เรื่องไร้สาระ (24) ล่องใต้ ปลายยุคโควิด
(วันนี้ไม่ได้ตอบคำถามนะครับ เป็นเล่าเรื่องเที่ยวเล่น ท่านที่ชอบอ่านเอาความรู้ให้ผ่านหน้านี้ไปก่อน ภาพในบทความนี้เป็นภาพถ่ายโดยผมเองหรือไม่ก็คนในคณะทั้งสิ้น ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์หากท่านผู้อ่านจะนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่ใช่การค้าขายเอากำไร)
เรามากัน 8 คน ในรถตู้เช่าเขามาแบบมีคนขับพร้อม ทริปนี้จะใช้เวลา 8 วัน วันแรกออกจากกรุงเทพแต่เช้า มาตื่นอย่างจริงจังเมื่อใกล้จะถึงหัวหิน มีสมาชิกเสนอแนะว่าน่าจะแวะหาซื้อขนมปังที่ฝรั่งทำขายไว้กินรองท้องในรถหน่อย นั่นไง นั่นไง ร้านห้องแถวขวามือ โห ดูร้านไม่โรแมนติกเลย อีกคนว่าไปข้างหน้าก็มีอีกนะ จึงขับไปอีกจนถึงตัวเมืองหัวหิน แวะจอดหน้าร้านขนมปังทางซ้ายมือชื่อร้าน “The Baguette”
“ร้านนี้ค่อยโรแมนติกหน่อย อย่างน้อยก็มีฝรั่งนั่งเป็นตัวอย่างสองสามคน”
พวกเรากรูกันเข้าไปในร้านซึ่ง มีขนมปังหลากชนิดวางขาย กลิ่นขนมปังทำใหม่ๆหอบกรุ่นไปทั่วร้าน เราซื้อกันคนละหนุบคนละหนับ ผมเหลือบไปเห็นป้ายครัวซองต์ไส้ถั่วแดงฟังดูเท่ดีจึงซื้อติดมือมาด้วย แล้วก็ไม่ผิดหวัง ท่านผู้นำกลัวเราจะอิ่มเสียก่อนก็ร้องปรามว่า
“ยังไม่ต้องรีบกินก็ได้นะคะ เดี๋ยวจะพาไปกินร้านนายหอย ก๋วยเตี๋ยวอร่อยของเมืองหัวหิน”
ยังไม่ทันที่จะเคี้ยวขนมปังก้อนสุดท้ายหมดเลย รถซึ่งเลี้ยวไปเลี้ยวมาก็พามาจอดหน้าร้านนายหอย ช่างตั้งร้านอยู่ชายอยู่ขอบเอาการ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับป้ายหน้าร้านนายหอยเขียนไว้ตัวเบ้งว่าวันนี้นายหอยหยุดราชการหนึ่งวัน (มีอะไรแมะ หิ หิ)
เราไม่เชื่อท่านผู้นำที่จะพาแวะร้านอร่อยโน่นนี่นั่นของหัวหินอีกแล้ว จึงยืนยืนว่าให้ไปข้างหน้าเถอะ เจอะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางก็แวะกิน ซึ่งก็ได้แวะกินร้านข้างทางสมใจ ไม่ใช่ร้านโนเนมแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว คนสูงอายุอย่างพวกเราพากันจำได้แต่เส้นก๋วยเตี๋ยวที่แข็งกระโด๊ก
นั่งรถกันมายาวนานหนึ่งอสงไขยกว่าจะผ่านประจวบคีรีขันธ์ไปได้ก็จวนจะพลบค่ำ เช้าสู่จังหวัดชุมพร
“…โอ้ชุมพร ขอพรที่แสนสุขดี
สุราษฎร์ธานี เมืองคนดีจึงสุขสดใส
นครศรีธรรมราชอยากประกาศพระธรรมเกริกไกร
กระบี่สุดสดใสฝากหัวใจของพี่หมายปอง..”
ท่านผู้นำบอกว่านั่งรถมานานอย่าเพิ่งเข้าที่พักเลย จะพาไปเที่ยวหนองใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งพักผ่อนของชาวเมืองนี้ มีสะพานไม้เคี่ยมยาวเหยียดให้เดินออกกำลังกาย พอไปถึงก็ประหลาดใจที่เห็นฝูงกวางร่วมร้อยตัวอยู่ที่ริมหนองใหญ่นี้ด้วย สอบถามได้ความว่าเป็นกวางพันธ์รูซ่าซึ่งเจ้าเมืองชอบเป็นพิเศษจึงไปขอปศุสัตว์มาเลี้ยงไว้ที่นี่สิบยี่สิบตัว เลี้ยงไปเลี้ยงมามันออกลูกยั้วเยี้ยอย่างที่เห็น
พิเคราะห์ให้ดีแล้วผมเห็นว่ากวางเมืองชุมพรนี้มีเอกลักษณ์สามอย่างคือ หนึ่ง มันเป็นกวางกินกล้วย สอง เขามีป่าเขียวๆให้อยู่กว้างใหญ่ที่ข้างหนองใหญ่แต่พวกมันไม่อยู่ เพราะมันไม่มีกล้วย จึงสมัครใจมาอยู่กันแออัดยัดเยียดที่ตีนสะพาน สาม มันเป็นกวางที่เสียธรรมชาติของความเป็นกวางรุ่นออริจินอลไปแล้วอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือกวางของแท้ต้องปราดเปรียวว่องไวเพื่อให้หนีเสือทัน นี่เป็นวิธีที่ธรรมชาติใช้คัดพันธ์เสือหยองกอดทิ้ง คือเกิดเป็นเสือถ้าไล่กวางไม่ทันก็ไม่ต้องกินไรกันแระ แต่กวางที่หนองใหญ่นี้มันมีอาหารกินได้ง่ายๆจนมันกลายเป็นกวางป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) ไปเสียแล้ว อย่างน้อยก็เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ผมสังเกตเวลาคนโยนกล้วยไปให้กวางตัวที่นอนอาบแดดอยู่ ถ้ากล้วยตกไกลเกินรัศมีที่มันจะยื่นปากไปถึงมันจะไม่ลุกไปกิน แต่รอกล้วยที่โยนมาลูกต่อไปที่จะตกในรัศมีปากพอดีๆ ผมพนันว่าถ้าเราเลี้ยงมันแบบนี้ไปอีกสักสามสี่ชั่วอายุพวกหลานโหลนเหลนของมันจะต้องเป็นกวางพันธ์อ้วนซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเลยในประวัติสายพันธ์ของกวาง ผมว่ากลไกที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังก็คงเป็นกลไกเดียวกัน คืออาหารมาถึงปากง่ายเกินไป และเยอะเกินไป โดยเฉพาะตั้งแต่เรามีตู้เย็น มีเงินซื้ออาหารใส่ตู้เย็น บางคนชั้นแต่จะลุกไปเปิดตู้เย็นยังไม่ยอมลุก ต้องให้คนอื่นไปเปิดหยิบมาให้ ร่างกายที่ถูกออกแบบมาให้ปราดเปรียวหาอาหารคล่องจึงไม่ได้ใช้งานตามสะเป๊ค ผลก็คือโรค NCD
ตกค่ำเราเข้าที่พักเป็นรีสอร์ทเล็กๆเก่าๆที่ชานเมืองแต่มีความเขียวขจี แถมมีไก่ขันเสียงดังมากที่หน้าต่างข้างหูตอนเที่ยงคืนพอดี ผมไม่ได้ประท้วงไก่ขันดอก เพราะผมชอบไก่ พยายามจะนอนนึกว่าเมืองชุมพรนี้สัมพันธ์กับไก่อย่างไรก็นึกไม่ออกจนเผลอหลับไป รุ่งเช้าเรากินข้าวเช้าฟรีของรีสอร์ทแล้วก็ออกเดินทางกันต่อโดยมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเพื่อไปเขาสก เป็นเส้นทางที่ยาวไกลเช่นเคย มองไปทางไหนมีแต่ต้นไม้เขียวสดสูงใหญ่ สมกับเพลงปักษ์ใต้บ้านเรา
“..โอ้โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา แม่น้ำ ภูเขา ทะเลกว้างไกล
อย่าไปไน้ กลับใต้บ้านเรา อย่าไปไน้ กลับใต้บ้านเรา..”
