นักศึกษาแพทย์ปี 3 ไม่เก่งอังกฤษจะรอดไหม

เรียนอาจารย์

เริ่มแรกก่อนที่จะเข้ามาเรียนตัดสินใจอยู่นานว่าจะเรียนดีมั้ยเพราะเราไม่เก่งภาษา แต่คิดว่าถ้าเราสอบเข้าได้คงเรียนได้ เรียนปี2มาได้เกรด3กว่าๆค่ะ และพยายามเรียนพิเศษภาษาอังกฤษคู่ไปด้วย ตอนนี้ก็ยังคิดว่าไม่ค่อยดีขึ้นมาก จนกังวล คิดว่าขึ้นclinicต้องอ่านtextถ้าเราอ่านไม่รู้เรื่องจะไม่รอด ตอนนี้เวลาต้องหาข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษต้องใช้googleช่วยแปล
อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระหน่อยนะคะ

…………………………………………………………..

ตอบครับ

ไร้สาระก็ไม่เป็นไรครับ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา ผมตอบจดหมายของหมอรุ่นหนุ่มสาวและนักศึกษาแพทย์เกือบทุกฉบับ ตอบตรงบ้าง ตอบทางบล็อกบ้าง เพราะผมให้ความสำคัญกับแพทย์รุ่นใหม่ทุกคนและจะเป็นเพื่อนชี้แนะแนวทางชีวิตให้พวกเขาไปตราบใดที่เขายังอยากจะได้รับคำชี้แนะ

1.. ถามว่าเรียนแพทย์ปี 3 แล้วไม่เก่งภาษาอังกฤษจะเรียนจบได้ไหม ตอบว่าจบได้แน่นอนครับไม่ต้องวอรี่ เพราะทุกวันนี้แพทย์ที่จบออกมามีจำนวนมากที่ภาษาอังกฤษไม่เป็นสับประรดขลุ่ยเลย อันที่จริงแล้วอย่าว่าแต่นักเรียนแพทย์เลย แม้นักเรียนสายศิลปศาสตร์และอักษรศาสตร์ก็เหมือนกันหมด และไม่ต้องไปไกลถึงภาษาอังกฤษ แม้แต่ภาษาไทยยังพูดให้ชัดๆไม่ได้เลย ทุกวันนี้ลูกน้องของหมอสันต์ซึ่งมีหลายคนที่จบจบป.ตรีป.โทมาแล้วแทบจะไม่มีใครพูดภาษาไทยได้ชัดๆสักคนเดียว กุ้มใจจริงๆ (ไม่มีล.ลิง ล.ลิงไปไน้..)

2.. ถามว่าขึ้นคลินิกแล้วอ่าน text ไม่ออกต้องใช้กูเกิ้ลแปลจะไปรอดไหม ตอบว่าโถ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นดอก นักเรียนแพทย์ทุกวันนี้ที่อ่านตำราภาษาอังกฤษมีน้อยมากเพราะส่วนใหญ่อ่านไม่ทัน เกือบทั้งหมดอาศัยตำราภาษาไทยซึ่งเหล่าคณาจารย์แปลไว้เพียบเพราะระบบเอาตำแหน่งทางวิชาการต้องมีผลงานวิชาการ และการเขียนการแปลตำราก็เป็นผลงานวิชาการของอาจารย์เขา นักศึกษาแพทย์สมัยนี้จึงมีตำราภาษาไทยมากเสียจนไม่รู้จะอ่านของใครดี ไม่ต้องไปวอรี่

