนด์การผ่อนคลายร่างกายและการยิ้มเข้าไปด้วย ทั้งหมดนี้ คือ (1) ความสนใจของเรา (2) ลมหายใจ (3) พลังชีวิต (4) การผ่อนคลายร่างกายและยิ้ม เบลนด์กันอยู่ในหนึ่งลมหายใจ ทุกลมหายใจ
ฝึกการใช้ชีวิต
เมื่อวานนี้ท่านหนึ่งบอกว่ากลับจากแค้มป์SR ครั้งที่แล้ว กลับไปแล้วก็ไปจมอยู่กับสถานะการณ์ในชีวิตจนลืมใช้ชีวิต การจะไม่พลัดตกเข้าไปในหล่มของสถานะการณ์ในชีวิต (life situation) เราต้องรู้จักการใช้ชีวิตก่อน เช้าวันนี้เรามาฝึกหัดการใช้ชีวิตหรือ living นี้กันหน่อย ฝึกกันเดี๋ยวนี้เลย เพราะการใช้ชีวิตเราทำได้เฉพาะเมื่อเดี๋ยวนี้หรือที่ลมหายใจนี้เท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้ชีวิตในเวลาอื่นที่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เพราะนั่นม้นจะเป็นแค่ความคิดถึงอดีตหรืออนาคต ไม่ใช่การใช้ชีวิตจริง
ในการจะใช้ชีวิตที่เดี๋ยวนี้ให้ตั้งธงก่อนนะว่า
…เราจะไม่คาดหวังหรือไม่คิดอยากได้อะไรจากใครทั้งนั้น และ
…เราจะไม่เอาเรื่องในอดีตหรือในอนาคตมายุ่งด้วย เพราะนั่นเป็นเพียงความคิด
…เราจะไม่คิดถึงความสำเร็จหรือผลลัพท์ของงานชิ้นใดๆ หากจะทำงานก็จะสนใจแค่ขั้นตอนที่ต้องทำเมื่อเดี๋ยวนี้เท่านั้น เพราะขณะที่ขั้นตอนตรงหน้าเป็นของจริง แต่ผลลัพท์ที่ยังไม่เกิดขึ้นล้วนเป็นความคิด
เราจะแค่อยู่ที่นี่ ยอมรับทุกอย่างที่ปรากฎต่อหน้าเราที่นี่ คำสำคัญคือการยอมรับ (acceptance) ซุึ่งแสดงออกง่ายๆด้วยการ “ขอบคุณ” คำว่าขอบคุณนี้มันไม่มีคำภาษาไทยที่ตรงกว่านี้ ผมชอบคำอังกฤษว่า appreciate มันจะตรงกว่า เช่น
อ้า..า ดีจังมีลมเย็นๆมาปะใบหน้า
ลองมองดูใบหญ้าระบัดที่พื้นสนามหญ้านี่สิ มองดูแสงแดดที่ส่องบนใบหญ้า ผ่านใบหญ้าให้เห็นเส้นใบสีเขียวอ่อน ทิ้งเงาทอดลงบนพื้น ช่างสวยงามเสียจริง
มองดูดอกไม้สีแดงข้างหลังผมนี่สิ มันช่างเร้าใจให้เกิดความเบิกบานสดใสเสียเหลือเกิน
ทั้งหมดนี้คือ appreciation หรือการยอมรับสิ่งที่ปรากฎอยู่ต่อหน้าเราที่เดี๋ยวนี้ ไม่เฉพาะสิ่งที่เราชอบนะ สิ่งที่เราไม่ชอบเราก็ appreciate ก็ยอมรับด้วย อย่างเช่นนั่งนานแล้วเจ็บก้น เราก็ยอมรับว่าเออ มันเจ็บ ยอมรับมันตามที่มันเป็น ไม่คิดบวกคิดลบทั้งนั้น ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา ให้มันผ่านออกไป
นี่แหละคือการใช้ชีวิต อยู่ที่ลมหายใจนี้ อย่างยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาหาตอนนี้ อย่าง appreciate ทุกอย่าง อย่างสงบเย็น ยอมรับให้มันผ่านเข้ามา ให้มันผ่านออกไป ทีละลมหายใจ ทีละลมหายใจ มันเป็นความสงบเย็นอันเดียวกันกับที่เมื่อตอนเราอยู่ในความคิดเราดิ้นรนแสวงหาอยากพบ แค่เราวางความคิดลงเราก็พบแล้ว มันอยู่ในเราในโมเมนต์เดี๋ยวนี้นี่เองไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนไกล
แค่รู้จักวิธีใช้ชีวิต เราก็มีชีวิตที่สงบเย็นได้แล้ว ไม่ว่าสถานะการณ์ในชีวิตเราจะเป็นอย่างไร
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์