มีสมาชิกร้องขอให้หาซื้อผลไม้เพื่อตุนไว้ในรถ พขร.จึงพาจอดที่ร้านขายผลไม้สไตล์ฟาร์มช็อพของชาวไร่ พวกเราลงไปซื้อผลไม้หลายอย่าง มีสับประรด ส้มเขียวหวาน แก้วมังกร เป็นต้น ผมเหลือบเห็นกล้วยเล็บมือนางหวีเก่าๆแขวนต่องแต่งอยู่จึงถามแม่ค้าว่าหวีเท่าไร เธอหันไปมองตามทิศที่ผมชี้แล้วตอบว่า
“ฉ้านให้ควี”
โอ้ โฮ เจอแม่ค่าใจดีเข้าแล้ว ผมเชื่อว่าเธอมีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ ผมจึงรีบปลดกล้วยหวีนั้นลงด้วยความดีใจในฐานะที่ได้เป็นผู้รับ หิ..หิ
จากนั้นก็เดินทางกันต่อปุเรงๆไปบนเส้นทางที่กำลังก่อสร้างเป็นบางตอน แม้จะมีของว่างไม่ขาดปากแต่ก็รู้สึกว่าหนทางนี้ช่างยาวนัก จนมีเสียงเพลงปักษ์ใต้บ้านเราในเวอร์ชั่นใหม่ดังขึ้น
“โอ้ โอ ปักษ์ใต้บ้านมึง
กูไป๊ไม่ถึ้ง เพราะมันแสนไกล…”
แต่ในที่สุดเราก็มาถึง อุทยานแห่งชาติเขาสก เป้าหมายคือท่าเรือเทศบาล ซึ่งเป็นที่ลงเรือไปเที่ยวอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เหนือเขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลาน พอมาถึงท่าเรือเขาถามหาหลักฐานว่าเราได้ฉีดวัคซีนโควิดมากันครบหรือยัง เหล่าผู้สูงอายุพากันเงอะงะอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็สามารถแสดงหลังฐานทางออนไลน์ผ่านด่านลงเรือมาได้ครบทุกคน
ก่อนลงเรือมีหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งมาขอร่วมไปด้วยเพราะเขาตัวคนเดียวไม่มีปัญญาจะจ้างเหมาเรือ แต่ก็ยินดีจะแชร์ค่าเรือกับพวกเรา ผมโบกมือว่าขึ้นมาเลย..ฟรี
เรือพาเราวิ่งตัดกลางทะเลสาบเหนือเขื่อนขึ้นไป เพื่อไปกินข้าวกลางวันที่แพลอยน้ำ ขณะกำลังกินข้าวกันอย่างสนุกสนานฉับพลันก็มีคนคิดถึงฝรั่งขึ้นมาได้จึงไปถามข่าวคราวแล้วกลับมารายงานคณะว่าเขาสั่งข้าวผัดไปเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าความจริงเขาอยากกินปลาในทะเลสาบนี้แต่ไม่รู้จะสั่งอย่างไร พวกแม่ยกสงสารก็เลยระดมตักกับข้าวของเราอย่างละนิดละหน่อยเหมือนของเซ่นเจ้าไปให้ฝรั่งกิน กินข้าวเสร็จสมาชิกบางคนลงพายเรือคะนู รวมทั้งหนุ่มฝรั่งด้วย แต่ส่วนใหญ่เลือกตากพุงอยู่บนบก ป้าของเราไปสัมภาษณ์เจ้าของแพถึงเรื่องมโนสาเร่ เขาเล่าเป็นสำเนียงใต้ให้ฟังถึงชีวิตที่ผ่านมาว่าเป็นทหารเรือและได้เข้าเรียนหลักสูตรต่างๆแล้วมีความชอบในการช่วยชีวิตคนจึงมามีอาชีพเป็นครูสอนดำน้ำแบบสอนฟรีควบคู่ไปกับการทำแพที่พัก มีอยู่ตอนหนึ่งคุณป้าของเราถามว่า
“..หลักสูตรร้ายกาจที่คุณไปเรียนมานี่มันหนักมากเลยหรือ” แล้วก็มีเสียงสมาชิกอีกคนทักท้วงว่า
“ฉันว่าเขาคงไปเรียนหลักสูตรไลฟ์การ์ดนะป้า” พวกเราหัวเราะกันครืน และว่า
“หลักสูตรร้ายกาจมันต้องสำหรับให้ป้าไปเรียนแล้ว”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
จากนั้นเรือพาเราตระเวณลัดเลาะถ่ายรูปเกาะแก่งเขาหินต่างๆ ป้าเห็นฝรั่งหนุ่มถ่ายรูปอยู่คนเดียวจึงไปนั่งแต๊ะอั๋งถ่ายรูปคู่ด้วย พวกเราคุยกันจ๊งเจ๊งบนเรือขณะที่ฝรั่งนั่งเงียบกริบอยู่หัวเรือ จึงเปลี่ยนเรื่องมานินทาฝรั่ง ว่ามากับพวกเราแก่ๆหวังว่าคงจะปลอดภัยสบายหู หารู้ไม่ว่าเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น อีกคนท้วงว่า
“เสือสิงห์ กระทิง ไม่มีนะ” ป้าคงรู้ตัวว่าเรื่องจะพาดพิงถึงตัวจึงรีบพูดว่า
“แต่แรดเมื้อกี้เห็นอยู่ตัวหนึ่ง”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
ขึ้นบกแล้วยังมีคนสนใจว่าก่อนจะสร้างเขื่อนชาวบ้านที่เคยอยู่ตรงที่เดี๋ยวนี้เป็นใต้น้ำเขาอยู่กันอย่างไร มีผู้แนะนำให้ไปเที่ยวชมหมู่บ้านหน้าเขื่อนชื่อบ้านเขาพัง เราไปตามนั้นก็ได้เห็นวัดโรงเรียนและบ้านตามวิถีแบบเดิมๆ ขากลับผ่านรีสอร์ทแห่งหนึ่งชื่อ “รีสอร์ทคุ้มกะลาหัว” สมาชิกคนหนึ่งรีบบอกท่านผู้นำว่าถึงจะจนแต้มอย่างไรพี่ก็ไม่ยอมนอนที่รีสอร์ทนี้นะ
ผู้นำพาไปหาที่กินอาหารเย็น แวะร้านใหญ่ในแถบนี้ชื่อ “ร้านหวังว่า” ตั้งใจจะซื้ออาหารเข้าไปกินในบ้านพักของการไฟฟ้าที่เราจองไว้ แต่เจ้าของร้านเป็นหญิงรูปร่างทรงอำนาจมากเธอคะยั้นยะคอให้ขึ้นไปนั่งกินชั้นบนของร้าน
“ขึ้นมาแลก่อนต๊ะ วิวร้านฉันฮามนะ”
เราจึงต้องยอมจำนนนั่งกินที่นั่น อาหารอร่อยมาก ราคาก็ถูกเชียว คือหัวละราวร้อยบาทต้นๆ อิ่มแล้วก็ขับไปบ้านพักของการไฟฟ้าที่หัวเขื่อนรัชชประภา
วันที่สอง ตื่นแต่เช้า ผมออกไปเล่นโยคะและวิดพื้นที่สนามหญ้าในเกาะกลางถนนหน้าบ้านพัก แล้วกินอาหารที่สั่งให้ร้านหวังว่าส่งมาให้ จากนั้นชวนกันออกเดินเล่นบนสันเขื่อน สูดอากาศสดๆดูวิวดีๆ โดยเฉพาะที่หน้าร้านกาแฟถัดจากอนุสาวรีย์หม่อมวิภาวดีรังสิต วิวดีมากจนเราอดไม่ได้ต้องนั่งละเลียดกาแฟกันอยู่ตรงนั้นนานสองนาน
แล้วก็ได้เวลาเดินทางมุ่งลงใต้กันต่อไปเพื่อไปยังกระบี่ เส้นทางมีแต่สีเขียวของต้นไม้ นานๆมีป้ายแปลกๆโผล่มาให้เห็นเสียที เช่นป้าย “ขนมจีนกางมุ้ง” ทำให้ชวนสงสัยว่ามันอะไรกัน ในที่สุดก็ได้ความว่าแมลงวันมันแยะ ก็เลยทำมุ้งแบบมุ้งคอกวัวครอบร้านไว้เสียเลย เจ๋งแมะ
ผ่านมาจนถึงตำบลท่าปอม ท่านผู้นำพาเราแวะดูคลองสองน้ำ ซึ่งเป็นคลองที่น้ำจืดไหลลงมาพบกับน้ำเค็มยามน้ำขึ้น และอบต.ได้จัดทำเป็นแหล่งเรียนรู้นิเวศน์วิทยาแบบ wet land เขาจัดทำสถานนี่ได้สอาดสะอ้าน น่าเดินเล่น แต่เนื้อหาสาระที่จะให้เรียนว่าชีวิตต่างๆในคลองสองน้ำสัมพันธ์กันอย่างไรนั้นมีน้อยไปหน่อยสำหรับคนสอดรู้สอดเห็นอย่างพวกเรา
เดินทางต่อไปจนถึงกระบี่ เลยเวลาอาหารกลางวันมาแล้ว เรานั่งเรือกอเละไปที่บ้านเกาะกลางซึ่งเป็นเกาะ ไปกินกลางวันที่บ้านมะหญิง เป็นร้านขายอาหารทะเลระดับป๊อปของเมือง ผมถือโอกาสถ่ายภาพสภาปัตยกรรมของบ้านเกาะกลางซึ่งปลูกแบบเรือนไม้เสาสูงริมเลมาให้ดูด้วย
อิ่มแล้วไปดูพิพิธภัณฑ์ของกระบี่ซึ่งกำลังก่อสร้างยังไม่มีอะไรให้ดูมาก แล้วก็ไปลงเรือที่เจ้าภาพเขาจัดมารับ ไปชมทัศนียภาพในละแวกชายหาดและเกาะใกล้ๆแผ่นดินใหญ่ของกระบี่ เริ่มด้วยการนั่งเรือชมหาดและหินผาสำหรับนักปีนหน้าผาที่หาดรายาวดี แล้วออกจากชายฝั่งไปชมเกาะไก่ ซึ่งเป็นเกาะที่มีหินแท่งสูงขึ้นไปโดยมีปมอยู่ที่ปลายแท่งมองดูคล้ายหัวไก่ พอตะวันคล้อยได้ที่ก็เอาเรือมาจอดระหว่างสองเกาะซึ่งเวลาน้ำลงจะมีชายหาดสีขาวโผล่ออกมายาวเหยียดเชื่อมระหว่างสองเกาะ ชาวบ้านเรียกตรงนี้ว่าทะเลแหวก เราทอดสมอจอดเรือเกยหาดไว้ ทั้งหาดไม่มีผู้คน เราพากันนั่งบ้าง นอนบ้าง เดินบ้าง
ชมพระอาทิตย์ค่อยๆตกดินอยู่จนมืดค่ำแล้วก็เอาเรือกลับเข้าฝั่ง ไปกินอาหารเย็นกันที่ร้านเรือนไม้ อาหารอร่อย มีเมนูสาหร่ายพวงองุ่นซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งเป็นโอกาสที่จะเพิ่มความหลากหลายให้กับคนกินอาหารพืช อิ่มแล้วก็เข้าที่พักที่ริมหาดอ่าวนาง ยามนี้ยังเงียบเหงาเหมือนคนที่เพิ่งฟื้นไข้โควิด มีนักท่องเที่ยวเดินน้อยมาก คนที่นี่บอกว่าแค่ 5% ของที่เคยเดิน
วันที่สาม เรานั่งเรือของเจ้าภาพออกไปเที่ยวหมู่เกาะพีพี เริ่มที่เกาะไม้ไผ่ซึ่งคนเขาไปอาบแดดกัน ยามที่นักท่องเที่ยวมาแยะไกด์บอกว่าเขาจะแบ่งกันเป็นชั้นๆตามความแรงของแดด
“ฝรั่งอาบแดดอยู่นอก จีนอยู่ที่รำไร คนไทยอยู่ในร่ม”
แต่วันนี้ยามนี้ทั่วทั้งหาดที่ขาวสะอาดร้างผู้คน นอกจากคณะเราแล้วแทบไม่มีใครอื่น เราเดินเล่นรับไออุ่นของยามเช้าและถ่ายรูป โดยไกด์ชื่อจอห์นี่อาสาเป็นมือกล้องให้ ก่อนจะถ่ายเขาต้องคอยร้องเตือนว่า
“แม้ด แม้ด แม้ด”
คุณป้าบ่นว่าเธอพูดอะไรของเธอนะ แม้ด แม้ด จนกระทั่งมีผู้เฉลยว่า
“เขาบอกให้เราเอามาสก์ออกก่อนถ่ายรูป”
ฮิ ฮิ ฮิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
แล้วก็ขึ้นเรือไปอีกหน่อยเพื่อจอดเรือดำน้ำดูปะการังในละแวกนี้ มีความขลุกขลักในการใช้เครื่องมือพอสมควรสำหรับผู้สูงอายุ
“ตาฉันฝ้า มองอะไรไม่เห็น”
“ก็อย่าหายใจทางจมูกสิ ต้องหายใจทางปาก”
“มันเค็ม น้ำมันเข้าปากฉัน”
“ทำปากจู๋ไว้สิ สามขั้นตอน อ้าปาก ยัดท่อเข้าไป แยกเขี้ยวกัดไว้ แล้วทำปากจู๋ จำไว้”
แต่เมื่อผ่านอุปสรรคทางเทคนิคไปได้แล้ว ภาพที่เห็นจากการดำดูปะการังนั้นคุ้มเหนื่อย เห็นเหล่าประการัง พืชน้ำ และสัตว์อย่าง ปลา กุ้ง หอย ต่างๆอยู่อาศัยกันอย่างเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เสริมความคึกคักให้กันและกันอยู่ในทีแล้ว ทำให้นึกถึงหลักวิชา microbiotome ที่เล่าถึงจุลชีวิตในทางเดินอาหารของมนุษย์ ทั้งแบคทีเรีย รา ไวรัส และสัตว์หลายเซล มันคงอยู่ในลำไส้ของเราแบบเป็นชุมชนอย่างพวกปะการังนี่เอง
ขึ้นจากดำน้ำต่างหิวได้ที่ เรานั่งเรือไปด้านหน้าเกาะพีพีเพื่อหาอะไรกินเป็นมือกลางวัน แวะดูอ่าวลิง สมาชิกบางท่านกระตือรือล้นอยากจะไปคุยกับลิง แต่ไกด์เล่าเรื่องขู่ว่ามีคนที่ถูกลิงมันกระโดดเกาะหัวแล้วตกใจปัด ลิงมันเลยกัดหูเลือดโชก ได้ยินอย่างนี้ก็เลยจ๋อยไป ยินยอมให้ลอยเรือมองดูเหล่าคุณจ่อที่พากันครอบครองเป็นเจ้าของหาดอย่างสบายอารมณ์โดยคนไม่กล้ายุ่ง
กินข้าวกลางวันเสร็จแล้วเราเอาเรือไปเที่ยวอ่าวมาหยาต่อ อ่าวนี้ปิดมานานสี่ปีตั้งแต่ก่อนโควิด เพิ่งมาเปิดได้สองสัปดาห์มานี้เอง ความสวยงามและเงียบสงบเป็นธรรมชาติของอ่าวนี้สุดบรรยาย ท่านดูรูปเอาเองก็แล้วกัน หาดสะอาด เนียนนุ่ม น้ำใสสีมรกต มีปลาฉลามหูดำตัวเล็กๆว่ายวนอยู่ใกล้ๆหาดทรายสองตัว ขณะที่คนอื่นเขาสาละวนถ่ายรูปปลาฉลาม ผมเอนกายลงนอนบนก้อนหินซึ่งมีหอยจับเป็นตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด นอนหงายมองหน้าผาทำให้ได้เห็นมุมมองที่แตกต่างออกไป
ออกจากอ่าวมาหยาเราเอาเรือแล่นเข้าไปชมอ่าวปิเละ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ยังไม่มีคนรู้จักมากนัก
ขณะที่เรือกำลังแล่นผ่านน้ำสีมรกตซึ่งมีปลานับพันนับหมื่นตัวแหวกว่ายอยู่เข้าไปตามซอกหลืบหินผาในอ่าวปิเละ ผมมีความรู้สึกว่าเคยเห็นสถานที่แบบนี้ที่ไหนมาก่อนนะ อ้อ นึกออกละ Gorge Du Verdon ที่ฝรั่งเศส ต่างกันที่ตรงนี้สวยกว่า ตอนที่ผมเห็นกอร์ด ดู แวดองนั้นผมรู้สึกปลาบปลื้มมาก จนผมนึกขอบคุณคนฝรั่งเศสทั้งรุ่นบรรพชนและรุ่นปัจจุบันที่สงวนรักษาที่สวยงามอย่างนี้ไว้ให้ผมซึ่งเป็นแค่คนต่างชาติจากแดนไกลได้มาชื่นชม แต่วันนี้ตอนนี้ที่ผมได้มาเห็นปิเละ ผมรู้สึกควบกันระหว่างความปลาบปลื้มกับความเป็นห่วงเยาวชนคนไทยรุ่นหลังว่าพวกเขาคงจะไม่ได้เห็นสิ่งที่ผมเห็นนี้เสียแล้ว เพราะผมเดาได้เลยว่าพอปลดล็อคโควิด เรือติดใบพัดและเรือหางก็จะพากันครางระงมขนเอานักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกรูกันเข้ามาชื่นชมกับทุกซอกทุกมุมของอ่าวปิเละนี้ แรงของใบพัดจะตีน้ำขุ่นและกระเพื่อมจนปลาเล็กปลาน้อยเป็นพันเป็นหมื่นตัวที่เห็นอยู่ข้างล่างนี้ก็จะอยู่ไม่ได้ อากาศเสียจากเครื่องเรือที่เข้ามาคราวละหลายสิบลำจะอ้อยอิ่งอยู่ในระหว่างซอกหินผาไม่หนีไปไหนง่ายๆ แล้วจะเหลืออะไรให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมละครับ เว้นเสียแต่ว่าเราจะทำอย่างที่รัฐบาลฝรั่งเศสทำกับกอร์ด ดู แวดอง คือให้เรือเครื่องทั้งหลายจอดอยู่นอกปากอ่าว ผูกแพขึ้นรองรับนักท่องเที่ยวเสียที่ปากอ่าว ให้ลงลอยคอว่ายน้ำ หรือพายเรือคะนู หรือเรือถีบ หรือเรือกอเละที่เอาเครื่องออกแล้วให้นายท้ายถือท้ายแบบพันท้ายนรสิงห์เข้ามา ส่วนฝีพายก็คือนักท่องเที่ยวนั่นแหละนั่งคนละข้าง พายคนละอันจ้วงพายกันเข้าไป สนุกและได้ออกกำลังกายดีด้วย ใช้วิธีเคลื่อนไหวแบบความเร็วต่ำอย่างนี้ปลาข้างล่างก็จะไม่เดือดร้อนหนีหายไปไหน นักดำน้ำดูปะการังก็ไม่ต้องค่อยหลบเรือ อ่าวปิเละนี้ก็จะคงอยู่และเป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลกได้อีกนาน
เขียนถึงปิเละแล้วรู้สึกว่าเผลอมีอารมณ์ไปหน่อยจึงหมดแรง การล่องใต้คราวนี้ใช้เวลา 8 วัน นี่เพิ่งเล่ามาได้ 3 วัน ยังเหลืออีกตั้ง 5 วัน แต่คงไม่มีเวลาเล่าต่อแล้ว ต้องขอจบเพียงแค่นี้ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงานดูคนไข้ คืนนี้ต้องนอนเอาแรง มะรืน (3 กพ. 65) ต้องไปพูดที่ม.เกษตรศาสตร์ เรื่อง “จาก Health Campus สู่ Health Town” เพื่อจุดประกาย พาม.เกษตรศาสตร์เข้าสู่ยุคใหม่ที่จะทั้งผลิตอาหาร ผลิตแพทย์แนวใหม่ และสร้างเมืองมหาวิทยาลัยที่มุ่งให้คนมีสุขภาพดี ใครที่สนใจก็ไปฟังได้ฟรีนะครับ เขามีงานเกษตรแฟร์ให้ซื้อต้นไม้กันอยู่พอดี ผมจะพูดที่อาคารวิทย์บริการ ประตู1 เวลา 10.00 – 12.00 น.
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์