3.. ถามว่าทำอย่างไรจึงจะเก่งภาษาอังกฤษ ตอบว่าภาษาเป็นทักษะต้องฝึกบ่อยจึงจะเก่ง เช่นเดียวกับกิจกรรมอื่นเช่นการว่ายน้ำอยากเก่งก็ต้องลงสระบ่อย อยากเก่งอังกฤษก็ต้องใช้ภาษาทุกวัน วิธีใช้ภาษามีสี่แบบคือ อ่าน เขียน พูด และฟัง ซึ่งผมแนะนำให้ใช้ทุกแบบ สมัยนี้มีตัวช่วยเยอะมาก อย่างการพูดหากไม่รู้จะพูดกับใครก็เปิดแอ็พฝึกพูดกับมือถือก็ได้แล้ว สมัยผมฝึกภาษาอังกฤษก่อนไปเมืองนอกยังไม่มีคอมพิวเตอร์และไม่มีอินเตอร์เน็ท มีแต่วิดิโอเทป ผมซื้อวิดิโอเทปหนังฝรั่งมาเรื่องหนึ่งตั้งใจว่าจะฝึกภาษาอังกฤษตามหนังจนเก่งแล้วค่อยซื้อเรื่องใหม่ ปรากฎว่าผมดูหนังเรื่องเดิมซ้ำซากเกือบร้อยรอบฝึกพูดตามทีละประโยคตั้งแต่เริ่มต้นจนจบหนัง พอพูดตามได้หมดก็ถึงเวลาไปเมืองนอกพอดี จึงได้ดูหนังจริงจังแค่เรื่องเดียว

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแนะนำเพิ่มเติม สำหรับน้องๆหรือลูกๆหลานๆทุกคนที่เพิ่งเข้ามาเรียนแพทย์ ว่าองค์ประกอบสำคัญสูงสุดที่จะทำให้เรียนแพทย์จบนั้นมีห้าอย่าง คือ

(1) ต้องมีสุขภาพจิตที่ดี เพราะนักศึกษาแพทย์จำนวนไม่น้อยต้องเลิกเรียนเพราะมีความคิดกังวลมากเกินไปหรือไม่ก็เป็นบ้าหรือฆ่าตัวตายไปเสียก่อน ดังนั้นขณะที่เรียนแพทย์ ให้ใส่ใจฝึกฝนตัวเองไม่ให้เป็นคนขี้กังวลคิดซ้ำคิดซาก ให้ฝึกวางความคิดลบด้วยการนั่งสมาธิ อย่างน้อยก็นั่งสมาธิก่อนนอนสักสิบหรือยี่สิบนาที และให้ขยันฝึกยิ้มฝึกผ่อนคลายร่างกายทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจให้รีบเข้าหาอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะท่านก็เคยเป็นนักเรียนแพทย์แบบเรามาก่อน ท่านจะเข้าใจเราและช่วยเราได้ กำลังใจจากครอบครัวก็สำคัญ มีอะไรในใจให้คุยกับพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนที่ดีก็ช่วยได้แยะ ประเด็นสำคัญคืออย่าย้ำคิดแต่เรื่องทุกข์ใจซ้ำซากอยู่คนเดียว

(2) ต้องมีสุขภาพกายดี เพราะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ที่สกปรกเต็มไปด้วยเชื้อโรค แถมต้องสัมผัสคลุกคลีผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้แพร่เชื้อโรคอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต้องอยู่เวรอดหลับอดนอน แถมตารางการเรียนก็แน่นเอี๊ยดชนิดที่หากไม่ให้ priority จริงๆก็จะจัดเวลาออกกำลังกายไม่ได้เลยตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนคลินิกจนเรียนจบ สภาพของนักศึกษาแพทย์ที่จบมาส่วนใหญ่จึงเป็นคนหนุ่มคนสาวขี้โรค อ่อนแอ ขาดสุขนิสัยที่ดี นอกจากตัวเองจะป่วยง่ายแล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในการดูแลสุขภาพแก่คนไข้

(3) ต้องมีความรักที่จะเรียนรู้ วิชาแพทย์นี้กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้นักศึกษาแพทย์จำนวนหนึ่งเอียนจึงเรียนแค่ท่องจำพอให้จำได้ถึงห้องสอบแล้วรีบลืมทันที่ที่ออกจากห้องสอบเพราะไม่ได้รักมัน การไม่ชอบวิชาที่เรียนจะทำให้มันกลายเป็นยาขม และทำให้ช่วงชีวิตนักศึกษาแพทย์กลายเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิต ทั้งๆที่วิชาแพทย์มีเนื้อหาเป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต เป็นความตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ เป็นอะไรที่น่าเรียนน่ารู้ แค่เปลี่ยนความเอียนในวิชาเป็นความรักในวิชาชีวิตก็เปลี่ยนจากร้ายเป็นดีได้เลย

(4) ต้องรู้จักใช้เทคนิคให้สอบผ่าน ต้นทุนแต่ละคนมีมาไม่เท่ากัน อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับเพื่อนแล้วน้อยอกน้อยใจ เราไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ต้องขยันใช้ภาษาอังกฤษ เราหัวไม่ดีก็ต้องขยันอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มามัวนั่งท้อแท้ซึ่งไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ขอให้แถกเหงือกผ่านไปให้ได้ทีละวิชาทีละบล็อกก็พอแล้ว ใช้ตัวช่วยที่มีอยู่ทุกตัว คอยปลุกปลอบสร้างกำลังใจให้ตัวเอง โง่ก็ปรับกลยุทธ์เพื่อชดเชยให้กับความโง่ของตัวเอง ประคองตัวเองไปทีละวิชา ทีละวิชา จนได้เป็นเอ็กซ์เทิร์นอินเทิร์นซึ่งจะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะหล่อหลอมให้เราเป็นหมอที่ดีได้อย่างก้าวกระโดด ความรู้มันจะพรั่งพรูมา คนไข้จะเป็นบทเรียนที่ตื่นเต้นท้าทาย ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ อยากทำดีที่สุดเพื่อให้คนไข้หาย ถึงจุดนั้นจะได้สัมผัสกับความสุขที่แท้จริงของการเป็นแพทย์ ตอนนี้เป็นนักเรียนแพทย์อยู่ก็แค่ขอให้แถกเหงือกผ่านวันนี้ไปแบบไม่ยอมแพ้ทีละวันก่อน อย่าจมอยู่กับความคิดกังวลถึงอนาคตซึ่งยังมาไม่ถึง ทำวันนี้ให้ดี วันที่เหลือมันจะดีของมันเอง

(5) เมตตาธรรมเป็นแรงบันดาลใจที่ดีที่สุด เมตตาธรรมคือความอยากจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือคนเจ็บไข้ คุุณต้องปลุกเมตตาธรรมให้ลุกโพลงในใจทุกวัน ถามตัวเองบ่อยๆว่าเรามาเรียนแพทย์ทำไม ถ้าคำตอบเป็นอย่างอื่นผมไม่รับประกันว่าคุณจะเรียนจบหรือเปล่า แต่ถ้าคำตอบคือเพื่อจะได้จบไปช่วยเหลือคนไข้ ผมรับประกันว่าคุณจะเรียนจบ เพราะการเรียนแพทย์เป็นการพาตัวเองมาพบกับความยากลำบากทรมานทรกรรมในวัยหนุ่มสาวซึ่งเป็นวัยที่ดีที่สุดของชีวิต มันไม่คุ้มหรอกที่จะเอาเวลาที่ดีที่สุดของชีวิตมาทนทรมานด้วยเหตุผลที่ไร้สารัตถะที่แท้จริง เช่น อยากรวย อยากหาเงินง่าย อยากมีเกียรติ อยากให้คนยอมรับ ฯลฯ ทั้งหมดนั้นไร้สาระ ถึงหากเราอยากได้จริงก็ไปหาเอาได้ง่ายกว่าโดยการไปทำอาชีพอื่นที่ไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้ แต่หากเป้าหมายมันยิ่งใหญ่พออย่างเช่นเมตตาธรรมต่อชีวิตอื่น ต่อให้ลำบากแค่ไหนมันก็จะพาคุณฟันฝ่าไปได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี